บทที่ 793 อย่าคิดเพ้อเจ้อ
หานมู่จื่อเปิดประตูห้อง เป็นไปดังที่คิดไว้เห็นเฉียวจื้อยืนอยู่ด้านนอกประตู เมื่อได้พบกับหานมู่จื่อเป็นครั้งแรก การแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนเป็นความคลุมเครือทันที ยิ้มหรี่ตาให้กับหานมู่จื่อ และพูดเบา ๆ “ว้าว พวกคุณ……พัฒนากันเร็วขนาดนี้เลยหรือ”
ได้ยินดังนั้น หานมู่จื่อก็อดไม่ได้ที่จะดึงมุมปาก ขณะที่เธอกำลังจะพูดอะไรออกไป เสียงที่เยือกเย็นของเย่โม่เซินก็ดังขึ้นมาด้านหลัง
“เอาของมาหมดแล้วหรือยัง”
เธอหันศีรษะกลับไป พบว่าเย่โม่เซินกำลังเดินเข้ามา เฉียวจื้อรีบยื่นถุงที่ใส่เหมือนสมบัติไปข้างหน้า “แน่นอน ของที่คุณต้องการ ฉันยังไม่ได้เตรียมพร้อมเท่าไร รีบไปเถอะ”
เย่โม่เซินไม่ได้พูดอะไรมาก แต่หลังจากเหลือบมองเฉียวจื้อ ด้วยสายตาอันเฉียบคม จากนั้นก็ได้หยิบเสื้อผ้าของเขาเข้าไปยังห้องน้ำ
ตอนที่เขายังอยู่เฉียวจื้อก็ยังเป็นปกติดี ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องน้ำ เฉียวจื้อก็วางตัวไม่ถูก และเดินเข้ามาใกล้หานมู่จื่อ “พี่สะใภ้พี่สะใภ้ พวกคุณ……พัฒนากันเร็วอะไรแบบนี้”
หานมู่จื่อปวดหัว ยื่นมือขึ้นหยิกระหว่างคิ้วของตนเอง “คุณอย่าคิดเพ้อเจ้อ ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”
“ไม่ใช่อย่างที่ผมคิดอย่างนั้นหรือ อย่างนั้นมันคืออย่างไหนกัน” เฉียวจื้อพูดไปพลาง ถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าประตูไปพลาง พลิกมือปิดประตู กดเสียงต่ำพูด “เขาอยู่ต่อเพื่ออาบน้ำแล้ว พี่สะใภ้ คุณก็อย่าปฏิเสธล่ะ~เพียงแต่ว่า ผมคิดไม่ถึงว่ายู่ฉือเซินเขาจะ……”
เมื่อรู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายเริ่มจะเกินเลยไปแล้ว หานมู่จื่อจึงทำได้แต่ขัดจังหวะเขาในเวลาที่เหมาะสม และได้พูดคุยเรื่องในห้องครัวกับเฉียวจื้ออีกรอบ จึงสามารถหยุดปากของเฉียวจื้อได้สำเร็จ
เรื่องต่าง ๆไม่ได้เป็นแบบนั้นเหมือนกับที่ตนเองคิด เฉียวจื้อเม้มปากด้วยความผิดหวัง “โอเค เธอนี่ก็งี่เง่าเหมือนกัน โอกาสดีขนาดนี้……ไม่นึกเลยว่าจะไม่พาเขาเลี้ยวตรงไปบนเตียง”
หานมู่จื่อ “พอแล้ว คุณก็หุบปากเถอะ!”
เฉียวจื้อพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “พี่สะใภ้ผมทำเพื่อผลประโยชน์ของคุณ ที่จริงแล้วยู่ฉือเซินก็โตมาหน้าตาดีอะไรขนาดนี้ วันนั้นที่คุณมาสัมภาษณ์ก็ได้เจอแล้ว มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งจ้องมองเขาอยู่ คุณไม่คิดหรือว่าลงมือก่อนเป็นการได้เปรียบ จะค่อนข้างมีความรู้สึกปลอดภัยไหม”
เธอเหลือบมองคนตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าเขาทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง แต่……คำพูดนี้หน้าด้านจริง ๆ
“ถ้าคุณยังพูดจาเหลวไหลอีก อย่างนั้นคุณก็ออกไปเลย”
“อย่านะ!” เฉียวจื้อรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว เป็นการส่งสัญญาณว่าตนเองต้องการจะอยู่ต่อ “ผมได้กลิ่นข้าว คุณทำกับข้าวหรือ”
หานมู่จื่อพยักหน้า
“อย่างนั้นผมก็ต้องอยู่กินข้าวด้วย”
โดยธรรมชาติแล้วหานมู่จื่อไม่สามารถจะปฏิเสธเขาได้ จึงพยักหน้าตอบรับ เฉียวจื้อจึงเดินตามเธอเข้าไปยังห้องครัว หานมู่จื่อคำนวณดูเวลาที่เย่โม่เซินใช้อาบน้ำ เมื่อถึงเวลาที่เขากำลังจะออกมาต้องเอาของทุกอย่างจัดวางไว้บนโต๊ะให้เรียบร้อย เฉียวจื้อมาเพื่อกินข้าวฟรี ดังนั้นจึงได้คอยช่วยอยู่ด้านข้าง
“พี่สะใภ้ อีกเดี๋ยวยู่ฉือเซินก็ออกมาแล้ว ถ้าเขาไล่ผมให้ออกไป คุณต้องช่วยผมพูดด้วยนะ”
เมื่อตอนพูดประโยคนี้ เฉียวจื้อก็อยู่ใกล้หานมู่จื่อมาก อีกทั้งยังลดเสียงลงขณะที่พูดด้วย
หานมู่จื่อได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ไล่คุณออกไปงั้นหรือ”
“ใช่นะสิ!” เฉียวจื้อพยักหน้าอย่างแรง ตามนิสัยของยู่ฉือเซินแล้วนั้นเขาเป็นคนโมโหไม่เลือกหน้า อีกสักพักเมื่อเขาออกมาหลังจากอาบน้ำเสร็จก็น่าจะลืมแล้วว่าใครเป็นคนส่งเสื้อผ้าให้เขา ก็น่าจะต้องไล่เขาไปอย่างแน่นอน
เขายังไม่อยากไป เขายังต้องการจะอยู่กินฟรี
หานมู่จื่อ “……ไม่หรอกมั้ง ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนให้คุณมาหรอกหรือ”
“แม้ว่าเขาจะเป็นคนส่งข้อความมาหาผมให้ผมเอาเสื้อผ้ามาให้เขาก็จริง แต่ถ้าตามลักษณะนิสัยของเขาแล้ว……”
คำพูดนั้นยังไม่ทันจะพูดจบ เฉียวจื้อและหานมู่จื่อก็ได้ยินเสียงดังครื้ดของประตูที่ถูกเปิดออก หานมู่จื่อได้เตรียมตะเกียบและจัดวางทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินเสียงนั้นทั้งสองคนก็อดไม่ได้จนต้องมองไปทางห้องน้ำ
ผมของเย่โม่เซินยังคงเปียกโชกหลังอาบน้ำเสร็จ ผิวรอบคอยังคงปรากฏเป็นรอยแดงเนื่องจากถูกไอน้ำ
เขาก้าวออกมาเพียงก้าว สายตาของเขาก็ประสบกับคนทั้งสองที่อยู่บนโต๊ะอาหาร
เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฉียวจื้อและหานมู่จื่ออยู่ใกล้กันมากเป็นพิเศษ จนเกือบจะพิงร่างของเธอ เย่โม่เซินก็ขมวดคิ้วทันที การแสดงออกทางสายตาของเขาดุดันขึ้นมา จ้องมองไปยังเฉียวจื้ออย่างเหี้ยมโหดมาก
เกือบจะชั่วขณะ เฉียวจื้อก็รู้สึกได้ว่าด้านหลังเหมือนมีใบมีดกำลังกรีดอยู่ มองอย่างละเอียดและก็ได้พบว่าสายตาของเย่โม่เซินคมชัดมากขึ้น ดูเหมือนจะมองเขาด้วยความไม่พอใจ
เขาตกตะลึงไปหลายวินาทีจึงจะมีสติกลับมา จึงรีบถอยหลังออกห่างจากหานมู่จื่อไปสองสามก้าว พลางถอนหายใจอยู่ในใจ
ให้ตายสิ ความหวงเป็นเจ้าของคนรักของยู่ฉือเซินมีความหนักแน่นมากจริง ๆ
ก็แค่ใกล้ไปนิดเดียวเองไม่ใช่หรือ ไม่ได้สัมผัสสักหน่อย ก็ยังมองตนเองด้วยสายตาแบบนี้
อย่างนั้นถ้าหากว่า……เขาสัมผัสเธอล่ะ
เมื่อมีความคิดแบบนี้ออกมา เฉียวจื้อก็ส่ายหัวอย่างกะทันหัน เอ่อ ไม่กล้านึกเลยจริง ๆ
เขาแค่รู้สึกว่า ถ้าตนเองสัมผัสแตะต้องอีกฝ่ายจริง ๆ ยู่ฉือเซิน คงจะต้องฉีกตนเองเป็นชิ้นๆแน่นอน
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เฉียวจื้อก็หรี่ตาลงมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“ยู่ฉือเซิน คุณอาบเสร็จแล้วหรือ”
ตั้งแต่เขารักษาระยะห่างกับหานมู่จื่อ ดวงตาที่ดูเป็นปรปักษ์ของเย่โม่เซินก็ดูเบาลง แต่เมื่อมองไปที่เขากลับยังคงมีความเป็นปรปักษ์นั้นอยู่ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ “คุณยังไม่ไปอีกหรือ”
เมื่อหานมู่จื่อที่กำลังจะขอให้พวกเขานั่งลงเพื่อรับประทานอาหารได้ยินประโยคนี้ ก็ชะงักขึ้นอย่างแรง จากนั้นจึงเงยหน้ามองไปยังเย่โม่เซินอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปมองเฉียวจื้อ
เมื่อกี้นี้เฉียวจื้อ บอกว่าหากเย่โม่เซิน อาบน้ำเสร็จแล้วอาจจะให้เขารีบกลับไปนั้น เธอยังไม่ค่อยจะเชื่อ ไม่คิดเลยว่า……”
ในขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้ เฉียวจื้อก็มองหาเธอเพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือ ไม่คิดว่าคนคนนี้จะช่วยตนเองได้หลายเรื่อง หานมู่จื่อจึงได้ออกปากแทนเขา “ฉันเป็นคนให้เขาอยู่ทานข้าว นี่ก็ได้เวลากินข้าวแล้ว พวกคุณก็กลับมานั่งกันทั้งหมดเถอะ”
วู้~
เฉียวจื้อรู้สึกตื้นตันใจจนแทบน้ำตาไหล พี่สะใภ้ช่วยพูดแทนเขาจริง ๆ อีกอย่างก็ยังคงอยู่กับใบหน้าที่เย็นชาของยู่ฉือเซิน
เขาตื้นตันใจมากมายจริง ๆ
เฉียวจื้อรีบเดินไปที่ด้านหน้าโต๊ะอาหารและได้จับจองที่นั่งหนึ่ง หลังจากนั่งลงและส่งสายตาให้กับหานมู่จื่อ พูดอย่างเบา ๆว่า “พี่สะใภ้มีอำนาจมาก”
หานมู่จื่อ “……”
เสียงของเขาไม่ได้ดังแต่ก็ไม่ได้เบา เพียงแต่ให้เธอได้ยินเท่านั้น แต่บ้านเช่าที่เธออยู่นั้นไม่ได้ใหญ่มาก เขามาส่งเสียงตามอำเภอใจภายใต้สถานการณ์แบบนี้ หากเย่โม่เซินได้ยินเข้าจะทำอย่างไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็ยิ้มขึ้น ตักซุปหนึ่งชามให้กับเขา โน้มตัวลงและกระซิบว่า “เขาอยู่ตรงนี้ คุณไม่ต้องพูดมากแล้ว”
“โอเค ขอบคุณพี่สะใภ้”
หานมู่จื่อ “……”
ช่างเถอะ นึกเสียว่าเมื่อกี้เธอไม่ได้พูดอะไรไป
แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่มีความสุข แต่เย่โม่เซินก็นั่งลงข้าง ๆเฉียวจื้อ หานมู่จื่อนั่งลงตรงข้ามของทั้งสองคน
“อืม ในเมื่อทุกคนนั่งกันพร้อมแล้ว อย่างนั้นพวกเรามาเริ่มกันเลย”
ทันทีที่พูดจบ เฉียวจื้อก็หยิบชามขึ้นมาจิบซุปปลาไปหนึ่งคำ แล้วพูดขึ้นหลังจากจิบ “ว้าวๆ ซุปปลานี้ทั้งสดทั้งอร่อย รสชาติดีหอมอร่อย อร่อยจริง ๆ”
ชมเสร็จ เขาก็จิบไปอีกหนึ่งคำ
ในขณะเดียวกัน ดวงตาสีดำของเย่โม่เซินก็จ้องมองไปยังชามในมือของเขาอย่างแผ่วเบา เม้มริมฝีปากไว้แน่น จนเกือบจะเป็นเส้นตรง
ถ้าหากเขาจำไม่ผิดละก็ ซุปปลาถ้วยนั้น……หานมู่จื่อเป็นคนเสิร์ฟให้
เย่โม่เซินขยับริมฝีปาก ด้วยความคิดบางอย่างที่มีพาวเวอร์……
เขา เขาอยากกินซุปปลาด้วย
แต่รออยู่นานมาก หานมู่จื่อ……ก็ไม่ได้ตักซุปปลาให้กับเขา
ดังนั้น สายตาของเย่โม่เซินที่มองเฉียวจื้อก็ยิ่งขุ่นเคืองมากขึ้น