บทที่818 ตอนที่จูบกันมันไม่สะดวก
เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ล้มลงไปนั่งที่ตักของเขา และในเวลาเดียวกันเขาก็โอบเอวของเธอไว้
หานมู่จื่อหัวใจของเธอเต้นแรงเหมือนเสียงกลอง มองหน้าเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง
“คุณ คุณจะทำอะไรคะ”เธอพูดติดอ่าง
เย่โม่เซินไม่ตอบ แต่ค่อยๆยกมือขึ้นมาจับที่คางของเธอ แล้วขยับตัวเข้าไปใกล้จนลมหายใจร้อนรดหน้าของเธอ
“เลิกงานแล้ว”
“ละ เลิกงานอะไร…อื้อ”
หานมู่จื่อที่กำลังแปลกใจกับคำพูดไม่กี่คำของเขาอยู่ แววตาของเย่โม่เซินก็ดูลุ่มลึก ตามมาด้วยเงามืดที่พุ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว
เขาจูบปากเธอกะทันหัน
หานมู่จื่อเบิกตาโตอย่างตกใจ สมองว่างเปล่า มึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้ามาก
เธอรู้แค่ว่า ตรงหน้าของเธอมีแต่กลิ่นหอมที่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเย่โม่เซินอบอวลไปทั่ว เธอตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าควรจะเอามือไปไว้ตรงไหน สุดท้ายก็ได้แต่จับเสื้อตรงหน้าอกของเย่โม่เซินไว้แน่น ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นเพื่อตอบรับจุมพิตของเขา
หัวใจของเธอเต้นแรง ท่าทางของเขาตั้งแต่เช้า ทำให้เธอคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นแค่จินตนาการที่เธอคิดขึ้นมาเองซะอีก
แต่ตอนนี้ ความอบอุ่นที่ประทับริมฝีปากของเธอ รวมถึงหัวใจที่เต้นแรงของเธอ แล้วยังมีเขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
เธอไม่รู้ว่าถูกจูบนานเท่าไหร่ เย่โม่เซินถึงได้ถอนริมฝีปากออกไป มือของเขายังคงจับคางของเธอไว้
หานมู่จื่อหอบหายใจ ความรู้สึกง่วงจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นช่วงก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กลับอิ่มเอิบ เปล่งประกายพราวระยิบ งดงามน่าหลงใหล
เย่โม่เซินเลื่อนมือขึ้นมา แล้วเช็ดลิปสติกที่เลอะตรงริมฝีปากให้เธออย่างเบามือ แววตาของเขาลุ่มลึก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ “ต่อไปนี้ไม่ต้องทาลิปสติกอีก”
“ทะ ทำไมคะ”
เย่โม่เซินขยับตัวเข้าใกล้ “ตอนที่จูบกันมันไม่สะดวก”
หานมู่จื่อ “…”
หน้าของเธอแดงก่ำ ก่อนจะรีบถอยตัวออกห่าง แต่เพราะเธอยังนั่งอยู่บนตักของเย่โม่เซิน จึงหนีไปไหนไม่ได้
แต่การกระทําของเธอกลับกระตุ้นเย่โม่เซิน เขาขยับตัวเข้าไปใกล้ “คิดจะหนีไปไหน ผมพูดคุณได้ยินหรือเปล่า”
หานมู่จื่อกัดริมฝีปากของตัวเอง ก่อนจะตอบกลับ “ตอน ตอนทำงานถ้าไม่ทาลิปสติก จะดูไม่เป็นทางการ ฉัน…”
“คุณไม่ยอมเหรอ” เย่โม่เซินหรี่ตามอง ก่อนจะพูดต่อ “ช่างมันเถอะ”
แค่ลิปสติกไม่ทำให้เขาเดือดร้อนอะไร
เย่โม่เซินเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดออกมาทันที “จริงสิ ตอนที่อยู่ในเวลางานห้ามใช้สายตาแบบนั้นมองมาที่ผมเด็ดขาด”
สายตาแบบนั้น
หานมู่จื่อถามอย่างไม่เข้าใจ “สายตาแบบไหนคะ”
เธอมึนงงมาก ตอนเช้าเธอมองหน้าเขาก็จริง แต่ว่า… สายตาของเธอมันเป็นยังไงเหรอ หานมู่จื่อกระพริบตาปริบๆ มองหน้าเขาอย่างสงสัย
สายตาแบบนี้แหละ เย่โม่เซินหรี่ตาลง เสียงที่พูดก็แหบแห้งไปด้วย “ต่อไปนี้ถ้าคุณใช้สายตาแบบนี้มองมาที่ผม ผมไม่รับประกันว่าจะไม่ไล่คุณออกไป”
หานมู่จื่อ “??? “
“ในเวลาทำงานห้ามยั่วผม รู้ไหม” เขาพูด ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับคางของเธอไว้ แล้วมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง “ถ้าเลิกงานแล้ว คุณอยากจะทำอะไรผมก็ได้ทั้งนั้น”
พอได้ฟังมาถึงตรงนี้ หานมู่จื่อถึงได้เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ ที่แท้เขาคิดว่าสายตาที่เธอมองเขาตอนทำงานคือเธอกำลังยั่วเขาอยู่นั่นเอง
พอคิดได้แบบนี้ เธอก็พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ฉันยั่วคุณตรงไหนกัน เมื่อตอนเช้าฉันก็แค่มองหน้าคุณนานไปหน่อยเท่านั้นเอง แค่นั้นคุณก็คิดว่าฉันยั่วคุณแล้วเหรอ แล้วทำไมคุณถึงไม่พูดว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้กันล่ะ”
หานมู่จื่อไม่ยอมรับความผิดโดยที่ตัวเองไม่ได้ผิดเด็ดขาด ทั้งๆที่เธอไม่ได้ทำอะไรเลย แค่รู้สึกแปลกใจจึงมองเขานานไปหน่อยเท่านั้นเอง
แต่เขากลับบอกว่าเธอกำลังยั่วเขา
เย่โม่เซิน “…”
เขารู้สึกเหมือนถูกเธอพูดแทงใจ
เป็นเขาเองที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เขาก็รู้สึกอยากเป็นเจ้าของผู้หญิงคนนี้ อยากจะอยู่กับผู้หญิงคนนี้ตลอดเวลา อยากเข้าใกล้เธอ จนถึงขั้น… อยากครอบครองเธอ
แต่ว่า ทั้งสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน ไม่ถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำ
ถ้าหากเขาทำแบบที่คิดจริงๆ เธอคงตกใจกลัวแน่ๆ
ดังนั้นเย่โม่เซินจึงทำได้แค่ควบคุมตัวเองไว้ แต่ใครจะไปรู้ว่า ตอนที่เธอเดินเข้ามาในห้องทำงานของเขา เธอจะจ้องหน้าเขาอยู่ตลอดแบบนั้น
ถ้าหากไม่ใช่ว่ากำลังอยู่ในเวลาทำงาน เขาคงจะดึงเธอเข้ามากอด แล้วก็…
เย่โม่เซินย่นคิ้ว เพราะรู้สึกว่ามีความคิดแบบนี้มันไม่น่าจะเป็นเรื่องดีเท่าไหร่
เพราะเขาคิดมาตลอดว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ได้ดีพอ แต่กลับเสียการควบคุมเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง พอถึงเวลาเลิกงานเขาจึงเรียกเธอมาที่ห้อง แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดพร้อมกับจูบเธอแบบนี้
นี่มัน… ไม่ใช่สไตล์ของเขาเอาซะเลย
แต่ว่า พอมองผู้หญิงที่ใสบริสุทธิ์ตรงหน้า ริมฝีปากสีทับทิมสดของเธอ ทำให้เขาอดใจไม่ได้ ยอมตกอยู่ในภวังค์รักของเธอ
แววตาของหานมู่จื่อยังคงต่อว่าเขาอยู่ “ถึงยังไงก็ไม่ใช่ฉันที่ยั่วคุณแน่นอน”
ริมฝีปากสีชมพูขยับอยู่ต่อหน้าเขา แววตาของเย่โม่เซินเปล่งประกายลึกลับ ก่อนที่เธอจะอ้าปากพูด เขาก็ล็อกท้ายทอยของเธอเข้ามา ก่อนจะก้มลงไปจูบเธออีกครั้ง
แล้วพูดออกมาเสียงทุ้มน่าฟัง “คุณพูดถูก เป็นผมเองที่ควบคุมตัวเองไม่ได้…”
ถ้าอย่างนั้น ก็ให้เขาลุ่มหลงอยู่ในภวังค์เขาก็ยอม
“อื้อ…”
ตอนที่เดินออกมาจากห้องทำงาน ใบหน้ากับลำคอของหานมู่จื่อล้วนแต่แดงก่ำราวกับผลแอปเปิล เธอมองไปรอบด้านอย่างระวังตัว พอแน่ใจว่าไม่มีคนอยู่แล้วจึงรีบวิ่งไปที่ห้องทำงานเลขาทันที
หลังจากนั้นที่ปิดประตูลง หานมู่จื่อก็นั่งพิงเก้าอี้แล้วหอบหายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าที่กำลังแดงก่ำของตัวเอง
พอมองเวลา มันก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
ตอนที่เธออยู่ในห้องทำงานกับเย่โม่เซิน รู้สึกว่าแปบเดียว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะผ่านไปครึ่งชั่วโมงได้แล้ว
และในเวลาครึ่งชั่วโมงนี้ เธอกับเย่โม่เซินก็คุยกันได้แค่ไม่กี่คำเท่านั้นเอง
ส่วน… เวลาที่เหลือ พวกเขากลับเอาแต่จูบกัน
หานมู่จื่อ “…”
เธอปิดหน้าตัวเองไว้ รู้สึกไม่มีหน้าจะสู้หน้าคนอื่นแล้ว
เธอนั่งอยู่ในห้องทำงานเลขาได้สักพัก หานมู่จื่อก็เดินลงมากินข้าวที่โรงอาหารของบริษัท
เดิมทีเธอคิดว่าในเวลาแบบนี้ที่โรงอาหารคงจะไม่มีคนแล้ว แต่เธอกลับเจอเข้ากับหลัวลี่ที่เดินลงมาพอดี
“ว้าว บังเอิญจัง ฉันนึกว่าในเวลานี้แบบนี้จะไม่เจอใครแล้วนะ คิดไม่ถึงว่าจะเจอเธอ มู่จื่อ พวกเรานี่มีวาสนาต่อกันจริงๆเลย”พูดจบ หลัวลี่ก็เดินมาคล้องแขนของเธอทันที
หานมู่จื่อยิ้มแหย ก่อนจะเดินไปตักอาหารพร้อมกัน
หลังจากนั่งลง หลัวลี่ก็มองหน้าเธอนิ่ง จนทำให้หานมู่จื่อเริ่มทำตัวไม่ถูก เธอลูบหน้าของตัวเอง
“มีอะไรหรือเปล่า”
คงจะเป็นเพราะร้อนตัว หลังจากเดินออกจากห้องทำงาน หานมู่จื่อก็ท่าทางเหมือนคนตกใจง่าย
หลัวลี่มองไปที่ริมฝีปากของเธอ ก่อนจะชี้ แล้วถาม “ทำไมปากถึงได้แตกล่ะ”
หานมู่จื่อ “…”
คิดอะไรยู่เนี่ย หานมู่จื่อรีบกัดริมฝีปากตัวเองตามสัญชาตญาณ