บทที่812 น่าเสียดาย
“สวัสดีครับคุณลูกค้า ไม่ทราบว่ามาท่านเดียวเหรอครับ”
หานมู่จื่อที่ยืนเหม่ออยู่หน้าร้านได้สักพักแล้ว ขาข้างหนึ่งก้าวเข้ามาในร้านส่วนอีกข้างยังอยู่ด้านนอก ท่าทางจะเข้าไม่เข้าร้าน จนพนักงานอดที่จะเดินออกมาถามไม่ได้
หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้นมอง พบว่ามีชายวัยรุ่นยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ใบหน้าสะอาดสะอ้าน เหมือนคนจีน แต่เขากลับพูดภาษาอังกฤษกับเธอ
เธอพยักหน้ารับ “อืม มาคนเดียวค่ะ”
ชายวัยรุ่นยิ้มออกมาอย่างดีใจ “เอ๊ะ คุณเป็นคนจีนเหรอครับ ผมเห็นว่าคุณยืนอยู่ตรงนี้นานมากแล้ว มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
หานมู่จื่อยิ้มบาง “ไม่มีค่ะ เมื่อตะกี้ฉันกำลังคุยโทรศัพท์อยู่น่ะค่ะ”
พอพูดจบ เธอก็พูดกับเฉียวจื้อที่ยังอยู่ในสาย “ฉันยังมีธุระ แค่นี้ก่อนนะคะ”
หลังจากนั้นเธอก็กดวางสายไปทันที
“พี่สะใภ้ อย่าเพิ่งวางสายสิครับ ให้ผมได้พูดอีกหน่อย… พี่สะใภ้ ฮัลโหล”เฉียวจื้อตะโกนกับโทรศัพท์ แต่ปลายสายกลับกดวางสายไปแล้ว
แย่แล้ว แย่แล้ว ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าตัวเองสร้างเรื่องอีกแล้วนะ ตอนที่เขารู้ว่าตระกูลยู่ฉือกับตระกูลตวนมู่นัดกันไปกินข้าว เขาก็รีบโทรหาหานมู่จื่อทันที เพื่อสอบถามเรื่องนี้ แต่โทรไปตั้งหลายสายหานมู่จื่อกลับไปรับโทรศัพท์เขา อีกทั้งยังไม่ยอมตอบข้อความในวีแชทเขาด้วย มันไม่เหมือนนิสัยของเธอ สุดท้ายเฉียวจื้อจึงกดโทรหาเธอจนมือหงิก อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมรับโทรศัพท์เขา
เฉียวจื้อเริ่มกังวลใจ คิดในใจว่าหานมู่จื่อคงจะรู้เรื่องนี้แล้ว และโกรธมาก ถึงได้ไม่ยอมรับโทรศัพท์เขา
ดังนั้นตอนที่หานมู่จื่อรับโทรศัพท์ เขาถึงพูดอะไรออกมาโดยไม่ทันคิดแบบนั้น
“นายโง่จริงๆเลยเฉียวจื้อ”
เขายกมือขึ้นมาเขกหัวตัวเอง อยากจะบ้าตายกับความโง่เง่าของตัวเอง เขาควรจะถามลองเชิงดูก่อน เพราะพี่สะใภ้อาจจะไม่รู้เรื่อง จะได้กู้สถานการณ์กลับมาได้
แต่ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ
หลังจากที่เขาพูดไปแล้ว พี่สะใภ้… จะยังเป็นพี่สะใภ้ของเขาอยู่อีกไหม
ไม่ได้แล้ว เขาจะต้องโทรไปบอกเย่โม่เซินก่อน ไม่อย่างนั้นถ้ากู้สถานการณ์กลับมาไม่ได้ต้องแย่แน่ๆเลย
เฉียวจื้อรีบโทรไปหาเย่โม่เซินทันที แต่สถานการณ์เหมือนตอนที่เขาโทรไปหาหานมู่จื่อเลย คือแบบโทรติด แต่ไม่มีคนรับสาย
และเฉียวจื้อก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขานัดกินข้าวกันที่ไหน โทรไปก็ไม่ติด เขาเดินไปมาอยู่ที่เดิมอย่างร้อนใจ ก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้ววิ่งออกไป
หลังจากที่มีพนักงานต้อนรับชายเดินเข้ามาสอบถามหานมู่จื่อ แล้วพาเธอมานั่งตรงโต๊ะข้างหน้าต่าง ก่อนจะยื่นเมนูอาหารให้กับเธอ
“ที่ร้านของเราไม่มีลูกค้าคนจีนมานานแล้วครับ คุณเป็นลูกค้าคนจีนคนแรกในครึ่งเดือนมานี้ เห็นแก่ที่พวกเราเป็นคนบ้านเดียวกัน วันนี้ผมเลี้ยงเอง คุณสั่งได้ตามสบายเลยครับ”
หานมู่จื่อรับเมนูอาหารมาด้วยอาการเหม่อลอย แต่เป็นเพราะการต้อนรับขับสู้ที่ดีมากของอีกฝ่าย ทำให้เธอจะไม่สนใจก็ไม่ได้ จึงยิ้มออกมาแล้วพูด “ขอบคุณในความหวังดีค่ะ แต่พวกเราเพิ่งเคยเจอกัน จะให้คุณมาเสียเงินเลี้ยงได้ยังไงกัน”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร การเจอกันก็ถือว่าเป็นพรหมลิขิตครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ขอบคุณนะคะ”
หานมู่จื่อดูเมนูอาหาร ก่อนจะสั่งอาหารมาสองสามอย่าง ที่จริงแล้วเธอชอบอาหารจีนเสฉวนมาก และเป็นคนไม่เลือกกินด้วย
“สั่งแค่นี้เหรอครับ คุณเกรงใจเกินไปแล้ว”
หานมู่จื่อยิ้มเล็กน้อย “เดี๋ยวฉันจ่ายค่าอาหารเองค่ะ ขอบคุณนะคะ”
พนักงานชายถือเมนูอาหารเดินจากไป
หานมู่จื่อนั่งเหม่อลอยเพียงลำพัง
วันนี้ เขาไปคุยกันเรื่องงานแต่งงานกับตระกูลตวนมู่
แล้วหลายวันมานี้ เขาทำไปเพื่ออะไรกัน หรือว่า ที่เขามาที่บ้านของเธอทุกวัน เพื่อต้องการให้เธอเข้าใจผิดไปเอง
หรือจะเป็นเพราะว่าถูกจูบในห้องทำงานของเขา ทำให้เธอเข้าใจผิดไปเอง
คิดว่าถึงแม้เย่โม่เซินจะยังจำเธอไม่ได้ แต่ส่วนลึกภายในใจของเขายังจำเธอได้ ถึงได้ทำแบบนั้น
เธอถึงขั้นคิดว่า ตัวเองใกล้จะทำสำเร็จแล้ว
แต่หลังจากที่รู้ข่าวในวันนี้ เธอถึงได้รู้… ว่าตัวเองยังไม่สามารถก้าวข้ามไปได้
พอคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็ก้มหน้าลงอย่างอ่อนแรง นั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้
การบริการของร้านอาหารนี้รวดเร็วมาก อาจเป็นเพราะว่าเป็นคนจีนด้วยกัน อาหารที่หานมู่จื่อสั่งไม่นานก็ถูกยกมาเสิร์ฟ
หลังจากที่พนักงานชายยกอาหารมาเสิร์ฟให้เธอเรียบร้อย เขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเธอ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าเธอ “คุณมาต่างประเทศคนเดียวเหรอครับ”
เขาจ้องมองไปที่ดวงตาของหานมู่จื่อ ผู้หญิงคนนี้ดวงตาสวยมากเลย… ดูเหมือนว่าเขาจะตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบเลย
“ไม่ใช่ค่ะ”หานมู่จื่อส่ายหน้า ก่อนจะจับตะเกียบขึ้นมา แล้วพูดไปด้วย “ฉันมากับสามีค่ะ”
วินาทีต่อมา รอยยิ้มของพนักงานชายก็ชะงักไปเล็กน้อย ท่าทางอึดอัดใจอยู่หลายส่วน
“ยังมีธุระอะไรอีกไหมคะ” หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้นมามองเขาเล็กน้อย
ชายหนุ่มกระแอมออกมา ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีแล้วครับ ทานให้อร่อยนะครับ”
หานมู่จื่อแคีบอาหารเข้าปาก ก่อนที่เธอจะเข้ามาในร้านอาหารเธอรู้สึกหิวมาก แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รับรู้ถึงรสชาติของอาหารเลยสักนิด
เธอพยายามกินได้ไม่กี่คำ หลังจากนั้นก็ไม่กินต่ออีกเลย อีกทั้งยังหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก ก่อนจะเดินไปเช็คบิล
ชายหนุ่มคนนั้นไม่ออกมาอีก หลังจากเธอเช็คบิลเรียบร้อยก็เดินออกจากร้านอาหารทันที
ในขณะเดียวกัน ภายในร้านอาหารของโรงแรมสุดหรู
“มันไม่ง่ายเลย ที่พวกเราสองตระกูลจะมีโอกาสได้มานั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้”ยู่ฉือจินมองไปทางตวนมู่อ้าวเทียนกับตวนมู่เสว่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะถามอย่างสงสัย “จริงสิ แล้วอาเจ๋อไม่ได้มาด้วยเหรอ”
ตวนมู่อ้าวเทียนลูบเคราตัวเองแล้วพูด “เขาน่ะเหรอ มีธุระต้องไปจัดการน่ะฉันก็เลยไม่ได้เรียกเขามาด้วย”
ตวนมู่เสว่มองไปทางเย่โม่เซินที่นั่งอยู่ข้างๆยู่ฉือจินด้วยท่าทางเขินอาย เธอก้มลงมองชุดกระโปรงที่ตัวเองใส่มาในวันนี้
ชุดที่เธอใส่ในวันนี้เป็นชุดที่เธอสั่งซื้อมาเป็นพิเศษ เป็นชุดที่เธอได้มาอย่างยากลำบาก
ได้ยินมาว่าดีไซเนอร์ที่ออกแบบชุดนี้เป็นผู้หญิง ถึงแม้ตวนมู่เสว่จะไม่เคยเจอกับอีกฝ่าย แต่เพื่อนของเธอชอบผลงานของดีไซเนอร์คนนี้มาก แต่เป็นเพราะว่าผลงานของดีไซเนอร์คนนี้หาซื้อยากมาก และได้ข่าวว่าช่วงนี้ไม่ค่อยปล่อยผลงานออกมาใหม่แล้ว ดังนั้นชุดที่เคยซื้อมาได้ส่วนใหญ่จึงทำใจเอาออกมาใส่ไม่ได้ ได้แต่เก็บสะสมไว้อย่างดี
เธอสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมากกว่าจะได้ชุดนี้มา
การแต่งหน้าในวันนี้ก็ประณีต เหมาะสมกับชุดนี้ เพื่ออยากจะให้เย่โม่เซินรู้สึกชื่นชอบในตัวเธอ
เธอถึงขั้นจินตนาการไปเอง รอให้ตกลงเรื่องงานแต่งงานเรียบร้อย ชุดที่จะใส่ในวันงานเธอจะติดต่อให้ดีไซเนอร์คนนั้นเป็นคนออกแบบให้ เธอยอมเสียเงินก้อนใหญ่ให้อีกฝ่ายสำหรับออกแบบชุดแต่งงานของเธอ
พอจินตนาการไปไกล ตอนที่ตวนมู่เสว่ได้สติกลับมาใบหน้าของเธอก็แดงก่ำอย่างเขินอาย
ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้จุดประสงค์ในวันนี้ดี ดังนั้นพอกินข้าวกันเรียบร้อยก็เริ่มคุยเรื่องหลักกันทันที
ตวนมู่อ้าวเทียนมองไปทางเย่โม่เซิน ที่นั่งหลังตรง รูปร่างสง่าผ่าเผย ยิ่งมองยิ่งรู้สึกพึงพอใจ ช่างเหมาะสมที่จะได้แต่งงานกับหลานสาวสุดที่รักของเขาจริงๆ
เขาวางแก้วเหล้าในมือลง ก่อนจะมองไปทางยู่ฉือจิน
“ตายู่ฉือ ยังจำได้ไหมว่าพวกเราเคยตกลงกันไว้เรื่องให้ลูกหลานแต่งงานกัน น่าเสียดายที่…”