บทที่830 พวกนายหนีไปด้วยกันเถอะ
เฉียวจื้อเป็นคนพูดเก่ง
พอนั่งลง เขาก็พูดไม่หยุด
“ยู่ฉือ คุณตาของนายโทรไปหาฉันแบบนั้น ฉันว่าท่านคงจะตัดสินใจแน่วแน่ที่จะให้นายแต่งงานกับตวนมู่เสว่แน่ๆ แล้วฉันก็รู้สึกว่าเขาเริ่มจะสงสัยนายแล้วด้วย นายคิดจะทำยังไงต่อไป”
เขาพูดไปด้วย ส่งสายตาไปทางหานมู่จื่อด้วย
หานมู่จื่อไม่รู้ว่าเฉียวจื้อกำลังคิดจะทำอะไร ตามหลักแล้วเขาไม่น่าจะพูดถึงเรื่องนี้ออกมาถึงจะถูก
แต่เฉียวจื้อกลับเหมือนจงใจพูดออกมา ก่อนจะเบะปาก “นายคงไม่คิดจะให้พี่สะใภ้ได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้ไปตลอดหรอกใช่ไหม”
พอได้ยินแบบนี้ เย่โม่เซินก็หยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องมองด้วยแววตาสงสัย
“นายคิดจะพูดอะไร”
เฉียวจื้อเบ้ปาก แบมือออกทั้งสองข้าง “ฉันก็แค่เป็นห่วงแทนนาย คุณตาของนายยิ่งใหญ่แค่ไหนนายก็น่าจะรู้ดี ถ้าหากเขาจับได้ ว่าสาเหตุที่นายไม่ยอมแต่งงานกับตวนมู่เสว่เป็นเพราะพี่สะใภ้ ถ้าเป็นอย่างนั้น…”คำพูดหลังจากนั้นเขาไม่พูดต่อ เพราะทุกคนต่างก็รู้ดี
เดิมทีเฉียวจื้อเองก็ไม่อยากจะพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าหานมู่จื่อ เพราะเขากลัวว่าพี่สะใภ้จะยอมแพ้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เขากับพี่สะใภ้รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว
เขารู้ความลับของพี่สะใภ้เยอะมาก และรู้อดีตที่ผ่านมาของเธอกับยู่ฉือด้วย
ดังนั้นคำพูดของเขาจึงตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม อยากพูดอะไรก็พูด
แต่เย่โม่เซินกลับขมวดคิ้วเพราะคำพูดของเขา เขาอยากจะจัดการปัญหานี้เงียบๆ แต่เฉียวจื้อกลับเหมือนกำลังต้องการจะพูดให้ชัดเจน
ส่วนหานมู่จื่อก็นั่งก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่ข้างๆ เย่โม่เซินเหลือบตามอง เพราะเขารู้สึกสีหน้าตอนกินข้าวของเธอดูกินข้าวอย่างจริงจังมาก
คำถามที่เฉียวจื้อถามก่อนหน้านี้ ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ฟังเลย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เย่โม่เซินถึงรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา ท่าทางไม่ใส่ใจของเธอ ทำให้เย่โม่เซินรู้สึกว่าเขาไม่มีความสำคัญต่อเธอเลย
ดังนั้น แววตาของเย่โม่เซินจึงแฝงความรู้สึกอื่นเข้าไปด้วย
หานมู่จื่อที่ตอนแรกไม่รู้สึกหิว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอได้กลิ่นอาหารของที่นี่แล้วรู้สึกหิวขึ้นมาได้ เธอคีบอาหารมากินโดยไม่รู้ตัว
เธอกำลังคิดอยู่เลย สงสัยลูกในท้องของเธอจะชอบกินอาหารรสชาตินี้ แต่กลับรู้สึกได้ถึงสายตาน้อยใจที่มองมาที่เธอ
เธอเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นว่าเย่โม่เซินกำลังมองมาที่เธอด้วยแววตาร้ายกาจราวหมาป่า
ในขณะที่หานมู่จื่อกำลังสงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิดไป เย่โม่เซินก็หลับตาลง “หุบปาก”
เฉียวจื้อ “… หรือไม่อย่างนั้น นายกับพี่สะใภ้ก็กลับประเทศไปซ่อนตัวสักพัก”
พอได้ยินแบบนี้ หานมู่จื่อก็ปล่อยตะเกียบหล่นลงบนพื้น แล้วมองหน้าเฉียวจื้ออย่างไม่อยากจะเชื่อ สายตาของเธอเหมือนกำลังถามว่าเฉียวจื้อว่าเขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า
เห็นได้ชัดว่าเฉียวจื้อจงใจพูดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นสายตาของหานมู่จื่อ แต่เขาจงใจไม่มอง ก่อนจะพูดออกมาอีก “ยู่ฉือ ฉันคิดว่าวิธีนี้ก็ไม่เลวนะ นิสัยของคุณตานายฉันรู้ดี พวกนายหนีไปด้วยกันเหมือนคนสมัยก่อน แล้วหนีกลับประเทศจีนไป ฉันจะช่วยพวกนายปิดเป็นความลับ เมื่อไหร่ที่พี่สะใภ้ท้องแล้ว พวกนายค่อยกลับมา…”
“แค่กๆ…”พอได้ยินแบบนี้ หานมู่จื่อก็สำลักออกมา แล้วปิดปากไอขึ้นมา
เธอไออย่างแรง จนใบหน้าของเธอแดงก่ำ โดยมีมือของอีกคนกำลังลูบหลังให้เธออยู่ พอเห็นน้ำตาตรงขอบตาของหานมู่จื่อ เย่โม่เซินก็รีบเทน้ำยื่นให้เธอดื่ม
หานมู่จื่อไออยู่สักพักถึงจะหยุดลง ก่อนจะจิบน้ำเข้าไปเล็กน้อย
เฉียวจื้อนั่งมองอยู่ข้างๆ หลังจากเห็นว่าเธอไม่ไอแล้ว เขาก็พูดต่อ “พี่สะใภ้ วิธีที่ผมพูดก่อนหน้านี้…”
“หุบปากไปเลย” เย่โม่เซินตะโกนเสียงแข็ง
เฉียวจื้อฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ “ทำไมต้องหุบปากด้วย ฉันคิดว่าข้อเสนอนี้ดีที่สุดแล้ว ถ้าพวกนายยังอยู่ที่นี่ไม่นานคุณตาของนายจะต้องรู้เรื่องแน่ๆ”
“ของกินยังปิดปากนายไม่ได้อีกหรือไง” เย่โม่เซินขมวดคิ้ว แล้วมองหน้าเฉียวจื้ออย่างดุดัน เส้นเลือดในสมองกระตุกอย่างแรง
วันนี้เฉียวจื้อดูแปลกไปจากปกติมาก พูดออกมาต่อหน้ามู่จื่อก็ช่างเถอะ แล้วนี่ยังออกความเห็นบ้าๆอีก
เฉียวจื้อเห็นว่าเย่โม่เซินโมโหแล้วจริงๆ จึงได้แต่ปิดปากเงียบ แล้วคีบอาหารยัดปากตัวเอง
งั้นเขากินข้าวไม่พูดแล้วก็ได้ รอให้ทั้งสองคนกินอิ่มแล้ว เขาค่อยพูดอีกครั้ง
หลังจากที่ได้ยินความคิดเห็นของเฉียวจื้อ อาหารมื้อนี้ก็ตกอยู่ในสถานการณ์อึดอัด เธอนั่งกินข้าวเงียบๆ ทุกคนไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
ตอนที่หานมู่จื่อรู้สึกเริ่มอิ่มแล้ว เธอถึงได้พบว่าเย่โม่เซินไม่ได้กินอะไรเลย เขายังขมวดคิ้วอยู่ตรงนั้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น
ส่วนเฉียวจื้อนั้น กำลังจะกินอาหารบนโต๊ะจนหมด แล้วเหลือบมองไปทางเย่โม่เซินก่อนจะหัวเราะออกมา “คนอื่นเขานั่งกินข้าวกัน นายนั่งทำอะไรอยู่ สมน้ำหน้าแล้วที่เป็นโรคกระเพาะ”
“คุณเป็นโรคกระเพาะเหรอคะ”หานมู่จื่อได้ยินแบบนั้น ก็หันไปถามทันที
ช่วงที่ได้อยู่ด้วยกัน ทำไมเธอถึงไม่รู้เรื่องที่เขาเป็นโรคกระเพาะเลย
เฉียวจื้อพยักหน้า “ใช่แล้วครับพี่สะใภ้ ตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บอยู่ ถึงแม้หลังจากที่เขาจะฟื้นขึ้นมาและคุณหมอตรวจอาการให้หมดแล้ว แต่เขาไม่ยอมกินข้าวดีๆ จนตอนนี้เป็นโรคกระเพาะขั้นรุนแรง บางครั้งอาการก็กำเริบขึ้นมา”
เขาเคยเห็นตอนที่เย่โม่เซินอาการกำเริบ ตอนนั้นเขาเหมือนคนเหมือนจะดื่มเหล้าเข้าไปหนึ่งแก้ว เป็นเหล้าที่มีระดับแอลกอฮอล์สูงมาก จนเหมือนจะเผาผลาญกระเพาะอาหารของเขาให้มอดไหม้เลยทีเดียว
“ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้เลยคะ” หานมู่จื่อรีบมองไปทางเย่โม่เซิน “คุณกระเพาะไม่ดีทำไมไม่ยอมกินข้าวคะ คุณกำลังคิดอะไรอยู่”
เย่โม่เซินไม่ตอบคำถาม แต่กลับมองไปทางเฉียวจื้อ “กินอิ่มแล้วใช่ไหม”
เฉียวจื้อเรอออกมา ตอนที่กำลังจะพูดตอบ กลับถูกเย่โม่เซินต่อว่าอย่างรังเกียจ “อิ่มแล้วก็ออกไปซะ”
เฉียวจื้อ “… “
เฮ้ย เขาคงจะบ้าไปแล้วที่คิดจะช่วยเหลือเย่โม่เซิน ที่รังเกียจเขาได้ทุกเวลาคนนี้
เชอะ ขี้เกียจสนใจเขาแล้ว แต่พอเฉียวจื้อเห็นเขาขมวดคิ้วอยู่ตลอด จึงรู้ว่าเขามีเรื่องจะพูดกับหานมู่จื่อแน่นอน ถึงได้ไล่ตนเองออกไป
ดังนั้นเฉียวจื้อจึงเก็บข้าวของ “ออกไปก็ได้ วันนี้นายเลี้ยงนะ ฉันไปก่อนล่ะ”
พอพูดจบเขาก็ไม่รอคำตอบของเย่โม่เซิน รีบเดินออกจากห้องไป พอมาถึงหน้าประตู เขาก็หันไปส่งยิ้มให้หานมู่จื่อ “พี่สะใภ้ ข้อเสนอที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ผมพูดจริงนะ นะไม่ต้องสนใจความเห็นของยู่ฉือ คุณลองเอากลับไปคิดดู”
พอเขาพูดถึงเรื่องให้เธอเอากลับไปคิดดู เขาเน้นเสียงหนักแน่น เหมือนกำลังเตือนสติเธออยู่
หานมู่จื่อรู้ได้ทันที
นี่เป็นความคิดที่ดีอยู่เหมือนกัน ถ้าหากเย่โม่เซินยอมกลับไปกับเธอ ถ้าอย่างนั้น… เธอก็สามารถพาเขาไปในที่ๆพวกเธอเคยไป แบบนี้จะได้ฟื้นความทรงจําของเขาได้เร็วขึ้น
แต่เย่โม่เซินจะต้องไม่ยอมแน่ๆ หานมู่จื่อได้แต่ถอนหายใจออกมา “เขาแค่พูดเล่นเท่านั้นเองค่ะ คุณอย่า…”
“อย่างนั้นเหรอ” เย่โม่เซินมองหน้าเธอด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะขยับปากพูด “ผมคิดว่าความคิดนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน”