บทที่ 795 ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อน
หานมู่จื่อส่งคนลงชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว ก็เฝ้าดูทั้งสองคนขึ้นรถจากออกไป ขณะที่กำลังเตรียมจะกลับ เจ้าของบ้านก็กลับมา ยิ้มให้และเดินตามเธอขึ้นไป
“ดูไม่ออกเลย ว่าจริง ๆแล้วเธอจะมีแฟนที่หล่อและรวยขนาดนี้”
หานมู่จื่อ “……คุณป้าเจ้าของบ้าน เขาเป็น……”
“เอาหละ เธอไม่ต้องอธิบายหรอก ฉันเคยผ่านโลกมาก่อน ฉันรู้ทุกอย่าง
ไม่เป็นไรหรอกนะ พาแฟนกลับมาที่นี่บ้างก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก”
พูดจบ เจ้าของบ้านก็ส่งรอยยิ้มที่คลุมเครือให้กับเธอ และรีบตรงขึ้นไปชั้นบน
หานมู่จื่ออ่อนแรงเล็กน้อย และขี้เกียจจะอธิบาย จึงเดินตรงไปชั้นบน
เมื่อกี้นี้ตอนที่มีคนสองคนอยู่ในห้องกับเธอ จึงทำให้ดูมีชีวิตชีวา แต่ตอนนี้เปิดประตูเข้าไปกลับมีแต่เธออยู่เพียงคนเดียว หานมู่จื่อรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมากะทันหัน
โธ่
คนเรา สุดท้ายก็ไม่อาจคุ้นเคยกับบางสิ่งบางอย่างได้เลยจริง ๆ
ตัวอย่างเช่น การต้องอยู่ในความมืดมิดเป็นเวลานาน และก็เจอกับแสงสว่างอย่างทันทีทันใด ก็จะทนไม่ไหวจนต้องกลับสู่วันที่มืดมนอีกครั้ง
แต่ ถ้าต้องอยู่ในความมืดมาโดยตลอด ไม่ได้พบเห็นแสงสว่างอีกตลอดไป ดังนั้นคุณก็จะไม่รู้เลยว่าเวลาที่ได้พบกับแสงสว่างนั้นเป็นอย่างไร ก็จะไม่ใฝ่ใจโหยหามันอีก
หานมู่จื่อถอนหายใจอยู่ในใจอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เริ่มทำความสะอาดห้อง จึงได้พบว่าสูทตัวนั้นที่เธอได้เคยซักแห้งไว้ให้กับเย่โม่เซิน เขาได้ลืมหยิบกลับไปด้วย
“……ไม่ใช่มาที่นี่เพราะมาเอาสูทหรอกหรือ ทำไมถึงเวลากลับแล้วก็ยังไม่หยิบไปด้วย” หานมู่จื่อหยิบชุดสูทขึ้น อดไม่ได้ที่จะบ่นออกไป
เนื่องจากเขาไม่ได้เอาไปด้วย ดังนั้นเธอจึงควรที่จะเก็บไว้ให้เขาก่อน
แต่คราวนี้ หานมู่จื่อไม่กล้าที่จะเอาเสื้อสูทเข้าไปแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าของตนเองอีกแล้ว แต่ได้นำเสื้อสูทไปแขวนไว้ที่ระเบียง จากนั้นก็เตรียมตัวไปอาบน้ำ
หลังจากเข้าห้องน้ำไปก็พบว่า ก็ได้พบว่าเย่โม่เซินได้ทิ้งเสื้อผ้าชุดเก่าเอาไว้ที่นี่ตอนที่เขาอาบน้ำ
“……”
เธอจ้องไปที่กองเสื้อผ้าชุดเก่านั้นด้วยความงุนงง และคิดถึงอะไรบางอย่าง แก้มที่ขาวนวลของเธอก็แดงขึ้น
*
ทันทีที่เย่โม่เซินและเฉียวจื้อเข้าประตูมา คนรับใช้ก็ก้าวไปแสดงความเคารพอยู่เบื้องหน้า “นายท่านรอพวกท่านอยู่บนห้องหนังสือที่ชั้นบน”
“ผมรู้แล้ว”
เย่โม่เซินเดินตรงขึ้นไปยังห้องหนังสือที่ชั้นบน เฉียวจื้อจึงรีบตามขึ้นไป พลางพูดว่า “ผมเดาว่าสองปู่หลานของตระกูลตวนมู่จะต้องกลับไปแล้วแน่ๆ เมื่อกี้นี้ไม่เห็นรถของพวกเขา”
“อืม” เขาตอบเบา ๆ
เฉียวจื้อ “ถ้าคุณปู่ยู่ฉือต้องการให้คุณสองคนหมั้นกันจะทำอย่างไร”
เย่โม่เซินไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่เขาก็มีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้วภายในใจ นั้นก็คือ……เขาจะไม่หมั้นกับตวนมู่เสว่
ก๊อก ๆ——
“เข้ามา”
เย่โม่เซินเปิดประตูห้องหนังสือ ยู่ฉือจินที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่หนึ่งแม้ว่าจะแก่ชราแล้วแต่ก็ยังคมชัดดูมีพลัง เขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยออร่าที่ทรงพลัง
เมื่อเห็นว่าเฉียวจื้อที่กำลังเดินตามเย่โม่เซินอยู่ด้านหลัง เขาจึงมั่นใจในคำพูดของเขาเมื่อกี้นี้ จากนั้นเขาก็ตะโกนออกไปอย่างแรง “ตาเฉียวนี่แย่จริงๆเลย ลูกหลานถึงจะสอนไม่เชื่อฟัง วันๆเอาแต่สร้างปัญหา เฉียวจื้อ นายก็อายุมากแล้ว นายได้เรียนรู้อะไรเพื่อมาช่วยทำบริษัทแทนปู่ของนายบ้างไหม อย่างมัวแต่เตร็ดเตร่ไปมาทั้งวันแบบนี้”
เฉียวจื้อถูกมองว่าเลวทรามเสมอ เมื่อถูกยู่ฉือจินพูดแบบนี้ต่อหน้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เขายังได้โน้มตัวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่ยู่ฉือ บริษัทมีพ่อผมคอยดูอยู่ก็ได้แล้ว จะมีผมไว้ทำไมอีก อีกอย่าง ถ้าผมหัวคิดครึ่งหนึ่งของยู่ฉือเซิน ทำไมฉันถึงจะไม่ไปจัดการเรื่องของบริษัทล่ะ และอีกอย่างเป็นเพราะผมเองก็เหมาะกับเรื่องแค่บางเรื่อง เกรงว่าบริษัทอาจจะต้องขาดทุนก็ได้”
เมื่อได้ยินว่าเขาชื่นชมหลานชายสุดที่รัก ยู่ฉือจินก็ดีใจขึ้นมาในใจ แต่ก็ยังคงดุเขาอีก “รู้แต่ล้อเล่น นายควรจะเอาความสามารถในการพูดนี้ไปใส่ใจทุ่มเทกับการงานให้มากขึ้น ไม่ถึงกับปู่ของนายที่ต้องมาบ่นที่นี่ไม่เว้นวัน”
“ช่วยไม่ได้ สมองของผมโดยกำเนิดก็พัฒนาได้แค่ด้านนี้ ส่วนอื่นนั้น……คงไม่ได้”
ยู่ฉือจินถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นมองไปยังเย่โม่เซินที่เงียบนิ่งไปตั้งแต่เข้ามา และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ในเมื่อนายก็มาแล้ว อย่างนั้นก็มานั่งก่อนเถอะ ตามีเรื่องสำคัญจะคุยกับนาย”
เย่โม่เซินเดินเข้าไป นั่งลงตรงข้ามกับยู่ฉือจิน เดิมทีเฉียวจื้อคิดจะออกไป ใครจะรู้ว่าจู่ๆยู่ฉือจินก็พูดขึ้น “นายก็นั่งก่อนเถอะ ไม่มีอะไรที่ฟังไม่ได้”
“ขอบคุณคุณปู่ยู่ฉือ”
เฉียวจื้อรีบมาดึงเก้าอี้และนั่งลงข้าง ๆเย่โม่เซิน อันที่จริงเขาก็รู้ว่าคุณปู่ยู่ฉือจะต้องให้เขาอยู่ด้วย เพียงแต่คิดจะแกล้งจะทำเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ไม่อย่างนั้น……อาจจะถูกเขานินทา
ยู่ฉือจินมองไปยังเย่โม่เซิน และไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ได้พูดจามาครึ่งวัน นานๆถึงจะพูดสักคำ “อาเซิน นาย……คิดว่าเสี่ยวเสว่คนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวจื้อ “……”
ให้ตายเถอะ หรือจะถูกเขาเดาเอาไว้แล้ว
คุณปู่ยู่ฉือ นี่เป็นลางว่าจะมีการหมั้นให้กับยู่ฉือเซินและตวนมู่เสว่
เขามองไปที่ยู่ฉือเซิน และกำหมัดแน่น
อย่าทำให้ฉันผิดหวัง และก็อย่าทำให้ผู้ช่วยน้อยต้องผิดหวังล่ะยู่ฉือเซิน
เย่โม่เซินเงยหน้าขึ้น พบว่าดวงตาของคุณตาของเขาที่จ้องมองมายังเขาอย่างเขม็ง เหมือนกับว่ากำลังเฝ้ามองดูอารมณ์และปฏิกิริยาของเขา เขาเม้มริมฝีปากและปล่อยลมหายใจที่แสนจะเย็นชา
“ไม่ทราบครับ”
“เขาพูดไปเพียงสามคำ”
ยู่ฉือจินได้ยินเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้น “อะไรคือไม่ทราบ”
เย่โม่เซิน “ไม่ได้สนใจ ไม่ชัดเจน”
ยู่ฉือจิน “…….”
นี่เป็นการแสดงออกว่าไม่ได้สนใจตวนมู่เสว่ ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจ และก็ยิ่งไม่รู้ชัดเจนด้วยว่าความหมายคืออะไร
เฉียวจื้อแอบชมเย่โม่เซินอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
เขายังคงสงสัยว่าเย่โม่เซินจะตอบคำถามนี้อย่างไร คิดว่าเขาอาจจะมีความเกรงใจเมื่ออยู่ต่อหน้ายู่ฉือจิน ใครจะรู้ว่าเขาจะไม่ยอมไว้หน้าแบบนี้
ผลสุดท้าย ได้ยินดังนั้นก็ทำให้ยู่ฉือจินแทบอาเจียนเป็นเลือด
“นาย นี่มันท่าทีอะไรของนาย อะไรคือไม่ใส่ใจไม่ชัดเจน ตอนนายไม่สบายเสี่ยวเสว่ก็คอยมาเยี่ยมนายทุกวัน เด็กคนนี้มีจิตใจดี อีกทั้งยังอ่อนโยนเอาใจใส่ นายยังมองไม่เห็นอีกตาบอดหรือไง”
เย่โม่เซิน “……คุณตา ผมก็ไม่เคยให้เธอต้องมาเยี่ยมนะ”
“นาย!!” ยู่ฉือจินลุกขึ้นด้วยความโกรธ พยายามที่จะทำให้เย่โม่เซินโกรธ
เฉียวจื้อเห็นเช่นนี้ ก็รีบประคองเขาขึ้น “คุณปู่ยู่ฉือท่านอย่าโกรธเลย เขาก็แค่พูดไม่เป็น พูดตรงเกินไป จะไปพูดแบบนั้นได้อย่างไรกัน แต่ผมก็เข้าใจความหมายของเขานะ ผมจะอธิบายให้คุณปู่ยู่ฉือฟังนะ”
“คุณปู่ก็รู้จักนิสัยของอาเซิน เขาไม่สนใจอะไรก็คือไม่สนใจจริง ๆ จากจุดนี้ก็จะเห็นได้ ว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณหนูใหญ่ของตระกูลตวนมู่เลย”
ยู่ฉือจินรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจากคำพูดของเฉียวจื้อ หรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อมองเขา
การบีบบังคับที่มหาศาลนี้ทำให้เฉียวจื้ออดไม่ได้ที่จะปล่อยมือ เริ่มจะพูดประชดประชัน “คุณปู่ยู่ฉือ อาเซินเป็นหลานที่หาได้ยากของท่านนะ ท่านจะบีบบังคับเขาหรือ แม้ว่าตวนมู่เสว่จะสวยงามจริง แต่……มีหลายเรื่องที่จะบีบบังคับกันไม่ได้ใช่ไหม”
พูดถึงตรงนี้ ยู่ฉือจินก็ส่งเสียงร้องอย่างเย็นชา ไม้ค้ำยันในมือของเขาก็กระแทกลงกับพื้น “ได้ ตอนแรกก็ว่าจะคุยกับพวกนายสองคนให้ดี พวกนายตั้งใจมาจัดการกับคนแก่อย่างฉันใช่ไหม”