บทที่825 ทำอะไรตามใจตัวเอง
“อย่าเป็นห่วงเลย ทางฝั่งฉันไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก เธอดูแลตัวเองกับเสี่ยวหมี่โต้วให้ดีก็พอแล้ว”
เสียวเหยียนแก้มป่องอย่างไม่ชอบใจ “ใครจะยอมเชื่อเธอ ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นจริงๆเธอคงไม่ติดต่อหาคุณน้าส้งอานแบบนี้แบบนี้
“ฉันติดต่อหาท่าน เพราะคิดว่าท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ของโม่เซิน แค่อยากให้เธอมาเพื่อกระตุ้นความทรงจำของโม่เซินเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก”
พอเธอพูดแบบนี้ เสี่ยวเหยียนก็ไม่สงสัย “จริงเหรอ แค่นั้นจริงๆเหรอ”
หานมู่จื่อถอนหายใจ “ฉันมีแค่วิธีนี้วิธีเดียวแล้วล่ะ หรือว่าเธอจะมีแผนอื่นที่ดีกว่า”
เสี่ยวเหยี่ยน “มะ ไม่มี”
ทั้งสองคนคุยกันสักพัก เสี่ยวเหยียนก็ถามขึ้นมาอีก “นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว เธอจะไม่กลับมาอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวหมี่โต้ว และทุกคนจริงๆเหรอ”
พอได้ยินแบบนี้ หานมู่จื่อก็เริ่มลังเลใจ
เธอเองก็อยากจะกลับไป ไม่มีแม่คนไหนในโลกที่ไม่คิดถึงลูกของตัวเอง แต่ว่า… เธอไม่มั่นใจสถานการณ์ในตอนนี้ว่าจะเปลี่ยนไปยังไง พอได้ยินเสี่ยวเหยียนถาม เธอจึงตอบกลับอย่างนุ่มนวล “ถึงเวลาค่อยว่ากันเถอะ ถ้าหากมีเวลา ฉันจะกลับไปฉลองปีใหม่ด้วยนะ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอจะต้องปฏิเสธออกไปตรงๆแน่นอน แต่ตอนนี้เธอกลับเปลี่ยนวิธีการพูดเป็นอีกแบบ เสี่ยวเหยียนจึงคิดว่าสถานการณ์ทางฝั่งหานมู่จื่อน่าจะดีขึ้นแล้ว ถึงตอนนั้นเธอจะพาเสี่ยวหมี่โต้วไปหาอีกฝ่ายที่นั่นเอง น่าจะดีกว่า
พอคิดได้แบบนี้ เสี่ยวเหยียนก็ยิ้มอย่างพออกพอใจ “งั้นก็ได้ ฉันกับเสี่ยวหมี่โต้ว แล้วยังมีพี่ชายของเธอรอฟังข่าวดีจากเธออยู่นะ”
“อืม”
คฤหาสน์ตระกูลยู่ฉือ
“ไปไหนมา”
หลังจากเย่โม่เซินเดินเข้าประตูมา คนรับใช้ในห้องรับแขกถูกยู่ฉือจินไล่ออกไปหมดแล้ว เหลือก็แต่เขาที่นั่งรออยู่บนโซฟา
พอเย่โม่เซินเดินเข้ามา เขาก็ถามออกไปเสียงแข็ง
เย่โม่เซินหยุดเดิน พอนึกถึงตอนที่อยู่กับหานมู่จื่อ แล้วพ่อบ้านโทรมาพูดถึงอาการของยู่ฉือจิน
ดูท่าทาง คงจะโกหกเขาสินะ เย่โม่เซินเม้มปาก ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหายู่ฉือจิน
“มีอะไรครับคุณตา”
ยู่ฉือจินยิ้มเยาะ “แกยังรู้ว่าฉันเป็นตาของแกอยู่อีกเหรอ”
เย่โม่เซินยืนนิ่ง
“แกไปไหนมา หลายวันมานี้ฉันนึกว่าแกทำงานล่วงเวลาอยู่ที่บริษัท แต่พอโทรไปถาม กลับได้รู้ว่าแกเลิกงานตามเวลาทุกวัน ไม่ได้อยู่ที่บริษัท”
เย่โม่เซินเงยหน้าขึ้นมา “ผมโตแล้ว ถึงจะไม่ได้ทำงานอยู่ที่บริษัท ก็มีชีวิตส่วนตัวของตัวเอง หรือว่านอกจากไปทำงานที่บริษัทแล้ว ผมจะต้องอยู่แต่ที่บ้านเท่านั้นหรือไงครับ”
ยู่ฉือจิน “…”
เขาส่งเสียง หึ ออกมา “อยู่ที่บ้านแล้วมันยังไง ตาของแกอายุมากแล้ว แกจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนบ้างไม่ได้หรือยังไง”พูดตามตรง เย่โม่เซินไม่ได้รู้สึกผูกพันกับคุณตาตรงหน้าสักเท่าไหร่ ถึงแม้ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาท่านจะบอกว่าเป็นคุณตาของเขา แล้วยังใส่ข้อมูลความทรงจําให้เขา จนเขาเชื่อ
แต่เย่โม่เซินกลับไม่รู้สึกผูกพัน โดยเฉพาะตอนที่ท่านพยายามย้ำเตือนเขา คิดจะให้เขาแต่งงานกับตวนมู่เสว่ เย่โม่เซินก็อยากจะอยู่ให้ห่างจากเขา
“ช่างเถอะ เด็กสมัยนี้ ไม่ค่อยอยากจะอยู่กับคนแก่อย่างฉันก็พอไม่แปลก แต่เสี่ยวเสว่เป็นเด็กดีขนาดนั้น เธอถูกตระกูลตวนมู่เลี้ยงดูสั่งสอนมาอย่างดี ทำไมแกถึงได้ปฏิเสธเธอ”
พอพูดถึงตวนมู่เสว่ แววตาของเย่โม่เซินก็เย็นชาขึ้นมาทันที เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แล้วคุณตาคิดว่า ถึงผมจะไม่สนใจเธอยังไง ก็ต้องดึงเธอไว้อย่างนั้นเหรอครับ”
ยู่ฉือจิน “เจ้าเด็กบ้านี่ แกพูดบ้าอะไรของแก พูดไม่เป็นก็หุบปากไปซะ”
เย่โม่เซิน “…”
“ดึงเธอไว้อะไรของแก ที่แกไม่สนใจเธอ เพราะแกยังไม่รู้ถึงข้อดีของเสี่ยวเสว่ เสี่ยวเสว่มีตรงไหนไม่ดีบ้าง หน้าตาก็สวย สามารถพูดได้หลายภาษา ถ้าดูจากความสามารถของเธอ ถ้าแกกับเธออยู่ด้วยกัน สามารถช่วยเหลือแกในด้านการงานได้”
เย่โม่เซิน “…”
“แกพูดมาสิ”
เย่โม่เซินสีหน้าเยือกเย็น “คุณตาบอกให้ผมหุบปากเองไม่ใช่เหรอครับ”
ยู่ฉือจินโมโหจนแทบบ้า เขาจับหน้าอกตัวเองไว้ “เจ้าเด็กบ้านี่ แกจะยั่วโมโหตาของแกให้โมโหตายเลยใช่ไหมถึงจะพอใจ”
เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะมีสีหน้าเหมือนเจ็บปวดมาก
เย่โม่เซินเหนื่อยใจ เขายกมือขึ้นมานวดขยับ “ตอนที่พ่อบ้านโทรไปหาผม บอกว่าคุณตากลับห้องไปพักแล้วไม่ใช่เหรอครับ ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่อีก”
พอได้ยินแบบนี้ ยู่ฉือจินถึงได้รู้ตัวว่าถูกจับได้แล้ว ท่านนั่งตัวตรง “ทำไม ถ้าฉันไม่พูดแบบนี้ แกจะกลับมาหรือไง”
เย่โม่เซิน “คุณตาครับ ผมไม่มีทางแต่งงานกับตวนมู่เสว่แน่นอน”
“แกว่ายังไงนะ คู่แต่งงานที่ฉันหาให้แกดีที่สุดแล้ว ดูก็รู้ ว่ามีแค่ตวนมู่เสว่ที่คู่ควรกับแกที่สุด แกไม่แต่งงานกับเธอ แกคิดจะอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิตหรือไงกัน”
อยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตอย่างนั้นเหรอ
ไม่หรอก
เย่โม่เซินคิดถึงใบหน้าของหานมู่จื่อขึ้นมา คิ้วที่ขมวดกันแน่นก็คลายลง “ยังไงผมก็ไม่มีทางแต่งงานกับเธอเด็ดขาด ไม่ว่าคุณตาจะพูดกี่รอบก็ตาม อีกอย่างงานของผมไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้หญิง ถ้าคุณตาคิดว่าผมจำเป็นต้องพึ่งพาผู้หญิงถึงจะทำให้บริษัทยืนหยัดต่อไปได้ งั้นคุณตา… ก็หาผู้สืบทอดกิจการใหม่เถอะครับ”
เขาไม่รู้สึกสนใจเรื่องเงินทองความร่ำรวยพวกนี้สักเท่าไหร่
ยู่ฉือจินชะงักงัน ก่อนจะเบิกตาโตมองไปทางเย่โม่เซิน ในขณะที่เขากำลังพูดคำพูดนี้ออกมา เหมือนมีเงาของอีกคนปรากฏตัวขึ้นมา
เงาร่างนั้นค่อนข้างบอบบาง ไหล่ผอมบาง แต่หลังของเธอกลับยืดตรง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “หนูไม่มีทางแต่งงานกับเขาเด็ดขาดค่ะ คุณพ่อบีบบังคับให้ลูกสาวของตัวเองแต่งงานกับคนที่ไม่รัก หนูยอมตายต่อหน้าคุณพ่อดีกว่า”ในตอนนั้นเย่โม่เซินถูกคำพูดของลูกสาวทำให้ร้องไห้ออกมา เพราะเป็นลูกสาวของเขาเอง แต่กลับบอกว่าจะตายต่อหน้าเขา จะไม่ให้เขาโมโหได้ยังไงกัน
“ลูกบ้า พ่อจะทำร้ายลูกหรือไง ที่พ่อให้ลูกแต่งงานกับเขาก็เพื่ออนาคตของลูกนะ ลูกไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย ในอนาคตลูกต้องดูแลธุรกิจของตระกูลยู่ฉือทั้งหมด”
“ถ้าหากหนูไม่ได้อยู่กับคนที่รัก ถึงคุณพ่อจะยกมรดกทั้งหมดให้หนู หนูก็ไม่ต้องการ แล้วอีกอย่าง หนูมีกำลังพอที่จะหาของพวกนี้เองได้ ทำไมจะต้องพึ่งพาคนอื่นด้วย”
ในตอนนั้น แม่ของเย่โม่เซิน หรือก็คือลูกสาวของเขายู่ฉือซิน ก็พูดกับเขาแบบนี้เหมือนกัน
คิดไม่ถึงเลยว่าหลายปีผ่านไป ลูกชายของเธอจะมีนิสัยเหมือนกับเธอแบบนี้
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้
พอนึกถึงยู่ฉือซิน ยู่ฉือจินก็ดูแก่ตัวลงไปมาก บางครั้งเขาก็คิดจะตามลูกสาวไป เพราะยังไงซะเขาก็แก่มากแล้ว ไม่อยากจะสนใจอะไรแล้ว
พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองแก่แล้ว มีชีวิตได้อีกไม่นาน จึงไม่อยากให้เรื่องราวมันเป็นแบบนี้ต่อไป
เขามักจะรู้สึกเสียใจทีหลัง ที่ไม่ห้ามยู่ฉือซินไว้ ไม่อย่างนั้น… ลูกสาวสุดที่รักของเขาจะไม่ต้องตายไปเร็วแบบนี้
พอคิดถึงตรงนี้ ยู่ฉือจินก็ยิ่งไม่ยอมให้เขาทำอะไรตามใจตัวเองเด็ดขาด