บทที่817 เป็นความฝันหรือว่าความเป็นจริง
หลังจากที่เฉียวจื้อวางสายไป สีหน้าที่ยิ้มแย้มก็หายไป แววตาของเขาดูมืดมนมาก
เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ก่อนจะยิ้มเย้ยหยันออกมา
เขารู้สึกว่าตัวเองคงไม่มีทางลืมภาพเหตุการณ์ในวันนั้นได้
ตระกูลยู่ฉือ ตระกูลเฉียว และตระกูลตวนมู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอด
ตอนที่ผู้นำตระกูลยู่ฉือกับตระกูลตวนมู่ยังหนุ่มเคยคิดจะให้ลูกหลานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน แต่เพราะการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ในครั้งนั้นไม่สำเร็จ เพราะเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมาซะก่อน ทำให้ตระกูลยู่ฉือเหลือแค่คุณปู่ยู่ฉือคนเดียว ในตอนนั้นคุณปู่ยู่ฉือไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้เลย
ด้วยความที่ทั้งสามตระกูลมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จึงไปมาหาสู่กันอยู่ตลอด
เฉียวจื้อเป็นลูกคนเดียวของตระกูลเฉียว ส่วนตระกูลตวนมู่มีตวนมู่เสว่กับ ตวนมู่เจ๋อ เฉียวจื้ออายุใกล้เคียงกับตวนมู่เสว่ จึงมักจะเล่นด้วยกันอยู่เสมอ
ในตอนนั้นเฉียวจื้อเองก็เคยแอบชอบผู้หญิงที่ทั้งสวยและฉลาด โดดเด่นในทุกด้านอย่างตวนมู่เสว่เหมือนกับคนอื่นๆ
ผู้หญิงที่งดงามคนนั้น เขาเองก็เคยแอบใฝ่ฝันที่จะครอบครอง อีกทั้งยังเคยคิดไว้ว่าอยากจะแต่งงานกับเธอ
แต่ในตอนที่เขาตั้งใจจะไปพูดเรื่องนี้กับคุณปู่ ว่ารอให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไปสู่ขอตวนมู่เสว่ ถ้าหากเธอยินยอม เขาสัญญาว่าจะดูแลเธอไปตลอดชีวิต
แต่ในเวลานั้นเอง เขากลับบังเอิญได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่แสนจะโหดร้าย
วันนั้น เขาไปที่ตระกูลตวนมู่ ตั้งใจจะชวนตวนมู่เสว่ออกไปเที่ยว เขานั่งรอยู่ข้างนอกอยู่นานจนเริ่มร้อนใจ จึงคิดจะเข้าไปตามเธอในบ้าน แต่กลับได้ยินบทสนทนาที่เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ
“คุณหนูคะ ทำไมคุณชายเฉียวจื้อถึงได้มาหาคุณหนูบ่อยๆแบบนี้คะ หรือว่าเขาจะชอบคุณหนูอยู่”
สาวใช้คนหนึ่งถามตวนมู่เสว่
เฉียวจื้อได้ยินแบบนั้นก็หยุดชะงัก เริ่มรู้สึกตื่นเต้นมาก เขายืนชิดกำแพงไม่กล้าส่งเสียงออกมา
เป็นเรื่องจริงที่เขาชอบตวนมู่เสว่ แต่เขาไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงกับตนเอง รู้แค่ว่าเธอยังคงมีท่าทางดีใจที่ได้ของขวัญจากเขาและยอมออกไปเที่ยวกับเขาบ่อยๆ
นั่นหมายความว่า ถึงแม้เธอจะยังไม่ได้ชอบเขา แต่… จะต้องมีความประทับใจในตัวเขาบ้างแล้วเหมือนกัน
“เฉียวจื้อน่ะเหรอ”ใครจะคิดว่าตวนมู่เสว่จะยิ้มเยาะออกมา “เขาน่ะเหรอจะชอบฉัน เป็นไปไม่ได้หรอก”
สาวใช้ “แต่ดิฉันเห็นสายตาของเขาที่มองคุณหนูดูแปลกๆนะคะ อีกทั้งคุณชายเฉียวจื้อก็เอาใจคุณหนูอยู่ตลอด คุณหนูของพวกเราสวยขนาดนี้ เขาจะต้องชอบคุณหนูอยู่แน่ๆค่ะ”
“เหอะ อย่าเลยดีกว่า ฉันรับความรักของเขาไม่ไหวหรอก อีกอย่างฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาดีกับฉันเป็นพิเศษตรงไหน ที่สำคัญ คนที่ไม่มีอะไรดีอย่างเขา ถ้าชอบฉันจริงๆ ก็เป็นได้แค่หมาเห่าเครื่องบิน ไม่ส่องกระจกชะโงกดูเงาตัวเองซะบ้าง ว่าตัวเองคู่ควรหรือเปล่า”
เฉียวจื้อที่ยืนหลบอยู่ด้านข้างได้ยินเต็มสองรูหู ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
เขาคิดไม่ถึงเลย ว่าผู้หญิงที่ดูสง่างามเรียบร้อยอย่างตวนมู่เสว่จะพูดคำพูดที่ไม่น่าฟังแบบนี้ออกมาได้ แล้วอีกอย่าง…คำพูดที่ไม่น่าฟังพวกนี้เป็นคำพูดที่พูดถึงเขาด้วย
เขารู้สึกว่าหัวใจของตัวเองแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จินตนาการที่เขามีต่อเธอทั้งหมดแตกสลายไปในพริบตา
“คุณหนูพูดถูกค่ะ คนไร้ความสามารถอย่างคุณชายเฉียวจื้อจะคู่ควรกับคุณหนูของพวกเราได้ยังไงกัน วันนี้เขาก็มาหาคุณหนูอีกแล้ว จะให้คนไล่เขากลับไปไหมคะ”
ตวนมู่เสว่ส่ายมือปฏิเสธ “ช่างเถอะ เขาอยากจะมาก็ปล่อยเขานั่งรอไปก่อน ความรู้สึกตอนที่โดนผู้ชายคอยล้อมรอบ ก็ไม่เลวเหมือนกัน”
เฉียวจื้อ “…”
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตวนมู่เสว่จะมองว่าเขาแย่ถึงขนาดนี้ แต่กลับไม่ปฏิเสธเขาออกมาตรงๆ
เฉียวจื้อกลับไปอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นก็ไม่ไปหาตวนมู่เสว่อีกเลย ในปีนั้น… เขายังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ก็เริ่มเกเรแล้ว ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนมาสารภาพรักกับเขา เขาก็จะคบกับอีกฝ่าย
ต่างฝ่ายต่างยินยอม สนุกสะใจไปด้วยกัน
เขาเองก็รู้ ว่าบนโลกใบนี้ การจะได้เจอกับคนที่รัก และเอาอีกฝ่ายมาไว้ในใจเป็นเรื่องที่ยากแค่ไหน
ความรักของตัวเอง กลับถูกอีกฝ่ายเหยียบจนจมดิน ไม่แม้แต่จะใส่ใจสักนิด
หลังจากที่เฉียวจื้อเริ่มเกเร ตวนมู่เสว่ก็ยิ่งไม่กล้าเข้าใกล้ เธอมักจะใช้สายตารังเกียจมองมาที่เขาทุกครั้ง แต่เธอก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์คุณหนูผู้สูงศักดิ์ของตัวเองอยู่ตลอด เธอยังคงส่งยิ้มให้เขา และทำทีว่าพวกเขาทั้งสองคนสนิทกันมากเหมือนเดิม
เฉียวจื้อเห็นนิสัยที่แท้จริงของเธอแล้ว ดังนั้นยิ่งเธอแสดงละครต่อหน้าเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกคลื่นไส้
ตอนนี้ เธอคิดจะแต่งงานกับยู่ฉือ แต่น่าเสียดายที่ยู่ฉือไม่แม้แต่จะสนใจเธอ คงจะเป็นกรรมที่ตามสนอง ที่คุณหนูผู้สูงศักดิ์อย่างเธอต้องมาถูกคนรังเกียจแบบนี้
ไม่รู้ว่าการถูกคนปฏิเสธแบบนี้ เธอรู้สึกยังไงบ้าง
พอหานมู่จื่อมาถึงบริษัท เธอก็เข้าไปทำความสะอาดห้องทำงานของเย่โม่เซินเป็นอันดับแรก
พนักงานในบริษัทต่างก็เข้าประจำตำแหน่งของตัวเอง ในขณะเดียวกัน หานมู่จื่อก็ได้รับข้อความจากพี่หลิน บอกว่าเช้าวันนี้มีธุระจะไม่เข้าบริษัท ให้เธอคอยรอรับโทรศัพท์ในห้องเลขาไว้ ถ้ามีเรื่องสำคัญให้รีบรายงานให้ประธานบริษัทรับรู้ทันที
หานมู่จื่อตอบรับกลับไป หลังจากที่ยุ่งอยู่สักพัก เย่โม่เซินก็มาถึงบริษัท ตอนที่เดินผ่านห้องเลขาเขาทิ้งคำพูดไว้ “ชงกาแฟมาให้ผมที่ห้องทำงาน” แล้วเดินจากไปทันที
ท่าทางเย็นชาของเขา ทำให้หานมู่จื่อยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
เอ่อ…
เขาลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปหมดแล้วเหรอ ไม่อย่างนั้น ทำไมถึงได้เย็นชากับเธออย่างนี้
หรือว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เป็นแค่เรื่องที่เธอจินตนาการออกมาเองอย่างนั้นเหรอ
หานมู่จื่อตกอยู่ในภวังค์ความคิดพร้อมกับเดินเข้าไปชงกาแฟในห้องเตรียมเครื่องดื่ม แล้วยกกาแฟที่ชงเสร็จตรงไปที่ห้องทำงาน
“กาแฟมาแล้วค่ะ” เธอพูด ก่อนจะวางกาแฟไว้บนโต๊ะ แล้วยืนมองเย่โม่เซินอยู่ด้านข้าง
เมื่อคืน… น่าจะไม่ใช่เรื่องที่เธอคิดไปเองนี่นา หานมู่จื่อนิ่งคิดพร้อมกับมองหน้าเขาไปด้วย
อาจเป็นเพราะสายตาของเธอร้อนแรงเกินไป ทำให้เย่โม่เซินเงยหน้าขึ้นมามอง “ยังมีธุระอะไรอีกหรือไง”
“หะ ไม่ ไม่มีค่ะ” หานมู่จื่อส่ายหน้า ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป
เธอขบเม้มริมฝีปากของตัวเองพร้อมกับครุ่นคิดไปด้วย หรือว่าเมื่อคืนจะเป็นแค่ความฝัน ที่จริงแล้วเย่โม่เซินไม่ได้ไปหาเธอที่ห้อง
แต่ว่า ทำไมมันถึงเหมือนจริงถึงขนาดนั้น
แต่เรื่องที่เธอไม่รู้ก็คือ เย่โม่เซินมองตามหลังเธอไปจนประตูปิดลง ถึงจะกลับมาทำงานต่อ
เพราะพี่หลินไม่อยู่ ทำให้งานทั้งหมดตกเป็นหน้าที่ของหานมู่จื่อทั้งหมด เธอวิ่งขึ้นวิ่งลงมาตลอดเช้า แล้วยังต้องวิ่งไปรายงานความคืบหน้าที่ห้องทำงานประธานบริษัทบ่อยๆ สีหน้าท่าทางของเย่โม่เซินยังคงเย็นชาเหมือนเดิม
จนถึงเวลาพักเที่ยง หานมู่จื่อรู้สึกเหมือนขาแทบจะหักได้เลย เธอทรุดนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดแรง
ในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้นมา
หานมู่จื่อมองดูเวลา ถึงเวลาพักแล้วนี่นา…
สุดท้ายเธอก็ลากสังขารตัวเองไปรับโทรศัพท์
“ค่ะ”
“มาที่ห้องทำงานผมหน่อย”
แกร๊ก
หานมู่จื่อไม่ได้สงสัยอะไร หลังจากวางโทรศัพท์ก็เดินตรงไปที่ห้องทำงานของเย่โม่เซินทันที
“มีอะไรหรือเปล่าคะท่านประธาน”
เย่โม่เซินเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองหน้าเธอนิ่ง
“เดินเข้ามา”
หานมู่จื่อไม่สงสัยอะไร นึกว่าเขาจะสั่งงานตัวเอง ถึงแม้จะถึงเวลาพักแล้ว แต่ใครใช้ให้เธอทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยของเขาล่ะ
หานมู่จื่อเดินตรงเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าเขา ในขณะที่กำลังจะถามว่าเขามีอะไรจะสั่ง เย่โม่เซินก็ดึงข้อมือขาวเนียนของเธอ แล้วดึงเธอเข้ามากอดไว้
“อ๊ะ…”