บทที่819 กินช้าๆ
การกระทําของเธอตกอยู่ในสายตาของหลัวลี่ เธอเหมือนจะนึกอะไรได้ สีหน้าของเธอจึงแดงขึ้นมา ก่อนจะกระซิบถาม “คงไม่ใช่ว่า…”
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบประโยค หานมู่จื่อก็กระแอมออกมาขัดซะก่อน
“แค่ร้อนในเท่านั้นเอง คิดอะไรของเธอ”
หานมู่จื่อรีบพูดปฏิเสธ แต่ใบหูของเธอกลับแดงก่ำ เธอรีบหยิบตะเกียบขึ้นมา ก่อนจะพูด “รีบกินข้าวเถอะ อย่าคิดอะไรไร้สาระพวกนั้นเลย”
หลัวลี่ยิ้มละไม แล้วพยักหน้ารับ
หลังจากผ่านมาได้สักพัก เธอก็เงยหน้าขึ้นมาพูด “พวกเรารู้จักกันมาตั้งนานยังไม่มีวีแชทกันเลย เพิ่มเพื่อนกันหน่อยไหม”
หานมู่จื่อเห็นว่าเธออยู่ต่างประเทศคนเดียวก็ลำบาก จึงพยักหน้ารับ ก่อนจะเพิ่มเป็นเพื่อนกันในวีแชท
โทรศัพท์มือถือของเธอสั่น พอหานมู่จื่อหยิบออกมาดู ถึงได้รู้ว่าเป็นซูจิ่วที่ส่งข้อความมาให้เธอ บอกว่าตอนนี้ว่างแล้ว ติดต่อมาได้เลย
หานมู่จื่อนับเวลาดู ตอนนี้ซูจิ่วคงจะเพิ่งตื่นนอน ดังนั้นหานมู่จื่อจึงรีบกินข้าวให้เสร็จอย่างรวดเร็ว จนหลัวลี่แปลกใจ “ทำไมกินเร็วแบบนี้ล่ะ มีธุระอะไรหรือเปล่า”
“อืม” หานมู่จื่อยัดข้าวใส่ปาก ก่อนจะดื่มน้ำซุปตามเข้าไป
“กินช้าๆ ระวังจะติดคอนะ” หลัวลี่รู้สึกเป็นห่วง เมื่อเห็นวิธีกินแบบนี้
ถ้าเป็นเวลาปกติ หานมู่จื่อไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองทำแบบนี้แน่นอน แต่ตอนนี้เธอมีเรื่องสำคัญจะพูดกับซูจิ่ว เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทั้งสองคนไม่รู้ว่าต้องคุยกันนานเท่าไหร่ แล้วเธอก็ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเสียเวลาด้วย
หานมู่จื่อดื่มน้ำซุป ก่อนจะลูบหน้าอกของตัวเอง แล้วพูดกับหลัวลี่ “ฉันอิ่มแล้ว ขอไปทำธุระก่อนนะ เธอค่อยๆกินนะ”
เธอรีบเก็บจานกับช้อน แล้วนั่งลิฟท์ลงมาที่ชั้นล่างของบริษัท
การคุยโทรศัพท์กับซูจิ่วในบริษัทเป็นตัวเลือกที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ในบริษัทมีหูตามากมายมองอยู่ ถ้ามีคนอื่นฟังบทสนทนารู้เรื่องคงจะไม่ดีเท่าไหร่
ดังนั้นหานมู่จื่อจึงเลือกที่จะมานั่งอยู่ในร้านกาแฟใกล้ๆบริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนจะหยิบหูฟังขึ้นมาใส่ แล้วกดโทรหาซูจิ่ว
“คุณหนูมู่จื่อคะ เวลานี้ทางฝั่งคุณคงจะเที่ยงแล้ว โทรหาฉันแบบนี้จะสะดวกไหมคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”หานมู่จื่อมองไปรอบๆร้าน ก่อนจะตอบเสียงเบา “ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงพักเที่ยง”
“งั้นก็ดีแล้วค่ะ คุณหนูมู่จื่อมีเรื่องอะไรจะให้ช่วยเหรอคะ”
“อืม”หานมู่จื่อบอกเล่าเรื่องที่ตนเองสงสัยทั้งหมดให้ซูจิ่วได้ฟัง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ที่จริงฉันเริ่มสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่า… ฉันไม่ได้คาดคิดตรงจุดนั้นมากเท่าไหร่ ฉันคิดว่า…น่าจะไม่เป็นแบบนั้นถึงจะถูก แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าเรื่องราวมันซับซ้อนว่าที่พวกเราคิดไว้มาก”
หลังจากพูดจบ ซูจิ่วที่นิ่งเงียบอยู่นาน ก็พูดขึ้นมา “ที่คุณหนูพูดมาก็มีเหตุผลค่ะ ที่จริงแล้วตอนที่พวกเราออกตามหาพวกคุณฉันเองก็เคยคิดถึงปัญหานี้เหมือนกัน เพราะพวกเราไม่ได้ข่าวคราวของคุณชายเย่เลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าหากคนของพวกเราไม่เจอเขาโดยบังเอิญ จนถึงตอนนี้พวกเราคงไม่รู้เบาะแสของคุณชายเย่เลยก็เป็นได้”
พอได้ยินแบบนี้ หานมู่จื่อก็ขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก หลังจากที่ได้ฟังในสิ่งที่ซูจิ่วพูด เธอรู้สึกกังวลมากกว่าเดิมอีก ทำยังไงดี
“แต่ว่าตอนนี้คุณหนูมู่จื่อก็อยู่กับคุณชายเย่แล้วไม่ใช่เหรอคะ อีกทั้งพวกคุณยังกลับมารักกันแล้ว ถ้ากังวลใจ… คุณหนูลองหาเหตุผลพาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาลดูสิคะ”
หานมู่จื่อแววตาเป็นกังวล “ยังไงฉันก็กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก เลขาซู ฉันอยากให้คุณ… ช่วยติดต่อกับคนคนหนึ่งให้ฉันหน่อยค่ะ”
“ใครคะ”
“ ส้งอาน คุณน้าของเย่โม่เซินค่ะ”
“คุณหมอส้งที่อยู่เมืองซูคนนั้นเหรอคะ”
“อืม”
ที่จริงแล้วในวันแต่งงานพวกเธอก็เชิญส้งอานมาร่วมงานด้วย แต่พอเธอได้ยินว่าทั้งสองคนจะจัดงานกันที่ต่างประเทศจึงตอบปฏิเสธทันที ทั้งที่ยังสาวอยู่ แต่กลับบอกว่าตัวเองแก่แล้วร่างกายไม่ค่อยดี เดินทางไกลไม่ไหว
รู้สึกเสียดายมากที่มาเป็นสักขีพยานในงานแต่งงานของทั้งสองคนไม่ได้ แต่พอได้ยินเย่โม่เซินบอกว่าจะจัดพิธีแต่งงานในประเทศอีกครั้ง เธอก็ดีใจมาก บอกว่าถึงวันงานเธอจะมาร่วมงานแน่นอน
แต่ว่าหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุบนเครื่องบิน เธอก็ไม่ได้ข่าวจากทางส้งอานอีกเลย
รายละเอียดทั้งหมด หานชิงพี่ชายของเธอคงจะช่วยเธอจัดการหมดแล้ว
ในเมื่อส้งอานเป็นลูกสาวของคุณท่านยู่ฉือ ถ้าถึงเวลานั้นหมดปัญญาจริงๆ เธอคงต้องขอความช่วยเหลือจากส้งอานแล้วล่ะ
ทำไมคุณตาของเย่โม่เซินจะต้องทำแบบนี้ด้วยนะ
“คุณหนูมู่จื่อคะ ฉันเข้าใจแล้ว และจะรีบติดต่อคุณส้งทันทีค่ะ แต่ว่า… หลังจากที่ติดต่อกับเธอแล้ว…”
“บอกกับเธอตามตรงค่ะ เกี่ยวกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบอกกับเธอทั้งหมด”
ซูจิ่ว “ได้ค่ะ”
“ขอบคุณมากนะคะ เลขาซู คุณต้องช่วยงานในบริษัทพี่ชายของฉัน แล้วยังต้องมาช่วยฉันอีก… ฉันไม่รู้ว่าจะขอบคุณคุณยังไงดีแล้ว”
ซูจิ่วยิ้มละไม ก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ “งั้นคุณหนูบอกให้พี่ชายคุณหนูเพิ่มเงินเดือนให้ฉันก็ได้ค่ะ”
หานมู่จื่อได้ยิน ก็หัวเราะออกมา “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะโทรหาเขา แล้วพูดกับเขาให้นะคะ”
ทั้งสองคนคุยกันอีกสักพักก็วางสายไป
รอบตัวกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม หานมู่จื่อเหม่อมองไปนอกหน้าต่างที่มีผู้คนเดินไปเดินมา อีกไม่นาน ก็จะถึงวันขึ้นปีใหม่แล้วสินะ
เธอเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยฉลองปีใหม่ในต่างประเทศ แต่ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาข้างกายเธอมีเพื่อนสนิทและคนในครอบครัวคอยเคียงข้าง ถึงแม้จะอยู่ต่างประเทศ แต่หานชิงก็มักจะนั่งเครื่องบินมาหาเธอบ่อยๆ เสี่ยวเหยียนกับเสี่ยวหมี่โต้วก็อยู่ข้างกายเธอมาตลอด
แต่ปีนี้… เธอจะมีโอกาสพาเย่โม่เซินกลับไปฉลองปีใหม่กับทุกคนหรือเปล่านะ
ถือโอกาสตอนที่นั่งเล่นอยู่ในร้านกาแฟ เธอเปิดเข้าไปดูไทม์ไลน์ เสี่ยวเหยียนอัพเดตรูปภาพของเสี่ยวหมี่โต้วเยอะมาก เธอเปิดดูไปทีละรูป จนไม่สนใจโลกภายนอก
รอจนใกล้จะถึงเวลาทำงาน หานมู่จื่อก็กลับบริษัทเพื่อทำงานต่อ
คฤหาสน์ตระกูลตวนมู่
เพล้ง
เพล้ง เพล้ง
ภายในห้องมีเสียงของตกแตกบนพื้นดังขึ้นมาไม่หยุด คนรับใช้ต่างก็ยืนมุงกันอยู่ตรงหน้าประตูไม่กล้าเข้าไป ได้แต่พูดเกลี้ยกล่อมอยู่ข้างนอก “คุณหนูคะ อย่าโมโหไปเลยค่ะ ของพวกนี้เป็นของที่คุณหนูชอบมาก และเก็บสะสมมาตั้งนานไม่ใช่เหรอคะ ทำไมคุณหนูถึง… โอ้ย”
เธอยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกแจกันทุบศีรษะ พวกคนรับใช้ตกใจถอยห่าง ส่วนเธอที่โชคไม่ดีก็ถูกแจกันทุบศีรษะจนล้มลงไปนั่งบนพื้น
“ว้าย เลือดไหลออกมาแล้ว” คนรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างคิดจะเข้ามาพยุงเธอ แต่เพราะตวนมู่เสว่โยนของออกมาไม่หยุด จนเธอกลัวว่าตัวเองจะถูกของทุบศีรษะไปด้วย
สาวใช้ที่ถูกแจกันทุบจนเลือดไหลรีบก้มหน้าเข้ากับหน้าขา พอเห็นว่าแจกันอีกใบพุ่งออกมาจากห้อง แล้วใกล้จะชนศีรษะของเธอ
“รีบหลบเร็วเข้า”
เพล้ง
ในขณะนั้นเอง มีเงาของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าสาวใช้คนนั้น ก่อนจะเตะแจกันทิ้ง
เพล้ง
แจกันตกลงบนพื้นจนแตกละเอียด
“คุณชาย…”พอเห็นตวนมู่เจ๋อ ทุกคนก็มีสีหน้าเหมือนเห็นฮีโร่