บทที่ 797 ไม่คิดทำอะไรที่ไม่คุ้มค่า
“โอ้” เฉียวจื้อส่งเสียงร้องและเดินถอยไป ยกมือขึ้นปิดไว้บนตาของตนเอง “พี่สะใภ้ คุณพยายามจะฆ่าผมใช่ไหม”
“เฉียวจื้อหรือ”หานมู่จื่อลุกขึ้นนั่ง การเต้นของหัวใจเธอยังไม่สงบลง “คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ทันทีที่เธอลืมตาขึ้นก็เห็นว่าเขากำลังจ้องมองตนเองอยู่ใกล้มาก จึงง่ายที่จะถูกทำให้ตกใจใช่ไหม
เฉียวจื้อปกปิดตาของตนเองที่ถูกตี มองไปที่เธออย่างน่าสงสาร “ก็ยังต้องการสร้างโอกาสให้คุณกับยู่ฉือเซิน ผลสุดท้าย……”
เมื่อเห็นเขาปิดตาไว้ หานมู่จื่อก็ตระหนักได้ว่าเมื่อกี้นี้ตนเองตอนรีบเร่งจึงปัดมือออกไป และก็ไม่รู้ว่าจะตีไปถูกตรงนั้น ตอนนี้ที่หลังมือก็เหมือนจะเจ็บอยู่เบาๆ
ไม่ต้องพูดถึงเฉียวจื้อเลย
“ขอโทษนะ”เธอลุกขึ้นนั่ง มองไปยังเฉียวจื้อด้วยความรู้สึกเสียใจ “ฉันตีไปถูกตาคุณหรือเปล่า เมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งตื่นนอน พอลืมตาก็เห็นคุณอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันรีบร้อนตกใจจึงได้……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของหานมู่จื่อมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ฉันต้องขอโทษจริงๆนะ คุณเอามือออกเถอะ ฉันจะดูให้ว่ามีตรงไหนเจ็บไหม”
ท่าทางแสดงการขอโทษอย่างจริงจังของเธอทำให้เฉียวจื้อรู้สึกเกรงใจเล็กน้อยขึ้นมา เขาส่ายหน้า นำมือออก “ไอ้หยา แค่แกล้งคุณ ปมไม่ได้เป็นอะไรเลย พี่สะใภ้ ในเมื่อคุณตื่นแล้วก็รีบไปกับผม”
“ไปไหน” หานมู่จื่อประหลาดใจเล็กน้อย เธอเห็นว่าดวงตาของเฉียวจื้อมีอาการบวมเล็กน้อย และไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดเป็นรอยฟกช้ำหรือไม่
เฉียวจื้อ “ผมจะพาคุณไปหายู่ฉือเซิน”
พูดจบ ก็ไม่ได้สนใจว่าหานมู่จื่อจะตกลงหรือไม่ เขาก็ดึงเธอขึ้นจากโซฟา “เร็วสิ ถ้าคุณช้ายู่ฉือเซินจะออกจากบริษัทแล้วนะ”
“โอ้” หานมู่จื่อรีบสวมรองเท้าและออกไปพร้อมกับเฉียวจื้อ
ทั้งสองคนเดินไปตามทางเดินอันเงียบสงบ เฉียวจื้อก็พูดกับเธอไปพลางขณะที่เดิน “ถ้าคุณชอบยู่ฉือเซินจริง ๆ อย่างนั้นคราวหลังคุณคงต้องรีบแล้ว โอกาสที่จะได้รับประทานอาหารกลางวันด้วยกันจะต้องไม่สูญเปล่านะ นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะได้พัฒนาความรู้สึก คุณจะต้องช่วงชิงเขามาให้ได้ก่อนที่เขาจะหมั้น”
เดิมทีหานมู่จื่อเดินอยู่ดี ๆ แต่ทันใดนั้นกลับชะงักลงและหยุดฝีเท้ามื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เธอเงยหน้าขึ้นมองไปยังเฉียวจื้ออย่างตกตะลึง
“คุณ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”
“เมื่อกี้ผมบอกว่า……” เฉียวจื้อพูดไปเพียงครึ่งเดียวดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึงและยื่นมือขึ้นมาป้องปากตนเองไว้ แย่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่ทันระวังและเผลอพูดออกไปแล้ว
และก็ไม่รู้เช่นกันว่าหานมู่จื่อเป็นคนแบบไหน ถ้าเธอได้ยินว่ายู่ฉือเซินกำลังจะหมั้นละก็ อย่างนั้นเธอจู่ๆเธอจะยอมแพ้หรือไม่ โอ๊ย ๆ ๆ ตอนนี้เขาเป็นอะไรไปกันแน่ ทำไมถึงพลั้งปากพูดออกไปแบบนี้ได้
“พี่สะใภ้ เมื่อกี้นี้ผมพูดจาเหลวไหล คุณอย่าเข้าใจผิดนะ ยู่ฉือเซินจะไปหมั้นสะเปะสะปะได้อย่างไรกัน คนแบบเขานั้นเย็นชาอย่างกับน้ำแข็ง แทบจะไม่มีผู้หญิงคนไหนหลุดเข้าไปอยู่ในสายตาของเขาได้ ผมรู้จักเขามาตั้งนาน และก็เห็นเขาดูจะสนใจพี่สะใภ้เพียงคนเดียวเป็นพิเศษ”
เฉียวจื้อรีบพลิกสถานการณ์อย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยรักษาจิตใจของหานมู่จื่อ
แต่คิ้วของหานมู่จื่อกลับขมวดแน่นขึ้นมา ราวกับมีอะไรบางอย่างที่ร้ายแรงเกิดขึ้น
“ไม่ใช่นะ……พี่สะใภ้ เมื่อกี้นี้ผมแค่พูดเหลวไหล อย่าไปจริงจังเลยนะ……”
หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้นมองอย่างแผ่วเบา
“ถ้าไม่ใช่เรื่องแบบนี้ แล้วคุณจะพลั้งปากได้อย่างไรกัน”
เธอรู้จักนิสัยของเย่โม่เซินดี เธอรู้ว่าเขาจะไม่หมั้นกับคนอื่น สำหรับตนเองแล้ว……นี่เป็นสิ่งพิเศษ อาจจะเป็นเพราะมีความรักจากครั้งก่อนอยู่อีก
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ได้ลืมเธอไปแล้ว
เมื่อเขารู้สึกว่าเขาสูญเสียความทรงจำ และได้ลืมตนเองไปแล้ว ในใจของหานมู่จื่อก็รู้สึกเจ็บปวด และเสียใจ
เขาลืมทุกคนได้ แต่ทำไมเขาต้องลืมเธอด้วย
หรือว่าเธอไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ แต่เมื่อมาคิดทีหลัง การเกิดเรื่องกับเขาก็ไม่ใช่ความสมัครใจของเขา ถ้าเธอตำหนิเขาเพราะแบบนี้ ก็ดูจะไม่คุ้มค่าเกินไปหน่อย
“พี่สะใภ้ แม้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้จริง ผมก็เพิ่งจะบอกคุณไปแล้ว ยู่ฉือเซินเขาไม่มีทางหมั้นกับใครสะเปะสะปะ คุณวางใจเถอะ”
หานมู่จื่อไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากมองจ้องไปที่เขา และก็ก้าวเดินต่อไป แต่ในใจเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นมา
ถ้าหากจะบอกว่าก่อนหน้านี้เต็มไปด้วย การเฝ้ารอ ความโลดโผน และความคาดหวังละก็
อย่างนั้นตอนนี้เธอ……ก็คงจะต้องท้อแท้สิ้นหวัง ไม่มีพลังชีวิตแน่นอน
ความเสียใจกระจายเต็มอยู่ในช่องอกอย่างไร้ที่สิ้นสุด เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขากับผู้หญิงคนอื่นจะมีการหมั้นหมายกันด้วยวาจา แต่มีการหมั้นกัน เธอก็อดไม่ได้ที่จะอึดอัดอยู่ในใจ ไม่สบายไปหมดทุกอย่าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นหานมู่จื่อก็พูดขึ้น “ฉันรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ขอไม่ไปกับคุณแล้วนะ”
เฉียวจื้อ “? ? ?”
“พี่สะใภ้ อย่าเป็นแบบนี้สิ โอกาสแบบนี้หายากมากเลยนะ คุณไม่ทะนุถนอมไว้ ถ้ายู่ฉือเซินถูกพรากไปละก็จะทำอย่างไร”
หานมู่จื่อยกไหล่อย่างไม่แยแส “เขาไม่ใช่ของฉัน แม้ว่าเขาจะถูกชิงไป แล้วฉันจะทำอย่างไรได้ อีกอย่าง เขาเองก็ไม่ใช่ตุ๊กตาเด็กเล่น จะมีให้แย่งชิงได้อย่างไร”
เธอพูดมาแบบนี้ทำให้เฉียวจื้อพูดอะไรไม่ออก
อันที่จริง ยู่ฉือเซินก็เป็นคนคนหนึ่ง และไม่ใช่สิ่งของ จะมาอยู่เฉยๆให้ปล้นได้ที่ไหนกัน
“ต้องโทษที่ผมปากเสีย!” จู่ ๆเฉียวจื้อก็ยื่นมือออกมาตบหน้าตนเองอย่างแรง “ผมไม่ควรพูดอะไรเหลวไหล พี่สะใภ้ โปรดยกโทษให้ผมด้วย!”
การตบหน้าที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้หานมู่จื่อตกใจ เมื่อเห็นว่าเฉียวจื้อกำลังจะตบหน้าอีกข้างหนึ่งอีกครั้ง เธอจึงรีบคว้ามือของเขาเอาไว้ “หยุดนะ! คุณอย่าทำแบบนี้!”
เฉียวจื้อจ้องมองเธออย่างน่าสงสาร “อย่างนั้นพี่สะใภ้จะกลับไปไหม”
หานมู่จื่อ “……”
“ไปเถอะ ฉันจะตามคุณไป”
“เยี่ยม”
หานมู่จื่อถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ “ทำไมคุณต้องช่วยฉันแบบนี้ เห็นได้ชัดว่า……ก่อนหน้านี้พวกเราไม่รู้จักกันมาก่อน ทำไมคุณจึงอยากจับคู่ฉันกับเขาให้อยู่ด้วยกัน หรือว่าจะไม่กลัวว่าฉันจะเป็นคนไม่ดีหรือ”
“ผมเชื่อว่าพี่สะใภ้ของผมจริงใจกับยู่ฉือเซิน และเชื่อในสายตาของตนเอง วางใจเถอะ ผมสามารถช่วยพวกคุณได้แน่นอน คนที่รักกันอยู่ก็ควรที่จะได้อยู่ด้วยกัน แทนที่จะ……ต้องแยกจากกัน”
เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย หานมู่จื่อก็สังเกตว่าน้ำเสียงของเขานั้นลดลงไปไม่น้อย เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณมีเรื่องเศร้าใจหรือ”
เมื่อถูกเธอถามแบบนี้ เฉียวจื้อก็รีบลดอารมณ์ที่แสดงออกอย่างรวดเร็ว และแทนที่ด้วยท่าทีอื่น ๆ “เรื่องเสียใจอย่างนั้นหรือ ผมจะไปมีเรื่องเสียใจอะไร ไปเถอะไปเถอะ”
เขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น หานมู่จื่อมองไปยังด้านหลังของเขาครุ่นคิดขึ้นมา
อดีตที่ผ่านมาของเฉียวจื้อ
ช่างเถอะ เธอจะไปคิดเรื่องของคนอื่นทำไม ตอนนี้เรื่องของตัวเธอเองก็เพิ่งจะตกอยู่ในสภาพอึดอัด เรื่องของตนเองยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยดี จะเอาเวลาไหนไปจัดการเรื่องของคนอื่น”
ตามเฉียวจื้อเข้าไปยังสำนักงานของเย่โม่เซิน
ก็พบกับเย่โม่เซินที่กำลังหยิบชุดสูทและกุญแจเตรียมออกมาพอดี ทั้งสองฝ่ายจึงได้เผชิญหน้ากัน
“ยู่ฉือเซิน ออกไปกินข้าวหรือ ดีเลย ผมกับผู้ช่วยน้อยของคุณยังไม่ได้กินเลย พวกเราไปด้วยกันเลยดีกว่า”
หานมู่จื่อ “……”
ขอออกไปอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้มันจะดีหรือ หากหานมู่จื่อรู้ว่าเฉียวจื้อจะทำแบบนี้ เธอจะไม่ยอมตามมาอย่างแน่นอน