บทที่804 ฉันพูดคำไหนคำนั้น
“เสียงดังจริงๆ ”
เย่โม่เซินแขวะ หลังจากนั้นก็หันกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยื่นมือขึ้นมาลูบหัวตัวเอง
พอไอ้เจ้าเฉียวจื้อไป ในห้องก็สงบเงียบขึ้นเยอะเลย
หานมู่จื่อยังคงทำกับข้าวอยู่ในห้องครัว เย่โม่เซินเดินมาตรงหน้าประตู สายตามองไปยังร่างกายของเธอ
ไฟในห้องครัวเป็นสีเหลือง หานมู่จื่อสวมผ้ากันเปื้อนสีอ่อน ผมยาวของเธอถูกมัดรวบไว้ด้านหลัง แสงไฟทำให้เธอดูมีประกายของความอ่อนโยน
มองดูเธอที่เป็นแบบนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าเย่โม่เซินจะมีความรู้สึก ว่าชีวิตของทั้งสองคนควรจะเป็นแบบนี้
ทั้งๆ ที่ยังรู้จักเธอได้ไม่นาน ยังไม่ถึงครึ่งเดือนเลยด้วยซ้ำ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้หญิงตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ แต่เหมือนกับว่าสมองไม่สามารถควบคุมร่างกายของเขาได้ อยากแต่จะเข้าใกล้เธอ
ความรู้สึกแบบนี้ มันคือเรื่องอะไรกัน?
ทำไม?
ตอนที่เย่โม่เซินกำลังไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นั้น หานมู่จื่อก็หันกลับมามองเขาเหมือนกับว่ารู้สึกได้
“คุณยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น? ” หานมู่จื่อถามเขาด้วยความสงสัย “อยากจะมาช่วยอีกแล้วงั้นเหรอ? ”
แม้ว่าแววตาและสีหน้าจะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนมากนัก แต่ว่าเย่โม่เซินมองออก ว่าตอนนี้เธอกำลังสงสัยเขาอยู่
ริมฝีปากบางๆ ของเย่โม่เซินขยับ ในใจของเขาตอนนี้กำลังรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอย่างมาก
เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่ตัวเองจะขาดความสามารถต่อหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง และก็เหมือนกับว่าเขาไม่ได้มีคำพูดอะไรที่จะโต้แย้งได้ด้วย
“ช่างเถอะ คุณไปรอฉันที่ห้องรับแขกแล้วกัน ใกล้จะเสร็จแล้ว” หานมู่จื่อพูด หลังจากนั้นก็หันกลับไปทำกับข้าวต่อ
เย่โม่เซิน:“……”
อาหารเย็นวันนี้เหมือนกับเมื่อวาน มีผัก มีเนื้อสัตว์แล้วก็มีซุป หานมู่จื่อรู้ว่าตัวเองกำลังท้องอยู่ เพราะฉะนั้นก็ไม่เคยปล่อยปละละเลยตัวเองเรื่องการกิน นอกจากว่าเธอจะเหนื่อยจริงๆ จนไม่มีแรงทำอาหาร ถึงจะกินแบบขอไปที
ปกติแล้ว เธอจะมีพิธีการเยอะ จะตั้งใจใช้เวลาไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเลือกซื้อของที่ตัวเองต้องการและพวกวัตถุดิบ หลังจากนั้นก็กลับบ้านมาค่อยๆ ทำอาหาร แล้วก็กินข้าวคนเดียวช้าๆ
อย่างไรก็ตามอาหารพวกนี้สำหรับเย่โม่เซินแล้วนั้น มันง่ายๆ และหยาบๆ มาก
อย่างไรเสียพ่อครัวของตระกูลยู่ฉือแม้แต่ร้านอาหารสุดหรูก็ยังเชิญเขาไปไม่ได้ แต่ว่าหานมู่จื่อกลับทำมื้ออาหารง่ายๆ
ตอนที่ทั้งสองคนกินข้าวนั้นเงียบมาก เย่โม่เซินกินซุปปลาเงียบๆ มองผู้หญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้าที่กินข้าวอย่างเงียบเชียบ หัวใจก็เหมือนจะสงบลงอย่างช้าๆ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ตอนที่หานมู่จื่อเก็บจานเข้าไปในห้องครัวนั้น เย่โม่เซินก็ตามเข้ามา พร้อมกับพูดด้วยใบหน้าเฉยเมย “เดี๋ยวฉันช่วย”
หานมู่จื่อเหลือบไปมองแขนเสื้อของเขาที่ยังไม่ได้ดึงขึ้น ก็คลี่ยิ้มออกมา “ช่างเถอะ ฉันกลัวว่าจานฉันจะแตกหมด เดี๋ยวฉันต้องจ่ายเงินซื้อใหม่อีก”
พอได้ยินดังนั้น เย่โม่เซินก็หรี่ตาลง “นี่เธอกำลังสงสัยฉันอยู่เหรอ? ”
“เอ่อ เปล่านะ ฉันไม่ได้สงสัยคุณ ฉันแค่รู้สึกว่า ท่านประธานของบริษัทตระกูลยู่ฉือที่สง่า ไม่ควรจะมาทำเรื่องอะไรแบบนี้ แล้วอีกอย่าง คุณเป็นเจ้านาย แล้วก็เป็นแขกด้วย เรื่องพวกนี้ฉันทำเองได้”
คุณเป็นเจ้านาย แล้วก็เป็นแขก
คำพูดนี้ทำให้เย่โม่เซินเงียบลง รวมกับสิ่งที่เฉียวจื้อพูดกับเขาก่อนหน้านี้ นายก็เป็นแค่เจ้านายของเธอเท่านั้นเอง คงไม่ได้ต้องยุ่งแม้แต่ชีวิตส่วนตัวของเธอใช่ไหม?
ดังนั้น ในสายตาของเธอ เธอเห็นว่าเขาเป็นเจ้านาย เพราะฉะนั้นก็เลยเชิญให้เขากินข้าวด้วยยังงั้นเหรอ?
แล้วถ้าเกิดว่าเขาไม่ใช่เจ้านายของเธอล่ะ? อย่างไรเสีย แม้แต่เฉียวจื้อที่จะมาขอกินข้าวด้วย เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เย่โม่เซินเหลือบมอง เป็นสายจากพ่อบ้าน เขาก็เลยรับสาย
“คุณชายเซิน นายท่านถามว่าเมื่อไหร่คุณจะกลับมาเหรอครับ? ”
เย่โม่เซินเหลือบมองหานมู่จื่อ พร้อมกับเม้มปาก “ใกล้แล้ว”
“โอเคครับ นายท่านบอกให้คุณชายเซินรีบกลับ”
“เข้าใจแล้ว”
หลังจากวางสาย หานมู่จื่อก็มองโทรศัพท์เขาแล้วก็เอ่ยปากถาม “ที่บ้านคุณเร่งให้กลับแล้วเหรอ? ”
พอถามเสร็จยังไม่ทันจะรอให้เย่โม่เซินตอบ เธอก็พูดต่อ “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ท่านประธานรีบกลับไปเถอะค่ะ”
คำพูดนี้ทำให้เย่โม่เซินขมวดคิ้ว มองหน้าผู้หญิงตรงหน้าของตัวเองอย่างไม่พอใจ
“เธออยากให้ฉันกลับไปขนาดนั้นเลยเหรอ? ”
หานมู่จื่อ :“……”
แน่นอนว่าเธอไม่อยากให้เขากลับ แต่ว่าจะให้เขาอยู่ต่อทำอะไรล่ะ? ตอนนี้เธอร้อนใจอยากจะโทรหาซูจิ่ว ถามว่าเธอมีวิธีอะไรที่ดีกว่านี้ไหม เพราะว่าตอนนี้เธอสัมผัสไม่ได้ถึงความผันแปรของความทรงจำของเย่โม่เซินเลย
ตอนที่เขาเห็นเธอนั้น ดูสงบเกินไป
“เปล่านะ” หานมู่จื่อค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา ก้มหน้าลงแล้วพูดเบาๆ “ถ้ายังงั้น ถ้าเกิดว่าฉันเชิญให้คุณอยู่ต่อ คุณจะตกลงไหม? ”
พอได้ยินดังนั้น เย่โม่เซินก็หรี่ตาลง ต้องหน้าเธอด้วยสายตาอันตราย
“เธอแน่ใจเหรอ? ”
เธอนึกว่าเขาจะปฏิเสธ ไม่คิดว่าเขาจะ……
“แค่ก”หานมู่จื่อถือของเข้าไปในครัว “ทำเหมือนฉันไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน”
“ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูดไปแล้วนะ” เย่โม่เซินจ้องไปที่แผ่นหลังของเธอ พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่เย็นชา “ไม่ยังงั้นก็ไม่ต้องพูด”
หานมู่จื่อหยุดเดินทันที แล้วก็หันกลับมามองเขา
“แล้วถ้าเกิดว่ามีวันหนึ่ง ที่คุณพบว่าตัวเองไม่สามารถทำตามที่ตัวเองเคยพูดไว้ได้จะทำยังไง? ”
เขาบอกว่าเขาจะดูแลเธอกับเสี่ยวหมี่โต้วให้ดี ผลก็คือเขากลับประสบอุบัติเหตุ แถมยังลืมเธอไปอีก
หานมู่จื่อไม่เคยโกรธเขามาก่อนเลย แต่กลับทุกข์ใจเพราะเขามากกว่า
หายนะทั้งจากธรรมชาติและฝีมือของคน ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้หรอก
พอได้ยินดังนั้น เย่โม่เซินก็หรี่ตาลง มองเธอด้วยสายตาสืบเสาะ ผู้หญิงคนนี้พูดจาแปลกประหลาดจริงๆ
“ไม่มีทาง ฉันพูดคำไหนคำนั้น”
หานมู่จื่อยิ้มจางๆ “ถ้ายังงั้นฉันก็จะรอให้คุณทำอย่างที่พูดแล้วกัน โอเค นี่ก็ดึกมากแล้ว วันนี้คุณกลับไปก่อนเถอะ ชุดเมื่อวานฉันก็เก็บไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมเอาไปด้วยล่ะ”
พอพูดจบเธอก็ไม่ได้สนใจท่าทางของเย่โม่เซิน เข้าไปในห้องครัวทันที พอเธอเก็บกวาดเสร็จแล้ว ในห้องรับแขกก็กลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว
หานมู่จื่อเปิดประตูมองลงไปชั้นล่าง รถของเย่โม่เซินก็ไม่อยู่แล้ว
ดูเหมือนว่าเขากลับไปแล้วจริงๆ
เธอรีบกลับไปที่ห้องแล้วโทรหาซูจิ่ว
ตอนที่ซูจิ่วรับโทรศัพท์เธอนั้นน่าจะเลี้ยงเด็กอยู่ ข้างๆ มีเสียงเด็กพูด
“เลขาซู ขอโทษด้วยนะที่โทรมาหาเธอตอนนี้ เธอ……”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณมู่จื่อ มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ? ”
“แม่ แม่……”
หานมู่จื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องเรียกซูจิ่วมาจากทางโทรศัพท์ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “กระปรี้กระเปร่าดีจริงๆ ”
“เฮ้อ เด็กเล็กนี่ชอบก่อความวุ่นวายจริงๆ วันๆ เอาแต่เสียงดังจนฉันปวดหัวไปหมด”
หานมู่จื่อได้ยินเสียงลุกขึ้นของปลายสาย ซูจิ่วกำลังกล่อมลูกของเธออยู่ แล้วรอบๆ นั้นก็สงบลง
“คุณมู่จื่อมีอะไรสงสัยรึเปล่าคะ? ”
“อืม” หานมู่จื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ซูจิ่วฟัง รู้สึกทุกข์มาก “ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรเลย ไม่ใช่ว่าการที่ได้อยู่ใกล้คนที่คุ้นเคยจะช่วยกระตุ้นความทรงจำเหรอ? แต่ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกว่า……เหมือนกับว่าเขาจะจำไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว? ”
ซูจิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดว่า “ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ใช่หลักการที่เด็ดขาดแน่นอน ก็แค่เรื่องของความน่าจะเป็น แล้วอีกอย่าง……ฟังจากที่คุณพูด เหมือนกับว่าพวกคุณยังไม่ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมเลยใช่ไหมคะ? ”