บทที่ 785 ระมัดระวังตัวรู้จักบ้างไหม
หลังจากนั้นหานมู่จื่อก็นึกถึงเพียงแต่เรื่องของเย่โม่เซิน
เฉียวจื้อบอกว่าจะส่งข้อความหาเขาและให้เขามา
เธออยากเจอเขา แต่เธอก็รู้สึกว่า…เธอมักใช้ประโยชน์จากเฉียวจื้อเรียกเขาออกมาเสมอ เขาจะเกิดอาการรำคาญเธอหรือเปล่า?
เมื่อนึกได้แบบนี้ หานมู่จื่อก็กล่าว “งั้นเอ่อ คุณไม่ต้องส่งข้อความหาเขาหรอก วันนี้เอาแบบนี้แล้วกัน อย่ารีบร้อน”
“เอ๊ะ?” เฉียวจื้อผงะไปครู่หนึ่ง เขาถือโทรศัพท์ด้วยความงุนงง “ทำไมล่ะ? เรื่องแบบนี้ยิ่งเร็วยิ่งดีไม่ใช่หรือ?”
“ไม่” หานมู่จื่อส่ายหน้า “ฉันกลัวว่าเขาจะไม่ยอมรับ”
จู่ๆเธอก็บุกเข้ามาในชีวิตของเขา ถ้าหากเธออยู่ต่อหน้าเขาบ่อยๆและเขายังไม่คุ้นชินกับเธอ เขาอาจปฏิเสธเธอโดยไม่รู้ตัว
อย่าเสี่ยงเลยจะดีกว่า
“แต่ว่า..ฉันส่งไปแล้วน่ะสิ”
“….”
เย่โม่เซินนั่งอยู่บนโซฟาที่ระเบียง ในมือข้างหนึ่งถือแก้วกาแฟและอีกข้างหนึ่งถือโทรศัพท์
ในช่วงวันหยุดของเขา เขาสวมเสื้อสเวตเตอร์แขนยาวสีเทาและกางเกงขายาวแสนเรียบง่าย ใบหน้าของเขากระทบแสงแดดนั้นช่างสวยงามมาก หากถ่ายภาพฉากนี้เอาไว้และโพสต์ลงในเน็ต ชาวเน็ตจะต้องคิดว่าเป็นดาราชายกำลังถ่ายแบบเป็นแน่
หน้าจอบนโทรศัพท์ของเขายังคงเป็นหน้าจอในการพูดคุยกับเฉียวจื้อ
ภาพถ่ายไม่ได้ถูกขยาย แต่สามารถมองเห็นเงาที่สวยงามและละเอียดอ่อนของผู้หญิงได้อย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเธอสวมเพียงเสื้อเชิ้ตผ้าชีฟองสีขาวเรียบๆและไม่ได้จัดทรงผมอะไรมากมายเท่าไหร่นัก เธอเพียงแค่มัดหนังยางไว้ที่ด้านหลัง แต่มันก็ทำให้เขาไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้
ใบหน้าของเธอไม่ได้สวยงามโดดเด่นมากมายนักและใบหน้าของเธอก็ไม่สมบูรณ์แบบเมื่อแยกออกจากกัน แต่ในการผสมผสานกันนั้นทำให้ดูสบายตา สำหรับเขา…ราวกับว่ามีแรงดึงดูดร้ายแรง
เย่โม่เซินละสายตากลับมา เขาวางแก้วกาแฟลงจากนั้นใช้มือนั้นบีบขมับ
เขารู้ดีว่าเฉียวจื้อจงใจ
จงใจนัดเธอไปยังร้านอาหาร จงใจส่งรูปเธอให้กับเขา จงใจ…ที่จะให้เขาไปที่นั่น
แต่ถึงแม้ว่าเฉียวจื้อจะจงใจ แล้วเธอล่ะ?
ถ้ามีคนโทรหาเธอ เธอก็จะไปในทันทีเลยใช่ไหม? ไม่รู้จักระมัดระวังตัวบ้างเลยหรืออย่างไร?
เขานึกขึ้นได้ว่าเมื่อเธอตื่นขึ้นมาในห้องเลขาในวันนั้นจู่ๆเธอก็กอดตัวเขาไว้แน่นและไม่มีการสงวนท่าทีใดๆ ในเวลานั้นเย่โม่เซินรู้สึกว่าเธออาจจะจำคนผิด เขานั้นไม่ใช่สิ่งที่เธออยากจะสวมกอด
อาจเป็นการตื่นจากฝัน สะลึมสะลือ จำคนผิดดังนั้นจึงกอดเขา
ยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หัวใจของเย่โม่เซินก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น
หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็เม้มริมฝีปากอย่างเยาะเย้ย ลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก
*
“ดังนั้น คุณเพิ่งนั่งได้ไม่นานนักก็ส่งข้อความเลยเหรอ?” หานมู่จื่อมองไปที่เฉียวจื้อด้วยความงุนงงและถามเขา เธอคิดว่า…ไม่ได้นานอะไรมากนัก คิดว่าน่าจะบอกเฉียวจื้อทัน
เฉียวจื้อพยักหน้าจากนั้นเขาก็พูดว่า “แต่…พี่สะใภ้คุณอย่าเป็นกังวลยู่ฉือเซินเขาคงจะไม่มาหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานมู่จื่อจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก “คุณกำลังปลอบฉันหรือกำลังซ้ำเติมฉัน?”
“เอ? พี่สะใภ้ฉันไม่ได้จะซ้ำเติมคุณ ฉันเพียงพูดว่า…”
“เขาว่าอย่างไร? เขาสนใจคุณไหม?”
ต้องบอกว่าหานมู่จื่อนั้นยังคงสงสัยว่าเย่โม่เซินที่สูญเสียความทรงจำนั้นมีท่าทีต่อเธออย่างไร?
จากการกล่าวของเฉียวจื้อ เขาท่าทีประทับใจของตัวเองอย่างไร?
เฉียวจื้อจะกล้าบอกหานมู่จื่ออย่างไรว่าเขานั้นขับไสไล่ส่งเขา เขาจึงกล่าวอย่างอ้อมค้อม “เขาอาจยุ่งอยู่ไม่ได้ตอบข้อความกลับ ฉันว่าเขาอาจจะยังไม่เห็น”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้
หานมู่จื่อหลบสายตา ไม่สามารถบอกได้ว่าภายในใจรู้สึกอย่างไร
ปกติแล้วเธอนั้นอยากเจอเย่โม่เซินมาก แต่กลัวว่าเย่โม่เซินในตอนนี้นั้นหากว่าเธอกับเขาเจอกันบ่อยไปอาจจะทำให้เขาต่อต้านและปฏิเสธ
เฮ้อ
หานมู่จื่อถอนหายใจภายในใจและไม่กล่าวอะไรอีก
เฉียวจื้อมองเห็นความผิดหวังในดวงตาของเธอเขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง : “อาหารร้านนี้ไม่เลวเลยนะ พี่สะใภ้คุณลองชิมดู”
“ขอบคุณ”
อาหารในร้านนี้เสิร์ฟไวมาก หานมู่จื่อและเฉียวจื้อนั่งรอเพียงประมาณสิบนาทีอาหารก็มาเสิร์ฟแล้ว
หานมู่จื่อสั่งพาสต้าโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรและไม่ได้ชื่นชอบในรสชาติอะไรขนาดนั้น แต่เฉียวจื้อนั้นแตกต่างออกไป เขาเจริญอาหารเป็นอย่างมาก สั่งเนื้อหม้อไฟ เมื่ออาหารมาถึงยังคงมีควันและน้ำซุปหอมกรุ่น ภายในใจหม้อนั้นน้ำซุปรสเด็ดยังคงเดือดปุดๆ
เมื่อเฉียวจื้อเห็นดวงตาของเขาเป็นประกาย
“นี่คือสิ่งที่วิเศษมากพี่สะใภ้ คุณต้องลองชิมดู”
เมื่อหานมู่จื่อได้กลิ่น เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงขมวดคิ้ว เธอรู้สึกว่ากลิ่นแรงมากจนทำให้เธออึดอัดเล็กน้อย
เธอยื่นมือไปปิดจมูกโดยไม่รู้ตัว
และที่นี่เป็นห้องวีไอพี ยิ่งเธอมีความไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษ ในไม่ช้ากลิ่นก็กระจายไปทั่วห้อง หานมู่จื่อยิ่งทนไม่ไหวมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของเธอนั้นดูทรมานมาก
“พี่สะใภ้ เนื้อวันของที่นี่นั้นดีมาก คุณรีบชิมสิ”
เฉียวจื้อลุกขึ้นยืนและพยายามตักอาหารให้เธอ
กลิ่นที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นทำให้เธอคลื่นไส้และอดไม่ได้ที่จะปิดปากตัวเองจากนั้นก็รีบวิ่งออกจากห้องวีไอพีไป
“พี่สะใภ้ พี่สะใภ้เป็นอะไรไป?” เฉียวจื้อรีบวิ่งตามออกมา หานมู่จื่อจึงรีบกล่าว “ฉันจะไปห้องน้ำ”
จากนั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตาของเฉียวจื้อ
เฉียวจื้อ “…..”
เขาแตะศีรษะของตัวเองและมองกลับไปที่ห้องวีไอพี
แปลก เห็นชัดๆว่ากลิ่นมันหอมมาก แต่พี่สะใภ้อาจจะไม่ชอบ?? จึงอยากจะอ้วก
ใช่ เขาควรให้คนเอาอาหารชนิดนี้ออกไปก่อนที่พี่สะใภ้จะกลับมา
ความรู้สึกคลื่นไส้ของหานมู่จื่อรุนแรงมาก แต่เธอไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ เธอใช้เวลาในการหาห้องน้ำอยู่นานมาก อาการคลื่นไส้ของเธอแทบจะทนไม่ไหว ในขณะที่เธอทนไม่ไหวนั้นก็เหลือบไปเห็นห้องน้ำพอดี
จากนั้นเธอก็วิ่งไปด้วยความรวดเร็วและก้มตัวอาเจียนบนอ่างล้างหน้าเป็นเวลานาน
การอาเจียนครั้งนี้ทำให้น้ำตาของเธอไหลออกมาและท้องของเธอนั้นมวนอย่างไม่สบายตัว แม้แต่เหงื่อเย็นๆก็ไหลออกมาด้วย
และไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่ หานมู่จื่อจึงรู้สึกสบายตัวขึ้น
เธอคลายเกลียวก๊อกน้ำเพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกในอ่างล้างมือพลางล้างมือไปด้วยและสุดท้ายเธอก็ล้างหน้าของเธอจากนั้นกลับมีทิชชู่ยื่นมาตรงหน้าเธอ
หานมู่จื่อตกตะลึงและเอื้อมมือไปหยิบทิชชู่
“ดูจากสภาพของเธอแล้วเหมือนกับว่าไม่เหมาะที่จะล้างหน้าด้วยน้ำเย็นในตอนนี้” เสียงชายที่แผ่วเบาดังขึ้นทางด้านซ้ายของหานมู่จื่อ เธอรับทิชชู่และมองไปที่อีกฝ่าย
เมื่อเธอเห็นเขา หานมู่จื่อก็ตกตะลึง
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นมีดวงตาจิ้งจอกและรอยยิ้มกว้างบนริมฝีปากของเขา ไม่เหมือนกับตวนมู่เจ๋อที่เธอเคยเห็นมาก่อน?
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พบกันจนกระทั่งตอนนี้เป็นเวลาเพียงไม่นานนัก พวกเขาเคยนั่งพูดคุยกัน หานมู่จื่อจำเขาได้
ตวนมู่เจ๋อมองเธออย่างชัดเจน เขาอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาและเลิกคิ้ว
“คุณเองเหรอ?”
เย่โม่เซินประกาศคู่หมั้นในการแต่งงานของเขา หานมู่จื่อ
ในตอนแรกนั้นตวนมู่เจ๋อมองเธออย่างประหลาดใจราวกับว่าตกใจที่เจอเธอที่นี่ แต่ในไม่นานนักเหมือนกับว่าเขานึกอะไรได้และปรับสีหน้าปกติ