บทที่778 อย่าบอกนะว่านายจริงจัง
หลังจากที่เฉียวจื้อเจอเย่โม่เซิน ก็บอกเรื่องที่เทเหล้าให้ชายชาวต่างชาติจนเหมือนเสียชีวิตไปในเมื่อคืน สุดท้ายชาวต่างชาติทนไม่ไหวเป็นลมไป เขาจึงโทรหา120เพื่อส่งเขาไปโรงพยาบาล หลังจากยืนยันว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ก็จากไป
หลังจากที่เย่โม่เซินฟังเรื่องนี้เสร็จ สีหน้าของเขาก็นิ่งๆโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ
เฉียวจื้อ: “……”
เชี้ย ไอคนใบหน้าเป็นอัมพาต!
เฉียวจื้อด่าเขาในใจ แต่ว่าคิดไปคิดมา เมื่อคืนตอนที่เขามาช่วยคนก็ไม่เหมือนตอนนี้หนิ?
เมื่อคืนตอนที่เขาถีบชายชาวต่างชาติคนนั้น ใช้แรงย่างหนักมาก หลังจากที่คนไปแล้วเฉียวจื้อยังมองดูรอบๆ พบว่าตู้ไวน์ในห้องมีรอยแตกด้วย
กระดูกของชายชาวต่างชาติไม่หักถือว่าโชคดีมากแล้ว
เฉียวจื้อจับที่คาง จู่ๆก็ถามขึ้นมา: “เมื่อคืน หลังจากนายไปส่งคนแล้ว ไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม?”
เมื่อได้ยิน มือของเย่โม่เซินก็หยุดชะงัก และใบหน้าที่เยือกเย็นมองไปที่เฉียวจื้อ
“นายคิดว่าฉันเหมือนนาย?”
เฉียวจื้อ: “หึหึ ไม่กล้าขึ้นเหรอ?นายยังเป็นผู้ชายอยู่ไหม?โอกาสดีขนาดนี้ อยู่กันสองต่อสองนายก็ไม่กล้า นายไร้ความสามารถหรือ……”
ในขณะที่พูดเฉียวจื้อก็นึกถึงสิ่งที่น่ากลัว ทันใดนั้นก็กระโดดตัวออกจากโซฟาและเดินไปที่ด้านข้างของเย่โม่เซินและเหล่ตา
“นายอย่าบอกนะว่าไม่กล้า?”
เย่โม่เซินยังคงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาไม่สนใจสิ่งที่เฉียวจื้อพูด
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเห็นยู่ฉือเซินพาคนไป แถมยังแก้แค้นชายต่างชาติ เขียวจื้ออาจคิดว่ายู่ฉือเซินเป็นคนที่เย็นชาและไร้หัวใจ
แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไปแล้ว เขาช่วยคนและสุดท้ายก็ล้างแค้นไปด้วย หลังจากส่งคนกลับบ้านเขากลับไม่ได้ทำอะไรเลย
มีเพียงสองความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
ข้อแรก เขาไม่สนใจผู้หญิงคนนั้น
แต่มันเป็นไปไม่ได้ หากเขาไม่สนใจผู้หญิงคนนั้น เขาจะรีบเร่งมาช่วยเหลือคนๆนั้นในเวลาสั้นๆที่หลังจากวางสายโทรศัพท์ได้ยังไง
สรุปแล้ว เขาสนใจในผู้หญิงคนนั้น
แล้วทำไม เขาไม่ทำอะไรกับผู้หญิงคนนั้นล่ะ? ก็ต้องพูดถึงข้อที่สอง
เขาอยากทำแต่ไม่กล้าไป หรือจะบอกว่า…ทำไม่ลง
ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่เฉียวจื้อก็รู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น และเขาก็รู้สึกกังวลกับตัวเองเช่นกัน
เขาก็ไม่รู้ว่าเดาถูกหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าจำเป็นต้องเตือนเพื่อนของเขา
“ยู่ฉือเซิน นายเอาจริงใช่ไหม?”เฉียวจื้อถาม
เขาคิดว่ามีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นไปได้ ผู้ชายอย่างยู่ฉือเซินอยากได้ผู้หญิงแบบไหนแล้วไม่มี? เมื่อผู้ช่วยคนนั้นได้ยินว่าเขาอยู่ที่บาร์ ยังยินยอมที่จะไป ดังนั้นถ้ายู่ฉือเซินอยากได้ โอกาสที่เธอจะปฏิเสธมีน้อยมาก……
ความเป็นไปได้เดียวคือยู่ฉือเซินไม่ต้องการเอง
“ฉันจะบอกนายว่า ยู่ฉือเซินนายไม่สามารถจริงจังกับผู้หญิงคนนั้นได้”
เฉียวจื้อเหมือนคนสอดรู้สอดเห็นที่ล้อมอยู่รอบเย่โม่เซิน: “ครอบครัวของพวกเรานายเองก็รู้ ผู้ช่วยตัวน้อยนั่นดูก็รู้ว่าภูมิหลังครอบครัวยังไง ถ้านายจริงจังกับเธอ มันจะทำร้ายเธอในอนาคต”
เย่โม่เซินไม่สนใจเขา แต่เฉียวจื้อกลับกระวนกระวาย แล้วพูดต่อ: “ฉันบอกนายตรงๆนะ การแต่งงานของเรามีแค่ผู้ใหญ่ที่สามารถตัดสินให้ได้ แถมยังต้องเสียสละเพื่อครอบครัว ถ้านายรู้สึกเริ่มตกหลุมรักเธอแล้ว ฉันขอเตือนให้รีบถอนตัวออกมา”
“นายได้ฟังที่ฉันพูดไหม?ฉันพูดมาครึ่งวันแล้วนายไม่ตอบกลับอะไรเลย?”
“……”
ในที่สุดเย่โม่เซินก็เลิกเปลือกตามองเฉียวจื้ออย่างเฉื่อยชา
“พูดจบยัง?”
เฉียวจื้อพยักหน้า
“งั้นไสหัวไป”
เฉียวจื้อ: “……”
เขาพูดมาครึ่งวัน ก็ได้คำสี่คำนี้?แล้วยังไล่เขาอีก?
เฉียวจื้อหัวเราะในใจ จงใจเดินเข้าใกล้: “นายอยากไล่ฉันออกไป ฉันก็ไม่ไป ฉันบอกนายไว้ก่อนว่าคุณปู่ยู่ฉือถูกใจลูกสาวบ้านตวนมู่มาก และนายอาจจะได้หมั้นกับเธอในอนาคต ผู้ช่วยตัวน้อยคนนั้นดูแล้วไม่มีอะไร แต่ฉันดูออกว่าเธอผูกพันกับนายมาก ถ้านายมีอะไรกับเธอจริงๆ เมื่อถึงเวลาถอนตัวแล้วจะลำบาก อาจจะทำให้เธอได้รับความเจ็บบาดด้วย”
ในที่สุดดวงตาสีเข้มของเย่โม่เซินก็แสดงความหงุดหงิดออกมา และเขาเอื้อมมือไปนวดขมับของเขา
รู้สึกว่าวันนี้เฉียวจื้อพูดมากซึ่งน่ารำคาญมาก
เฉียวจื้อยังจะพูดต่อ แต่วินาทีต่อมาเย่โม่เซินก็ลุกขึ้น หยิบกุญแจรถและเสื้อนอกของตัวเองออกจากห้องทำงาน
“นี่? ฉันยังพูดอยู่เลย นายจะไปไหน?”
“กินข้าว”
เย่โม่เซินตอบกลับเสียงเย็นๆ
“กินข้าว?” จู่ๆเฉียวจื้อก็คิดได้ว่าตัวเองก็ยังไม่ได้กินข้าว ก็ตามไปอย่างรวดเร็ว: “พาฉันไปด้วยสิ ฉันก็หิวแล้ว”
“ไม่ว่าง”
เฉียวจื้อ: “ไม่พาไปใช่ไหม? งั้นฉันไปหาผู้หญิงของนายที่โรงอาหารกินด้วยกันดีกว่า?”
เย่โม่เซินหยุดเดิน แล้วหันไปมองเฉียวจื้อด้วยสายตาเย็นชา
จู่ๆเฉียวจื้อก็รู้สึกกลัว
“นาย……นายมองฉันแบบนี้ทำไม?”
บรรยากาศรอบตัวของเย่โม่เซินเริ่มดุดัน “เรื่องเมื่อคืน ถ้าให้ฉันรู้ว่ามีอีกครั้งละก็……”
“ไม่มีทาง” เฉียวจื้อรีบยกมือขึ้นยอมจำนนทันที: “จะไม่มีครั้งต่อไป ฉันก็จะไม่ไปหาเธอกินข้าวแล้วพอใจยัง? ฉันจะไปกับนาย”
ในที่สุดเย่โม่เซินก็เก็บสายตาที่ดุดันของเขา แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ เฉียวจื้อตามไปอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จริง
ดูจากภายนอกแล้วนิ่งมาก ราวกับไม่มีท่าทีสนใจกับคนอื่น แต่ก็ไม่ให้เขาเข้าใกล้ แบบนี้แสดงให้เห็นได้ชัดว่า……มีความปรารถนาที่เร่าร้อน
เฉียวจื้อคิดมาตลอดทาง ตอนที่ใกล้ออกจากลิฟต์ เขาอดที่จะถามไม่ได้จริงๆ
“ไม่ใช่ยู่ฉือเซิน นายก็บอกฉันสิ นายกับเธออยู่ด้วยกันใช่ไหม?”
ติง (เสียงลิฟต์)——
พอดีประตูลิฟต์เปิดออก เย่โม่เซินเดินออกไปอย่างไม่หันหัวกลับมามองเลย
หลังจากที่หานมู่จื่อกินข้าวเสร็จ ก็บอกลากับหลัวลี่ จากนั้นก็กลับมานอนพักผ่อนที่โซฟาในห้องเลขา
เธอฝึกงานยังไม่กี่วัน ยังไม่เคยพักผ่อนที่โซฟาตัวนี้มาก่อน รู้สึกอายเล็กน้อย เพราะยังไงมันก็เป็นอยู่ข้างนอก
แต่ว่าวันนี้ไม่เหมือนกัน เธอง่วงนอนมาก
หลังจากหานมู่จื่อปิดประตูห้องเลขาอย่างลวงๆแล้ว ก็นอนลงบนโซฟาอุ้มหมอนเอาไว้แล้วหลับไป
จากนั้น เธอก็เข้าฝันยาวมาก ภายในฝัน เย่โม่เซินดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด กอดเธอเอาไว้แน่นๆ หานมู่จื่ออาลัยอ้อมกอดที่อบอุ่นของเขามากและกอดเขาด้วยสองมือ
แต่เวลาค่อยๆไป หานมู่จื่อก็สังเกตเห็นคนในอ้อมกอดอุณหภูมิร่างกายค่อยๆลดลงกลายเป็นตัวเย็น สุดท้ายเหมือนน้ำแข็งที่ทำให้รู้สึกหนาวสั่น
เธอตัวสั่นจากความหนาวเย็น พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าที่กอดอยู่ไม่ใช่เย่โม่เซิน แซ่เป็นน้ำแข็ง
เธอหันไปมองหาเย่โม่เซิน แต่กลับเห็นเขาตกจากเครื่องบิน และตกลงไปในทะเลที่ไร้ขอบเขตพร้อมกับเสียงโครม
“ไม่……ไม่!!!”