บทที่803 พูดพอแล้วก็ไปให้พ้น
พอเฉียวจื้อเข้าไปแล้ว ก็เบียดตัวเข้าไปในห้องครัวอย่างรวดเร็ว และก็ต้องเซอร์ไพรส์
“ว้าว วันนี้มีซุปปลาให้กินอีกแล้วเหรอ? ดีจังเลย! ”
เย่โม่เซินที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูยังไม่ได้เดินเข้ามา :“……”
สายตาที่เขามองเฉียวจื้อเหมือนอยากจะฆ่าคนยังไงยังงั้น ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงไม่รู้สึกว่าไอ้เด็กเฉียวจื้อนี่มันจะกวนตีนได้ขนาดนี้นะ??
เหอะ สงสัยเขาอยากโดนตบจริงๆ
ทันใดนั้น เย่โม่เซินก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมา
“พี่สะใภ้! ” เฉียวจื้ออาศัยตอนที่เย่โม่เซินอยู่ข้างนอกแอบเข้ามาในห้องครัว แล้วก็กระซิบคุยกับเธอว่า “ยู่ฉือเซินมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ”
หานมู่จื่อ “เลิกงานก็กลับมากับฉัน เขาบอกว่าจะมาเอาเสื้อผ้าที่ทิ้งไว้เมื่อวาน”
หา?
เหตุผลนี้ทำให้เฉียวจื้ออดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น “เสื้อผ้าเมื่อวาน? เขาบอกเองเลยว่าจะมาเอางั้นเหรอ? ”
“อืม” หานมู่จื่อพยักหน้า
“แล้วเธอเชื่อเหรอ? ”เฉียวจื้อขยับเข้ามาใกล้ หรี่ตาพร้อมกับเอ่ยปากถาม
“ทำไมเหรอ? ” หานมู่จื่อมองเฉียวจื้อที่เข้ามาใกล้อย่างไม่เข้าใจ เธอรู้สึกสงสัยเล็กน้อย “เมื่อวานเขาบอกว่าสูทชุดนั้นแพงมาก ก็ต้องมาเอาเองเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
แน่นอน หานมู่จื่อไม่ได้บอกเฉียวจื้อเกี่ยวกับเรื่องที่ชุดชั้นในของตัวเองแขวนไว้กับสูท เรื่องนี้……มีแค่เธอกับเย่โม่เซินรู้ก็พอแล้ว
เฉียวจื้อได้ฟังก็เข้าใจผิดทันที เขาหัวเราะฮ่าๆ ออกมา “แพงมากงั้นเหรอ? ทายาทของบริษัทตระกูลยู่ฉือที่สง่าผ่าเผยกลับพูดคำว่ารวยออกมางั้นเหรอ?? พี่สะใภ้ ไม่พูดไม่ได้นะว่า เธอนี่จะใสซื่อเกินไปแล้ว! ”
หานมู่จื่อยังคงมองเขา เฉียวจื้อก็อธิบาย “ผมว่าเขาจงใจหาข้ออ้างมาเพื่อกินข้าวฟรี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้ว่า ที่แท้ยู่ฉือเซินก็เป็นคนแบบนี้นี่เอง
ทั้งๆ ที่อยากจะมาอยู่กับเธอ แต่ก็ต้องหาข้ออ้าง
เมื่อมาเทียบกับเขาเฉียวจื้อแล้ว นิสัยของยู่ฉือเซินแบบนี้เย่อหยิ่งเกินไป แต่โชคดีที่เป็นพี่สะใภ้ ถ้าเกิดว่าเป็นผู้หญิงคนอื่น……เดาว่าคงหนีไปนานแล้ว
แต่ว่า ดูจากใบหน้าของเย่โม่เซินแล้ว อย่าพูดถึงว่าเขาหยิ่งเลย ต่อให้เขาเป็นคนไร้หัวใจจริงๆ ขอแค่ไม่ปฏิเสธ ผู้หญิงคนไหนจะไม่มาหาเขาถึงหน้าบ้านบ้างล่ะ?
เฮ้อ คนเราพอมาเทียบกับคนอื่นแล้วช่างรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียจริง
“พวกนายทำอะไรกันอยู่? ” เสียงที่เย็นชาดังขึ้นในห้องครัว
หานมู่จื่อกับเฉียวจื้อหันกลับไปพร้อมกัน เห็นว่าเย่โม่เซินกำลังยืนพิงประตูห้องครัวอยู่ มือทั้งสองข้างกอดอก มองพวกเขาทั้งสองคนด้วยสายตาที่เยือกเย็น
เฉียวจื้อพบว่า ตัวเองอยู่ใกล้กับพี่สะใภ้หน่อย อารมณ์ของยู่ฉือเซินก็ไม่คงที่แล้ว โดยเฉพาะสายตาของเขา เหมือนกับว่าจะประหารชีวิตด้วยการตัดเขาเป็นชิ้นๆ ซะอีก
“ฮิๆ ไม่ได้ทำอะไรหรอก ก็แค่มาถามผู้ช่วยตัวน้อยของนายเกี่ยวกับวิธีทำส่วนผสมพวกนี้เท่านั้นเอง นายจะเครียดขนาดนั้นทำไมกัน? ” หลังจากพูดจบ เฉียวจื้อก็จงใจขยิบตาให้เย่โม่เซิน
อยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ตัวเองชอบยังเสแสร้งขนาดนี้ ถ้ายังงั้นเขาก็จงใจกระตุ้นเขาหน่อย หลังจากนั้นก็ดูฉากที่เขาเสแสร้งแกล้งทำต่อ
ในสายตาของเฉียวจื้อ เย่โม่เซินเป็นคนที่เย็นชาและเป็นชนชั้นสูงมาโดยตลอด เป็นคนที่ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา
น่าจะเป็นเพราะนิสัยที่รักสนุกของเขา จู่ๆ ก็อยากจะเห็นอารมณ์ของเย่โม่เซินวุ่นวายเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ท่าทางสูญเสียสติสัมปชัญญะ
คิดๆ ดู……ก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก!
คิดไปคิดมา ความลำพองใจในสายตาของเฉียวจื้อนั้นก็เห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ดูฉันฉีกหน้ากากนายออก
และในตอนนี้เอง โทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น เฉียวจื้อมองดูรายชื่อของคนที่โทรมาแล้ว ใบหน้าที่ลำพองใจเมื่อกี้นี้ก็เปลี่ยนเป็นเศร้าซึมทันที
ผู้เฒ่า?? เชอะ! ทำไมผู้เฒ่าถึงโทรหาเขาตอนนี้ได้????
เฉียวจื้อเหลือบมองหานมู่จื่อ หลังจากนั้นก็รับสาย “คุณปู่??? ”
“เฉียวจื้อ รีบไสหัวกลับมาเดี๋ยวนี้”
เฉียวจื้อ:“……ไม่ใช่สิ คุณปู่วันนี้ผมทำอะไรผิดอีกล่ะครับ พึ่งจะรับสายก็ดุผมแบบนี้แล้ว? ”
เขาคิดอย่างถี่ถ้วน วันนี้เหมือนกับว่าเขายังไม่ทันจะทำเรื่องอะไรไม่ดีเลยนะ ช่วงนี้ข่าวซุบซิบของเขาก็น้อยลงไปเยอะแล้ว ทำไมผู้เฒ่าถึงได้โพล่งใส่เขาตั้งแต่ประโยคแรกแบบนี้??
“แกยังกล้าพูดว่าแกไม่ได้ทำอะไรผิดงั้นเหรอ? ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน? ออกไปทำอะไรบ้าๆ อีกแล้วใช่ไหม? ไอ้เด็กเลวนี่ เมื่อไหร่แกจะโตสักที เมื่อไหร่จะทำให้ฉันที่ขาข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในโลงศพแล้วไม่ต้องมาเป็นกังวลเพราะแกขนาดนี้? ”
เฉียวจื้อมึนงง เพราะว่าเขาไม่รู้เลยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ว่าผู้เฒ่าที่อยู่ปลายสายก็เอาแต่ดุด่าเขา และไม่ได้ให้โอกาสเขาได้อธิบายเลยแม้แต่นิดเดียว และก็ไม่ฟังเขาอธิบายด้วย
“ไอ้เด็กเลว ถ้าเกิดว่าแกไม่โผล่มาต่อหน้าฉันภายในครึ่งชั่วโมง ก็อย่าโทษที่ฉันจะอายัดบัตรธนาคารของแกทุกใบ”
“คุณปู่ ทำไมจู่ๆ ……”
ตู้ด!
อีกฝั่งตัดสายไปแล้ว เสียงสายไม่ว่างดังออกมาจากโทรศัพท์
เฉียวจื้อยืนถือโทรศัพท์อยู่ตรงนั้น เขามึนงงไปหมด
เย่โม่เซินที่ได้เห็นฉากนี้ด้วยตาของตัวเอง นัยน์ตาสีหมึกของเขาก็ดูหอมกรุ่นขึ้น เต็มไปด้วยรอยยิ้มจางๆ หลังจากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นแล้วก็เยาะเย้ยเข้า “ดูจากสีหน้าของนายเนี่ย น่าจะมีเรื่องด่วนใช่ไหม? ”
เฉียวจื้อที่กำลังสับสน โดนด่าโดยที่ยังไม่ทันทำอะไร ตอนนี้เองพอได้สบตากับเย่โม่เซินเขาก็รู้ตัวทันที
ที่แท้ก็เป็นผลงานชิ้นเองของเย่โม่เซิน!!!
เชอะ!
ไอ้เลวนี่ ขายเพื่อนร่วมทีมเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งยังงั้นเหรอ?
“ทำไมเหรอ? ” หานมู่จื่อกลับมองเฉียวจื้อด้วยสายตาสงสัย “เมื่อกี้คนที่โทรหานายคือ??? ”
เฉียวจื้อดึงสติกลับมา แกล้งยิ้มแล้วพูดว่า “คือว่า……ปู่ผมโทรมาหาบอกว่ามีเรื่องด่วน เพราะฉะนั้น……ผมเกรงว่าจะอยู่กินข้าวเย็นด้วยไม่ได้แล้ว”
พอพูดจบ เฉียวจื้อก็มีสีหน้าที่เจ็บปวดและเสียใจ “พรุ่งนี้ผมยังมากินข้าวด้วยได้ใช่ไหม? ”
หานมู่จื่อ :“……”
เธอพยักหน้า “ก็ต้องได้แน่นอนอยู่แล้ว”
เฉียวจื้อคลี่ยิ้มออกมาในทันที “นี่เธอพูดเองนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาใหม่! วันนี้……หึ ช่างเถอะ! ”
พอพูดจบ เฉียวจื้อก็ส่งสายตาที่ลำพองใจให้กับเย่โม่เซิน
วันนี้นายไม่ใช่ฉันกินข้าว ถ้ายังงั้นพรุ่งนี้ฉันก็มากินใหม่ก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ? ยังไงอนาคตข้างหน้ายังอีกยาวไกล ยังไงฉันก็ต้องหาโอกาสฉีกหน้ากากของยู่ฉือเซินออกมาให้ได้!
หลังจากเฉียวจื้อบอกลาหานมู่จื่อแล้ว ก็เตรียมจะกลับ เย่โม่เซินไปปิดประตูให้เขาด้วยตัวเอง มือของเฉียวจื้อกดอยู่ที่ประตู
“ยู่ฉือเซิน นายนี่ต่ำทรามมากนะ โทรไปฟ้องปู่ฉันด้วย”
เย่โม่เซินเลิกคิ้ว “ต่ำทรามงั้นเหรอ? เกรงว่าจะเทียบกับหน้าด้านๆ ของนายไม่ได้หรอกนะ”
พอได้ยินดังนั้น เฉียวจื้อก็กัดฟันแน่น “ฉันหน้าด้านงั้นเหรอ? ใครกันแน่ที่หน้าด้าน ทั้งๆ ที่ตัวเองอยากจะอยู่กินข้าว แต่กลับหาข้ออ้างมาบอกว่าจะมาเอาเสื้อผ้า”
คำพูดนี้ทำให้เย่โม่เซินขมวดคิ้วเข้าหากัน หรี่ตามองเขาด้วยสายตาที่อันตรายโดยอัตโนมัติ
เฉียวจื้อเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ทันทีว่าตัวเองพูดจี้จุดแล้ว เขาทำเสียงหึ แล้วก็ราดน้ำมันใส่กองไฟต่อ
“สูทแพงมากยังงั้นเหรอ? ทายาทของตระกูลยู่ฉือแท้ๆ กลับพูดว่าสูทชุดหนึ่งแพงมาก ทำไมตอนปกติที่ออกแบบสูทไม่เคยเห็นนายขยันขันแข็งและประหยัดมาก่อนเลย? ”
พอเจอโอกาส เฉียวจื้อก็ถากถางเขาอย่างแรง
เขาอยู่กินข้าวเย็นที่อยากกินไม่ได้ จะถากถางเพื่อเป็นการแก้แค้นไม่กี่ประโยคก็คงได้ล่ะมั้ง?
“พูดพอรึยัง? ”
ใครจะไปรู้ว่า อารมณ์ของเย่โม่เซินกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เร็วมาก เขามองหน้าเฉียวจื้อที่ยืนอยู่นอกประตู แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “พูดจบแล้วก็ไสหัวออกไปได้แล้ว”
หลังจากนั้นก็มีเสียงปัง เขาปิดประตูทันที
เฉียวจื้อยืนอยู่ใกล้มาก จมูกเกือบจะโดนกระแทก เขาโกรธจนโวยวายอยู่นอกประตู!