บทที่ 83 ความทรงจำอันแสนน่ากลัวเหล่านั้น
ตอนที่เสิ่นเฉียวตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่สะอาดเรียบร้อยแห่งหนึ่ง
การตกแต่งภายในห้องเรียบง่ายมาก แต่กลับมีเอกลักษณ์มาก ยังมีสิ่งของเหมือนภาพสเก็ตซ์ติดอยู่บนผนังอีกด้วย
ผ้าม่านสีเทาอ่อนถูกลมพัดเบาๆ รู้สึกเย็นสบายมาก
ที่นี่ที่ไหน?
เสิ่นเฉียวลุกขึ้นช้าๆ ความเจ็บแล่นขึ้นมาบนแขน ก้มลงไปถึงพบว่าถูกพันด้วยผ้าพันแผลเสียแล้ว
“ เธอตื่นแล้วหรอ ”
น้ำเสียงที่นุ่มนวลดังขึ้น เสิ่นเฉียวเงยหน้าขึ้นมอง
เย่หลิ่นหานเดินเข้ามาในตอนที่เธอกำลังตกใจ ในมือถือแก้วน้ำอุ่นไว้ และส่งให้กับเธอ
“ กินน้ำอุ่นให้ชุ่มคอก่อนเถอะ ”
เสิ่นเฉียวมองเขาอย่างงุนงงไปชั่วขณะ ถึงได้ยื่นมือไปรับแก้วมา เธอหิวน้ำมากจริงๆ ริมฝีปากแห้งมาก หลังจากที่รับแก้วไป เสิ่นเฉียวก็ดื่มอย่างรีบร้อน จนเกิดเป็นเสียงขึ้น
เย่หลิ่นหานมองอยู่ข้างๆ จึงได้ส่งเสียงออกมาอย่างอดไม่ได้: “ ดื่มช้าๆ ระวังสำลัก ”
การกระทำของเสิ่นเฉียวหยุดลงทันที เธอปลงกับน้ำเสียงของเย่หลิ่นหานจริงๆ……
เป็นคนที่อ่อนโยนจนต้องร้องขอชีวิตเลยจริงๆ!
ดังนั้น เสิ่นเฉียวจึงดื่มน้ำอย่างช้าๆ รอจนดื่มหมด เสิ่นเฉียวเพิ่งคิดอยากจะวางแก้วลง มือของเย่หลิ่นหานกลับยื่นออกมาเช็ดหยดน้ำตรงริมฝีปากของเธอเสียก่อน
เขาเช็ดอย่างปกติ แต่เสิ่นเฉียวกลับแข็งทื่อไปแล้ว
เขากำลังทำอะไร? นึกไม่ถึงว่าจะใช้นิ้วมือแตะริมฝีปากของเธอ
หลังจากที่คิดเรื่องนี้ได้ เสิ่นเฉียวก็ขยับหัวไปข้างหลังเล็กน้อย เพื่อที่จะหลบหลีกจากการสัมผัสของเขา
สีหน้าของเย่หลิ่นหานเป็นธรรมชาติมาก เขาไม่รู้เลยว่าการกระทำของตัวเองได้ทำให้เสิ่นเฉียวรู้สึกลำบากใจ เขาหยิบแก้วที่อยู่ในมือของเสิ่นเฉียว “ ลุกขึ้นมา ฉันทำกับข้าวให้เธอแล้ว ”
กับข้าว?
พอพูดถึงเรื่องของกิน ท้องของเสิ่นเฉียวก็ได้ร้องขึ้นมาอย่างไม่รักดี
เธอหน้าแดง และรีบใช้มือปิดท้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว
เย่หลิ่นหานยิ้มซ้ำแล้วซ้ำเล่า สายตาของเขาอ่อนโยนมาก: “ รีบลุกขึ้นมาเถอะ ”
ในตาของเขาไม่มีการหัวเราะเยาะใดๆ สายตาที่มองเธอก็สงบมาก ใจของเสิ่นเฉียวจึงคงที่อย่างช้าๆ หลังจากนั้นก็พยักหน้า และลุกขึ้นตามไป
หลังจากที่ลุกขึ้น เสิ่นเฉียวถึงรู้ว่าชุดคนป่วยบนตัวของตัวเองได้ถูกเปลี่ยนออกแล้ว
เธอรีบจับมุมเสื้อของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
“ อย่ากังวล ฉันให้คนใช้มาช่วยเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง ”
เย่หลิ่นหานพูดอธิบาย เสิ่นเฉียวหันหน้ากลับมา ใบหน้าของเธอแดงก่ำ
เธอยังไม่พูดอะไรก็ถูกเขามองรู้ความคิดของตัวเองเสียก่อนแล้ว เสิ่นเฉียวเดินตามเขาไปที่โต๊ะกินข้าวอย่างเก้อเขิน
บนโต๊ะมีกับข้าวหลายอย่าง ยังมีซุปอีกด้วย ดูน่ารับประทานมาก
เสิ่นเฉียวหิวมานานแล้ว เธอกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ และนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว
“ กินสิ ไม่ต้องเกรงใจ ” เย่หลิ่นหานยิ้มเล็กน้อย เขาตักข้าว และส่งตะเกียบให้เธอ
“ ขอบคุณค่ะพี่ใหญ่ ” เสิ่นเฉียวขอบคุณเขา หลังจากนั้นก็เริ่มกินข้าว เธอหิวมากจริงๆ
เมื่อวานเธอไม่ได้กินข้าวทั้งวัน แต่เธอเข้มแข็งมาก
ตอนเด็กๆ หิวสามวันสามคืน ไม่มีน้ำดื่ม ไม่มีข้าวกิน เธอยังสามารถรอดมาได้เลย
ไม่กินวันเดียวไม่เป็นอะไรหรอก? เสิ่นเฉียวตักข้าวเข้าปาก คิดในใจว่าตัวเองต้องเข้มแข็ง
เธอได้ผ่านฝันร้ายในวัยเด็กมาแล้ว
การทรยศของหลินเจียง การไม่ดูแลเอาใจใส่ของคนในครอบครัว เธอก็ผ่านมาแล้ว
ถูกบีบบังคับให้แต่งงานกับเย่โม่เซิน เธอทนรับได้ทุกอย่าง
แค่ครึ่งปี หลังครึ่งปีเธอก็สามารถไปจากที่นี่ได้แล้ว
ถึงตอนนั้น เธอจะไปหาเมืองที่ตัวเองชอบ หลังจากนั้นก็สร้างรากฐาน หางานทำ และเกิดลูกออกมาเลี้ยงดู
คิดไปคิดมา น้ำตาก็คลอเบ้า หลังจากนั้นก็ยิ่งทะลักมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุด เบ้าตารองรับไม่ไหว น้ำตาเม็ดใหญ่จึงหล่นลงมาในถ้วยของเสิ่นเฉียว
แต่เธอไม่หยุดการกระทำ ยังคงตักข้าวเข้าปากเรื่อยๆ
เย่หลิ่นหานนั่งอยู่ด้านข้าง เดิมทีกำลังมองเธอยิ้มๆ แต่ตอนที่เห็นเบ้าตาของเธอแดงก่ำ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาได้ชะงักไปทันที หลังจากนั้นก็เห็นน้ำตาเม็ดโตของเธอ ค่อยๆหยดลงไปในถ้วยที่เธอกำลังถืออยู่
รอยยิ้มของเย่หลิ่นหานหายไปทันที
ผ่านไปไม่นาน เขาก็ได้ถอนหายใจเบาๆ และหยิบตะเกียบขึ้นมาคืบอาหารให้เธอ
“ อย่ากินแต่ข้าว กินกับเยอะๆ ”
เสิ่นเฉียวสูดจมูก แต่ยังคงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เธอเห็นเย่หลิ่นหานคีบอาหารให้ จึงเงยหน้าขึ้นมามองเขา
ชั่วขณะ ตาสวยที่มีน้ำตาคลออยู่คู่นั้น ได้ปะทะเข้าไปในใจของเย่หลิ่นหานโดยไม่ได้เตือนก่อนล่วงหน้า
การกระทำบนมือของเขาหยุดลง ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรงอย่างไม่รู้ตัว
มุมปากของเสิ่นเฉียวยังมีเม็ดข้าวติดอยู่ เธอรู้สึกว่าท่าทางของตัวเองช่างน่าขายหน้ามาก แต่เมื่อสักครู่ เธอยิ่งคิด อารมณ์ก็ยิ่งพาไป ภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ทำให้เธอนึกถึงตอนวัยเด็ก ที่เธอถูกตำรวจช่วยออกมาได้จากในมือของคนร้าย
แต่พ่อแม่ของเธอไม่ได้มารับเธอ ท้ายที่สุด คุณตำรวจจึงกอดเธอด้วยความสงสาร และพาเธอไปที่สถานีตำรวจ ซื้อข้าวให้เธอ หลังจากนั้นก็ให้เธอกินข้าว
ตอนนั้น เธอเงียบไปนานมาก อยู่ๆก็ยกถ้วยข้าวขึ้นตักข้าว คุณตำรวจก็ได้ส่งเสียงออกมาเบาๆ และคีบข้าวใส่ในถ้วยของเธอ
“ เจ้าหนู กินเยอะๆนะ ”
ตอนนั้นเสิ่นเฉียวยังเด็ก เธอส่งเสียงและร้องออกมาในที่สุด
ตอนนี้……ถึงแม้ว่าเธอจะโตเป็นผู้ใหญ่ แต่งงาน หรือมีลูกแล้ว แต่เผชิญกับการกระทำที่อบอุ่นหัวใจของเย่หลิ่นหาน เธอก็ยังคงรู้สึกเสียใจมากอยูดี
น้ำตาไหลแรงกว่าเดิม
“ ขอโทษค่ะ……พี่ใหญ่ ฉันก็ไม่……ไม่อยากเป็นแบบนี้…… ” เธอสะอื้น วางถ้วยในมือลง หลังจากนั้นก็หันหลังกลับไป
เธอรู้สึกเสียใจจริงๆ
เรื่องตอนนั้นเป็นวันที่ชีวิตของเธอมืดมนที่สุด
ตอนนั้นเธออยู่ที่สถานีตำรวจสามวัน
ตอนเด็กที่หล่นหายทั้งหมดถูกพ่อแม่รีบมารับ เธอได้ถูกทิ้งไว้เป็นเวลาสามวัน คุณแม่เสิ่นถึงค่อยรีบมารับเธอ ตอนเห็นเธอ คุณแม่เสิ่นก็ด่าว่าเธอไม่เชื่อฟัง และถามเธอว่าทำไมถึงไปวิ่งเล่นที่อื่น หลังจากนั้นก็ตีก้นเธอต่อหน้าคุณตำรวจทั้งหมด
ตอนนั้นเสิ่นเฉียวอยากร้องไห้ แต่ได้อดกลั้นเอาไว้
ตาโตของเธอจ้องไปที่แม่ของตัวเอง
ทำไม? แม่ไม่รักเธอหรอ? ไม่เป็นห่วงเธอเลยหรือไง? ทำไม……แม่คนอื่นถึงรักและเอาใจใส่ลูกของตัวเอง แต่แม่ของเธอ……ทำไมถึงไม่เหมือนคนอื่นละ?
เสื้อคลุมตัวหนึ่งได้มาคลุมบนตัวของเสิ่นเฉียว ปกคลุมไปด้วยกลิ่นของผู้ชายแปลกหน้า
“ เสียใจมากเลยละสิ ” ไม่รู้ว่าเย่หลิ่นหานมานั่งอยู่ข้างๆเธอตอนไหน ในมือของเขาถือกระดาษทิชชู่ เขาก้มลงมาเช็ดน้ำตาบนหน้าให้เธอ: “ ร้องออกมาก็ดี ร้องเสร็จแล้ว ต้องกินข้าวต่อนะ ไม่อย่างนั้น……ถ้าหิวจนเป็นอะไรไปจะไม่ดี ”
มือของเสิ่นเฉียวสั่นนิดหน่อย เธอเงยหน้ามองเย่หลิ่นหานที่อยู่ใกล้ๆ ขนตาสั่นเล็กน้อย: “ ขอบคุณค่ะ ”
เย่หลิ่นหานยิ้ม: “ ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก ร้องออกมาแล้วก็รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม? ”
“ อื้อ ” เสิ่นเฉียวพยักหน้า
“ งั้นดื่มซุปหน่อย ” เย่หลิ่นหานตักซุปให้เธออีกครั้ง เสิ่นเฉียวทำได้เพียงยื่นมือออกไปรับ
“ เมื่อวานตอนที่ฉันไปโรงพยาบาล เห็นรถของโม่เซินจอดอยู่ที่โรงจอดรถ เธออยู่กับเขาหรอ? ”
ได้ยินดังนั้น การกระทำของเสิ่นเฉียวก็ได้หยุดลงทันที
“ โม่เซินเป็นคนที่เย็นชาแต่อารมณ์ร้อน หลายเรื่องที่เขามักจะไม่พูดมันออกมา แต่พี่ใหญ่จะบอกความจริงให้ฟัง โม่เซินเขาดีกับเธอมากจริงๆนะ ”