บทที่762 ตามหาความทรงจำให้คืนกลับมา
“เสี่ยวหมี่โต้ว วันนี้ตั้งใจเรียนหรือเปล่า แกล้งเพื่อนที่โรงเรียนบ้างหรือเปล่า?”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยวหมี่โต้วก็ยู่ปากงอนใส่เธอทันที เอ่ยพูดอย่างแง่งอนออกมา “หม่ามี๊ของคนอื่นเขากลัวว่าจะมีใครมารังแกลูกของตัวเองกันทั้งนั้น แต่หม่ามี๊กลับกังวลว่าเสี่ยวหมี่โต้วจะไปรังแกคนอื่น!”
“ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสิ เสี่ยวหมี่โต้วของเราเป็นใครกันล่ะ? มีเพียงแค่ลูกนั่นแหละที่จะไปรังแกคนอื่นเขา คนอื่นมารังแกลูกได้ด้วยรึไง?” หานมู่จื่อยิ้มออกมาเล็กน้อย เห็นปากน้อยๆของเขายู่ออกมา พร้อมทั้งใบหน้าเล็กๆที่แสดงท่าทางไม่พอใจออกมานั้น อยากเอื้อมมือเข้าไปหยิกเสียจริง
น่าเสียดาย ที่ตอนนี้กำลังวิดีโอคอลกันอยู่ ถึงแม้ว่าจะมองเห็นหน้ากัน แต่กลับแตะต้องไม่ได้
ผู้ชายคนสำคัญในชีวิตของเธอทั้งสองคน ล้วนต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้กันทั้งคู่ เธอมีความปรารถนาอยากจะอยู่ใกล้ๆพวกเขา แต่มันก็ไม่อาจทำได้
“เฮอะ หม่ามี๊นิสัยไม่ดี หม่ามี๊แกล้งเสี่ยวหมี่โต้ว”
หานมู่จื่อยิ้มออกมา แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับออกไป
ผ่านไปได้สักพักนึง จู่ๆตาของเสี่ยวหมี่โต้วก็จ้องเข้ามายังเธออย่างน่าสงสาร
“เอ่อ เสี่ยวหมี่โต้วไปหาหม่ามี๊ได้มั้ยอ่ะครับ? น้าเสี่ยวเหยียนบอกว่าหม่ามี๊หาแด๊ดดี้เจอแล้ว ผม…ผมก็อยาก…”
หานมู่จื่อยังไม่ได้ตัดสินใจที่บอกเสี่ยวหมี่โต้วเรื่องที่เย่โม่เซินความจำเสื่อม ถ้าเด็กน้อยรู้เข้าว่าแด๊ดดี้ของเขาจำตัวเองไม่ได้ล่ะก็ เขาจะต้องเสียใจแน่ จำต้องเอ่ยออกไปว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้นะครับ หม่ามี๊อยู่ที่นี่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ เสี่ยวหมี่โต้วอย่ามาเลย รอให้หม่ามี๊จัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน แล้วหม่ามี๊ค่อยพาแด๊ดดี้กลับไปดีมั้ย?”
“ฮึ”
เสี่ยวหมี่โต้วส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “หม่ามี๊ ทำไมหม่ามี๊ต้องแบกรับทุกอย่างเองด้วยล่ะ เสี่ยวหมี่โต้วก็อยากจะช่วยเหมือนกันนะ!”
“เด็กน้อยอย่างลูกจะช่วยอะไรหม่ามี๊ได้กัน? อีกอย่าง…” หานมู่จื่อหลุบตาลง เงามืดเข้าปกคลุมเข้ามาในแววตา “มีหลายเรื่องที่ต้องให้เจ้าของเรื่องมาเป็นคนจัดการเองจะดีกว่า”
พูดจบ เธอก็รู้ตัวขึ้นมาว่าสีหน้าเศร้าสร้อยอย่างนั้นได้แสดงออกไปต่อหน้าเสี่ยวหมี่โต้ว จึงเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง “เสี่ยวหมี่โต้วจะต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังคำพูดของหม่ามี๊นะครับ รอหม่ามี๊กับแด๊ดดี้กลับไปนะครับ”
“อือ”
“ถ้าหากว่าเสี่ยวหมี่โต้วเป็นเด็กดี เมื่อถึงตอนนั้น…หม่ามี๊จะให้รางวัลเสี่ยวหมี่โต้ว ดีมั้ยครับ?”
“ดีครับ หม่ามี๊ต้องรักษาคำพูดนะครับ…”
สองแม่ลูกพูดคุยกันกะหนุงกะหนิงกันอยู่สักพักใหญ่ๆ เสี่ยวเหยียนก็เข้ามาแตะศีรษะของเสี่ยวหมี่โต้วพร้อมบอกให้เขาไปอาบน้ำ จากนั้นเธอก็เข้ามาวิดีโอคอลพูดคุยกับหานมู่จื่อแทน
“มู่จื่อ มู่จื่อ ทางนั้นพัฒนาไปยังไงบ้าง? คืบหน้าบ้างมั้ย?”
นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เธอวิ่งวุ่นมาทั้งวัน เหนื่อยหอบอย่างกับหมา แต่กลับยังคงไม่ได้เจอหน้าเย่โม่เซินเลย แล้วเธอจะไปได้ผลมาจากไหนกันล่ะ?
ไม่แน่ว่าอีกหลายวันที่เหลือก็คงจะเป็นแบบนี้เหมือนเดิม แค่อยากเจอหน้าเย่โม่เซินสักครั้งทำไมถึงรู้สึกว่ามันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน
เมื่อเห็นเธอไม่มีสีหน้ายินดีออกมา เสี่ยวเหยียนก็พอจะคาดเดาได้อยู่บ้าง “ไม่หรอกมั้ง? หรือว่าจะไม่มีความคืบหน้าสักนิดเลยงั้นหรอ? เธอกับเขาไม่ได้เจอหน้ากันเลยสักครั้งเดียว?”
ได้ยินดังนั้น หานมู่จื่อหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดออกไป “หน้าได้เจอกันแล้ว เพียงแต่…”
เธอลังเลใจออกมาเล็กน้อย หน้าได้เจอกันแล้ว เพียงแต่ภาพจำที่เย่โม่เซินมีต่อเธอดูเหมือนว่ามันจะแย่เสียยิ่งกว่าแย่? แต่ตอนทำงานในช่วงหลังๆพี่หลินก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่แน่ใจนักว่าเขาให้คะแนนความประทับใจต่อกาแฟแก้วนั้นของเธออย่างไร
“เพียงแต่อะไร? เธอรีบพูดมาสิ อยากให้ฉันร้อนใจตายหรือไง?” ปลายสายทางด้านของเสี่ยวเหยียนนั้นได้ร้อนใจจนตีต้นขาออกมา ทั้งยังแสดงท่าทางที่แทบจะทุ่มโต๊ะออกไปอย่างนั้นได้ทำเอา หานมู่จื่อหลุดขำออกมา
“พรืด…อุ๊บ ฮ่า ๆ ๆ—— ฉันไม่เห็นจะร้อนใจอะไรเลย เธอจะมาร้อนใจไปทำไมกัน?”
“อั้ยหยา” เสี่ยวเหยียนร้อนใจจะตายอยู่แล้ว แต่เธอยังขำอยู่นั่น จำต้องเอ่ยพูดออกไปอย่างจนใจ “อย่างฉันเขาเรียกว่าฮ่องเต้ไม่ได้กังวลอะไร แต่ขันทีกลับเป็นกังวลแทนใช่มั้ยล่ะ? มันก็สมควรที่ฉันจะต้องร้อนใจอยู่แล้วมั้ยล่ะ เธอก็ยังจะมามีความสุขเป็นความทุกข์ของคนอื่นอยู่ที่นั่นได้อีกนะ!”
หานมู่จื่อยังอดไม่ได้ที่จะอยากหัวเราะออกมา พลางคิดว่า เพื่อนที่สนิทกันอย่างแท้จริงก็คงจะเป็นอย่างนี้สินะ
เรื่องของตัวเอง เจ้าตัวยังไม่เห็นจะเป็นกังวลออกมาเลย แต่เธอกลับร้อนใจแทนเธอไปก่อนเสียแล้ว
“โอเคๆ ฉันจะบอกเธอว่า หน้าน่ะได้เจอกันแล้ว เพียงแต่ไม่ได้นานนัก”
“หมายความว่ายังไงอ่ะ?” เสี่ยวเหยียนยกมือขึ้นกุมหัว “ก่อนหน้านี้เธอเคยบอกฉันไม่ใช่หรือไง ว่าเธอได้ผ่านสัมภาษณ์ได้เข้าทำงานที่บริษัทตระกูลยู่ฉือแล้วนี่?”
“อือ แต่…ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ นี่เพิ่งเข้าทำงานวันแรกเอง และฉันก็ไม่อาจรีบร้อนเกินไปได้”
“เอาล่ะ ในเมื่อเธอไม่รีบร้อน งั้นฉันก็จะไม่เร่งเธอแล้ว ฉันได้คิดเรื่องการแต่งงานของฉันเรียบร้อยแล้วนะ”
ทั้งสองคนพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่สักพัก เสี่ยวเหยียนเห็นหานมู่จื่อมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยออกมา ก็ไม่ได้รบกวนเธออีก แต่ได้บอกให้เธอไปพักผ่อน จากนั้นก็วางสายไป
วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ หานมู่จื่อก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ แต่กลับพบว่าในตอนที่ลุกขึ้นนั้น ตรงส่วนน่องขาของเธอรู้สึกปวดเมื่อยสุดๆ ไม่อาจสาวเท้าก้าวใหญ่ๆออกไปได้เลย จำต้องค่อยๆก้าวถี่ๆเดินออกไปด้านหน้า
เมื่อออกมาหลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น หานมู่จื่อพยายามพาขาปวกเปียกไม่มีแรงของตัวเองเดินก้าวออกไป ในตอนที่นั่งลงบนโซฟา ก็ได้พบว่าส้นเท้าของเธอก็ยังมีรอยถลอกออกมา
เธอนวดน่องขาไปด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
เธอไม่ได้ทำงานอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย ถึงได้วิ่งวุ่นทั้งวันแล้วกลายมาอยู่ในสภาพอย่างนี้ได้
“ช่างหาเรื่องใส่ตัวเสียจริง หานมู่จื่อ” เธอค่อนแคะตัวเองออกมาเบาๆ อารมณ์ดำดิ่งลงไปเล็กน้อย
แต่เพียงไม่นาน หานมู่จื่อก็ยืนหยัดลุกขึ้นสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมาพร้อมหยิกใบหน้าตัวเองเบาๆ
“ตอนนี้เธอจะต้องเป็นคนที่ตามหาความทรงจำให้กับสามีของเธอนะ ไม่อาจจะมายอมแพ้เพียงเพราะแค่ความลำบากเล็กๆน้อยๆนี้ จากนี้ไป ก็จงสู้ต่อไปเถอะนะ”
*
วันที่สอง หานมู่จื่อก็ได้เปลี่ยนมาสวมรองเท้าส้นเตี้ย อีกทั้งยังเลือกสวมเสื้อผ้าที่คล่องตัวไม่อึดอัดเป็นพิเศษ
เดิมทีเธอเพิ่งจะท้องได้เพียงสองเดือน แต่ก็ยังมองไม่ออกว่ากำลังท้อง ดังนั้นแล้วตามจริงเธอก็ไม่ได้อยากแต่งตัวอย่างนี้หรอก แต่เมื่อคิดถึงอนาคต เธอแต่งตัวแบบนี้ก็พอให้หลบเลี่ยงในวันที่ท้องนูนชัดออกมา ถ้าหากเมื่อถึงตอนนั้นแล้วเธอเปลี่ยนมาสวมชุดโคร่งๆคนอื่นก็จะมองออกได้ง่ายว่าเธอกำลังตั้งท้อง
ทันทีที่เดินมาถึงห้องเลขา พี่หลินก็ได้มอบหมายให้เธอไปทำความสะอาดห้องทำงาน
“อีกหนึ่งชั่วโมงคุณชายเซินจะเดินทางมาบริษัท เธอจะต้องทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนที่เขาจะมาถึงห้องทำงาน จำเอาไว้ว่าอย่าให้มีฝุ่นหลงเหลืออยู่เด็ดขาด ท่านประธานของเรารักสะอาด ถ้าเธอสะเพร่าทำพลาดขึ้นมาล่ะก็ เขาจะต้องระเบิดความไม่พอใจออกมาแน่”
“ค่ะ ฉันทราบแล้วค่ะ”
หานมู่จื่อพยักหน้าออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็เดินออกไปยังห้องทำงานท่านประธาน
เธอรู้นิสัยความเคยชินของเย่โม่เซินอย่างแน่นอน ส่วนที่ให้ทำความสะอาดให้สะอาดมากเป็นพิเศษอะไรพวกนั้น ก็เพราะห้องทำงานของเขาเดิมทีก็สะอาดอยู่แล้ว เธอไปทำความสะอาดที่นั่น รู้สึกแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นแล้วหานมู่จื่อไปมาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ได้เดินกลับมา ในตอนที่พี่หลินเห็นเธอกลับมานั้น ก็ยังรู้สึกตกใจมากเช่นกัน
“เธอทำความสะอาดได้ไม่นานก็เสร็จแล้วหรอ?”
“ใช่ค่ะพี่หลิน”
“เธอแน่ใจใช่มั้ยว่าทำความสะอาดได้สะอาดเรียบร้อยแล้ว?”
“ค่ะ” หานมู่จื่อพยักหน้าออกมาเล็กน้อย เธอแน่ใจว่าตัวเองทำความสะอาดจนสะอาดแล้ว ไม่มีสิ่งสกปรกหลงเหลืออย่างแน่นอน
เห็นสีหน้าที่ดูสัตย์จริงของเธอแล้ว พี่หลินก็คิดว่าเธอดูไม่เหมือนกับว่าจะเป็นคนขี้เกียจอะไรจำพวกนั้น ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ได้แคลงใจอะไรออกมา คาดว่าเธอน่าจะเป็นคนมือเท้าว่องไว
หลังจากที่เย่โม่เซินเข้าทำงาน จู่ๆก็โทรเข้ามาหาเธอ เอ่ยถามเสียงเย็นว่าใครเป็นคนทำความสะอาดห้อง พี่หลินก็ได้มีตอบสนองออกมาทันที
ซวยแล้ว
พี่หลินนิ่งอึ้งอยู่หลายวิกว่าจะเอ่ยออกไป “ความสะอาด…ไม่ผ่านหรือคะ?”
“ก่อนที่ผมจะโมโหออกมา ให้คนผู้นั้นไสหัวเข้ามาทำความสะอาดใหม่อีกครั้ง”