บทที่807 หลงงมงาย
เย่โม่เซิน???
เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
ตวนมู่เจ๋อมองเย่โม่เซินที่นั่งอยู่ตรงนั้น ในหัวเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม อย่าพึ่งพูดเรื่องที่เจอหานมู่จื่อเมื่อกี้เลย ตอนนี้กลับมาเจอเย่โม่เซินซะได้
เขาอึ้งอยู่หลายวินาทีถึงได้หันกลับมามองพี่หลินกับหญิงสาวแผนกต้อนรับ “นี่คือห้องทำงานของประธานบริษัทตระกูลยู่ฉือเหรอครับ? ผมไม่ได้เข้ามาผิดใช่ไหม? ”
ทั้งสองคนถูกถามอย่างแปลกประหลาดจากคำถามที่กะทันหันของเขา ก็มองเขาด้วยความสงสัย พี่หลินค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับอธิบาย “นายตวนมู่นี่ขี้เล่นจริงๆ เลยนะคะ ห้องทำงานท่านประธานบริษัทตระกูลยู่ฉือมีห้องเดียวเท่านั้น คุณจะเข้าผิดห้องได้ยังไงกันคะ? ”
“ถ้ายังงั้น……คนที่อยู่ข้างใน ก็คือยู่ฉือเซิน??”
พี่หลินพยักหน้า แล้วก็มองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ
“มีอะไรสงสัยรึเปล่าคะคุณตวนมู่?”
ตวนมู่เจ๋อตกใจจนดึงสติกลับมาไม่ได้ เขาไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่ก็ได้แต่โบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร หลังจากนั้นก็เดินเข้าไป
หลังจากเข้าไปแล้ว สายตาของตวนมู่เจ๋อก็สำรวจดูเย่โม่เซินตลอด นึกว่าตัวเองจำผิดคน
แต่ว่าไม่ว่าจะมองซ้ายมองขวา เขาก็คือคนที่เมื่อก่อนเคยเจอกันแล้วไม่ใช่เหรอ? เขาไม่มีทางจำผิดคนแน่นอน แต่ว่า……เย่โม่เซิน ทำไมถึงกลายเป็นยู่ฉือเซินไปได้?
หานมู่จื่ออยู่ที่นี่เป็นผู้ช่วยเลขาของเขายังงั้นเหรอ? ถ้าเกิดว่าทั้งสองคนยังคนคบกันอยู่ แล้วทำไมเขาต้องจะหมั้นกับเสี่ยวเสว่ด้วย?
เขาก็แค่ออกเดินทางไกลเท่านั้นเอง พอกลับมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไปขนาดนี้เลยเหรอ??
หรือว่า ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของเย่โม่เซินแตกแยก หรือว่าเสียใจที่ได้แต่งงาน? เชอะ ผู้ชายคนนี้ เปลี่ยนใจไวมาก
ในใจเขามีความคิดแบบนี้ ตวนมู่เจ๋อเดินเข้าไปใกล้แล้วโบกมือให้เขา “ไฮ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เย่โม่เซินขมวดคิ้ว “คุณคือใคร? ”
ตวนมู่เจ๋อ:“……”
“ไม่แย่ขนาดนั้นมั้ง? เมื่อก่อนฉันไม่เคยทำเรื่องให้นายขุ่นเคืองใจเลยนะ นายคงไม่ได้ผูกพยาบาทอะไรฉันหรอกใช่ไหม? แม้แต่จำยังไม่อยากจะจำเลย? ”
มองใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้าของเขา เย่โม่เซินไม่ได้มีภาพเขาอยู่ในความทรงจำเลย แต่ดูจากการพูดของเขา ตัวเองน่าจะเคยรู้จักเขาอยู่นะ
ตั้งแต่ตอนที่เขาความจำเสื่อม ใครก็กลายเป็นคนแปลกหน้าไปหมด
“ก่อนหน้านี้พวกเราเคยรู้จักกันเหรอ? ”
ดังนั้น เย่โม่เซินก็เลยถามเพิ่ม
ตวนมู่เจ๋อ:“……”
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เย่โม่เซินไม่รู้จักเขายังงั้นเหรอ? ตวนมู่เจ๋อรู้สึกว่าเขากำลังล้อเล่น แต่ว่าพอมองไปที่ใบหน้าที่จริงจังและเย็นชาของเขาก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าในสายตาของเขาตอนนั้นเต็มไปด้วยความไม่คุ้นเคย เขาไม่รู้จักเขาจริงๆ
ทันใดนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เขามาที่บริษัทตระกูลยู่ฉือก็แค่เพื่อที่จะดูว่าน้องเขยในอนาคตของเขาจะเป็นยังไง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเป็นสถานการณ์แบบนี้
“มาหาผมมีธุระอะไรรึเปล่าครับ? ”
ตวนมู่เจ๋อไม่มีทางเลือก ก็เลยจำต้องแนะนำตัวเอง แต่ว่าอีกฝ่ายกลับพูดออกมาอย่างเย็นชา “ก่อนที่คุณจะเข้ามาเลขาบอกผมเกี่ยวกับตัวตนของคุณแล้ว ถ้าเกิดว่าคุณไม่ได้มีธุระอะไร ก็อย่ามากระทบต่องานของผมเลย”
พอพูดจบ เขาก็ออกปากเตือนอย่างเย็นชาอีกครั้ง “ตอนนี้เป็นเวลาทำงาน”
ตวนมู่เจ๋อ:“……”
โอเค ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม แค่ไม่รู้จักเขาเท่านั้นเอง
ตวนมู่เจ๋อมีเรื่องอยากจะถามมากมาย แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกเกินไปแล้ว ต้องกลับไปสืบหาให้เข้าใจก่อน ดังนั้นเขาก็เลยส่ายหน้า “เปล่าครับ ผมก็แค่อยากจะมาทำความรู้จักเฉยๆ ในเมื่อมันเป็นเวลางาน ถ้ายังงั้นผมไม่รบกวนแล้ว”
พอเขาออกไปแล้ว เย่โม่เซินก็จมเข้าสู่ห้วงความคิด
สายตาของตวนมู่เจ๋อ เหมือนกับว่าเมื่อก่อนจะเคยรู้จักเขานะ?
*
หลังจากตวนมู่เจ๋อออกจากห้องทำงานมาแล้วก็เดินออกไปด้านนอก หญิงสาวแผนกต้อนรับกับพี่หลินก็ไม่อยู่แล้ว เขาเดินตามทางที่ได้เดินมา แต่ว่าตอนที่เดินผ่านห้องเลขานั้นก็หยุดเดิน
เมื่อกี้เขาเจอหานมู่จื่อ แผนกต้อนรับบอกว่าเป็นผู้ช่วยเลขา
ทันใดนั้น เขาก็เข้าใจเล็กน้อยแล้วว่าทำไมถึงได้เจอเธอที่นี่ เพียงแค่……ทำไมเธอถึงมาเป็นผู้ช่วยเลขาล่ะ?
ตอนที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ตวนมู่เจ๋อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหานมู่จื่อถือแฟ้มเอกสารเดินมา
เขารีบเดินเข้าไปขวางอยู่ตรงหน้าเธอทันที
พอเห็นตวนมู่เจ๋อ หานมู่จื่อก็อึ้งไป หลังจากนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน
ทำไมถึงเจอเขาอีกแล้ว??
“เจอกันอีกแล้วนะ” ตวนมู่เจ๋อยิ้มให้เธอพร้อมกับกะพริบตา “สะดวกไปหาที่คุยกันหน่อยไหม? ”
ใครจะไปรู้ว่าหานมู่จื่อจะแค่พูดกับเขาประโยคเดียว “ไม่สะดวก”
หลังจากนั้นก็เดินอ้อมเขาไป
ตวนมู่เจ๋อรู้สึกไม่มีทางเลี่ยง ผู้หญิงคนนี้ทำตามแบบแผนทั่วไปไม่ได้จริงๆ เขาทำได้แค่หันกลับไปมองแผ่นหลังของเธอ “ไม่รบกวนเวลาคุณนานหรอก คุยตรงนี้ก็ได้”
หานมู่จื่อเหมือนกับว่าไม่ได้ยินเขาพูด เธอเข้าไปในห้องเลขาทันที
ตวนมู่เจ๋อเองก็ไม่ได้โกรธ เขาเอามือมาจับคางแล้วก็ครุ่นคิด
สองคนนี้ อารมณ์ร้ายพอกันเลย ดูเหมือนว่าเขาต้องกลับไปทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ก่อนว่ามันเรื่องอะไรกันแน่แล้วค่อยมาคุยอีกที
ตระกูลตวนมู่
“พูดมาเถอะ มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมเย่โม่เซินถึงกลายเป็นทายาทของตระกูลยู่ฉือไปได้? แถมยังจะหมั้นกับเธออีก? ”
ตอนแรกตวนมู่เสว่นอนเอนอยู่หน้าคอมพลางกอดหมอนดูละครอยู่ พอได้ยินคำพูดของตวนมู่เจ๋อก็กระโดดเด้งขึ้นมาเหมือนกับลิงโลดทันที “พี่ ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของฉัน? แล้วทำไมถึงไปสืบโดยที่ฉันไม่รู้อีก??? ”
เมื่อเห็นเธอระเบิด ตวนมู่เจ๋อก็กางมือออกอย่างช่วยไม่ได้
“พี่ไม่ได้ไปสืบเกี่ยวกับเธอเลยนะ พี่ก็แค่อยากจะไปดูว่าคนที่ทำให้น้องสาวของพี่หวั่นไหวได้เป็นคนยังไงกันแน่ ยังไงเมื่อก่อนเธอก็เคยใจเต้นแค่กับเย่โม่เซินไม่ใชหรือ? พี่ก็เลยยิ่งอยากจะรู้ว่าคนในโลกใบนี้ที่เข้าตาเธอจะต้องยอดเยี่ยมขนาดนั้น ก็เลย……ไปบริษัทตระกูลยู่ฉือด้วยสภาวะจิตใจเช่นนี้”
ตวนมู่เสว่ไม่อยากจะฟังคำอธิบายของเขา โกรธจนตะโกนออกมา “ยังไงพี่ก็พูดกลับไปกลับมา ไม่เคารพน้องสาวอย่างฉันเลยสักนิด”
“เสี่ยวเสว่ พี่ก็แค่อยากจะเห็นว่าเขาศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน แล้วอีกอย่าง ถ้าเกิดว่าเธอจะหมั้นกับเขาจริงๆล่ะก็ อนาคตพี่จะไม่รู้รึยังไงว่าเขาคือใคร? ” พอพูดถึงตรงนี้ ตวนมู่เจ๋อก็ไม่หัวเราะอีกต่อไป น้ำเสียงหนักแน่น ใบหน้าก็เคร่งขรึม “เธอไม่อยากให้พี่รู้ เพราะว่ามีเรื่องอะไรปิดบังพี่อยู่ใช่ไหม? ”
พอได้ยินแบบนี้ สีหน้าของตวนมู่เสว่ก็เปลี่ยนไปทันที เธอรีบหลบตา
“พี่เคยรับปากฉันแล้ว”
“ใช่ พี่เคยรับปากเธอแล้ว แต่ว่าก่อนที่พี่จะรับปาก เธอไม่ได้บอกพี่ว่าคนที่เธอจะหมั้นด้วยคือเขาไม่ใช่เหรอ? ”
ตวนมู่เสว่หันหน้ามา แล้วพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “แล้วมันยังไงกันล่ะ? ถ้าเกิดว่าคนที่จะหมั้นกับฉันคือเขาแล้วมันยังไงกัน? ฉันชอบเขา อยากคบกับเขา ฉันเป็นน้องสาวของพี่นะ ความสุขของฉันมันไม่สำคัญเหรอ? ”
“ถ้ายังงั้นเธอคิดว่า ได้คบกับเขาแล้วจะมีความสุขยังงั้นเหรอ? ” ตวนมู่เจ๋อหัวเราะเยาะ “เขาชอบเธอเหรอ? เมื่อวานตอนเย็นถ้าเกิดว่าพี่ไม่ได้ฟังผิดล่ะก็ เรื่องงานหมั้นเนี่ย เธอน่าจะเป็นคนพูดกับปู่นะ? แล้วอีกอย่าง เขานี่มันยังไงกันแน่? ”
“พอแล้ว! ”ตวนมู่เสว่ตัดบทตวนมู่เจ๋ออย่างรุนแรง “ฉันไม่อยากจะพูดอะไรกับพี่มากขนาดนั้น ในเมื่อในสายตาของพี่ไม่ได้มีน้องสาวอย่างฉัน ถ้ายังงั้นต่อไปฉันไม่อนุญาตให้พี่มายุ่งเรื่องของฉันอีก ฉันจะหมั้นกับใครก็ไม่เกี่ยวกับพี่ ถ้าเกิดว่าครั้งนี้พี่เข้ามายุ่งอีกล่ะก็ ฉันจะไปหาปู่! ”
ตวนมู่เจ๋อไมมีทางเลี่ยง ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ทำไมถึงได้หลงงมงายขนาดนั้น? ”
ความรัก มันทำให้คนสูญเสียสติสัมปชัญญะได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?