บทที่843 กลัวว่าผมจะมาช้าไป
ความคิดของหยูโปเข้าใจได้ไม่ยากเลย พร้อมทั้งเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าใสซื่อไร้เดียงสา
“ดูจากนิสัยคุณชายแล้ว ก็ไม่ได้อ่อนไปกว่านิสัยของคุณหนูเมื่อก่อนเลย ถ้านายท่านยังบีบบังคับเขาอย่างนี้ต่อไป เกรงว่า…”
คำพูดต่อจากนั้นเขาไม่ได้เอ่ยพูดออกไปต่อ แต่เชื่อว่าทุกคนต่างก็รู้กันอยู่แก่ใจเองดีแล้ว
ในตอนที่หลากหลายเรื่องมันยังไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าใครก็ไม่อาจนึกถึงได้หรอก
“เฮอะ เจ้าหมอนั่นคิดว่าขู่ฉันอย่างนี้แล้ว ฉันจะกลัวมัน? ไม่มีมัน ฉันก็จะหาคนมาสืบทอดใหม่อีกสักคน!” ยู่ฉือจินโกรธจนส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจออกมา ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ จนฟาดฝ่ามือลงไปบนโต๊ะ
เสียงปังดังขึ้นมา คนอื่นที่อยู่ในห้องแห่งนั้นต่างพากันตกอกตกใจไปตามๆกัน
หยูโปไม่กล้าเอ่ยพูดออกไป ทำเพียงแค่ถอยออกไปอยู่อีกฝั่งนึง
ยู่ฉือจินโกรธจนไม่ไหวอยู่แล้ว สีหน้าบนใบหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนไปอย่างมากจนไม่อาจคาดเดาอะไรออกมาได้ ทอดถอนหายใจออกมาไม่หยุดเหมือนราวกับว่ากำลังคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดีถึงจะได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ที่สุด
ในตอนที่สมองคิดว้าวุ่นไปต่างๆนานาอยู่นั้นเอง จู่ๆกลับเห็นชาที่วางอยู่ข้างๆส่งกลิ่นหอมโชยออกมา
ยู่ฉือจินได้กลิ่นชาอันเข้มข้นเข้ามา เม้มริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็เอื้อมมือเข้าไปยังแก้วชาใบนั้น
ท่านพ่อบ้านที่อยู่อีกฝั่งนึงเห็นการกระทำของเขา ริมฝีปากอ้าออกมาเล็กน้อย เหมือนราวกับกำลังอยากจะพูดอะไรออกมา แต่หลังจากที่ได้ลองคิดดูแล้วก็ได้ปิดปากกลับไปอีกครั้ง
ยู่ฉือจินยกชาแก้วนั้นขึ้นมาลองดมดู เฮอะ ก็หอมดี
หรือว่าเด็กนั่นจะชงชาเป็นด้วย? ยู่ฉือจินลองจิบดูคำนึง
นึกไม่ถึงเลยว่า…จะใช้ได้เลยทีเดียว?
ดังนั้นแล้วเขาก็เลยจิบเข้าไปอีกคำ หลังจากที่ได้ลองดื่มชิมอย่างนี้ไปหลายคำแล้วนั้น ยู่ฉือจินก็รู้สึกถึงว่ามีบางจุดที่มันไม่ถูกต้อง หลังจากที่รู้ตัวแล้วว่ามีบางอย่างมันผิดแปลกไปแล้วนั้น จึงเงยหน้าขึ้นไปก็พบเข้ากับว่าคนทั้งห้องตอนนี้กำลังมองมายังตน
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องแห่งนี้ล้วนตกอยู่ในสายตาของทุกคน
แต่ในตอนนี้นึกไม่ถึงว่ายู่ฉือจินจะดื่มชาที่เด็กผู้หญิงคนนั้นชง อีกทั้งยังดื่มอย่างเอร็ดอร่อย…สายตาที่ทุกคนมองเขาได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ยู่ฉือจินเงียบไปสองวิ จากนั้นก็วางแก้วชาลงบนโต๊ะเสียงดัง เอ่ยตำหนิออกไป “ชงชาอะไรมาเนี่ย? มีชาที่รสชาติแย่ขนาดนี้ด้วยหรอ?”
หยูโป “…”
รู้สึกแทบจะทนมองไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เมื่อกี้ใครกันที่ยกชาแก้วนั้นขึ้นดื่มอย่างตั้งอกตั้งใจกัน?
ยู่ฉือจินรู้สึกเสียหน้า จึงรีบถือโอกาสนั้นลุกขึ้นพร้อมเอ่ยออกไปว่า “กลับ!”
คนกลุ่มนั้นเดินตามเขาออกไปจากห้องเลขาพร้อมๆกันอย่างน่าเกรงขาม และได้เจอเข้ากับพี่หลินที่ได้เข้ามาทำงานพอดี พี่หลินเมื่อเห็นเจ้านายเก่าของตนก็เกิดความรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย
“นายท่าน ทำไมวันนี้ท่านถึงมาที่บริษัทคะ?”
ยู่ฉือจินที่กำลังโกรธเกรี้ยวอยู่ไม่น้อย สีหน้าก็เลยไม่ดีนัก ทำเพียงแค่พยักหน้าให้กับพี่หลินเล็กน้อย ไม่เอ่ยอะไรออกมา
ท่านพ่อบ้านหยูโปนั้นก็ได้เอ่ยยิ้มๆออกไป “มีเรื่องให้เข้ามาจัดการนิดหน่อยครับ”
“เรื่องอะไรคะ?” พี่หลินเอ่ยถามออกมาทันที “ต้องการให้ฉันช่วยอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”
“ก็ได้ค่ะ”
พี่หลินจำต้องมองตามหลังพวกเขาออกไป จากนั้นก็ลูบหัวของตัวเองเบาๆ
น่าแปลก ตั้งแต่ยู่ฉือเซินเข้ารับตำแหน่งประธาน นายท่านผู้นี้ก็ไม่ได้เข้ามาบริษัทอีกเลย เขามีความเชื่อมั่นต่อความสามารถของหลานชายผู้นี้ของเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยเลยแม้แต่น้อย
ทำไมวันนี้จู่ๆถึงได้มาที่บริษัทได้ล่ะ?
อีกทั้ง…ยังมาที่ห้องเลขา?
พี่หลินคิดโน่นคิดนี่ไปมา ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานตวนมู่เสว่ก็มาเหมือนกัน
ในตอนที่กำลังคิดถึงตรงจุดนั้น ยู่ฉือจินที่เดินออกไปจู่ๆก็ได้หยุดฝีเท้าลงแล้วเอ่ยออกมากับพี่หลิน “จัดการหาตำแหน่งงานให้เสี่ยวเสว่เด็กคนนั้นด้วย เธออยากจะลองหาประสบการณ์ที่บริษัทดูสักหน่อย”
เสี่ยวเสว่?
พี่หลินรู้ทันทีว่าเสี่ยวเสว่นี้ก็คงจะเป็นคุณหนูพันชั่งตวนมู่เสว่แห่งตระกูลตวนมู่คนเมื่อวานนี้แน่ๆ
“นายท่านคะ ตอนนี้ที่บริษัทไม่มีตำแหน่งว่างเลย ถ้าจะให้จัดการหาตำแหน่งงานให้เธอ แล้วทางท่านประธาน…”
“เฮอะ ตาเฒ่าอย่างฉันถึงแม้ว่าใกล้จะลงโลงเต็มที แต่ฉันก็ยังหายใจอยู่ บริษัทก็ไม่ใช่แค่เขาที่บริหารอยู่ทั้งหมดเสียหน่อย ฉันเองก็มีส่วนด้วยเหมือนกัน!”
พี่หลิน “…”
“จัดการหาตำแหน่งอะไรมาก็ได้ ที่จะให้เธอได้ใกล้ชิดกับยู่ฉือเซินได้ก็พอ”
พี่หลินอยากจะพูดออกไปอย่างมากว่าเมื่อวานท่านประธานได้ออกคำสั่งว่าห้ามไม่ให้พาตัวเกะกะมายุ่งวุ่นวายห้องทำงานของเขาอีก นึกไม่ถึงว่าตอนนี้นายท่านจะให้เธอหาตำแหน่งงานที่จะพาคนที่ท่านประธานเรียกว่าตัวเกะกะเข้าบริษัท แล้วยังให้ทำงานที่สามารถใกล้ชิดประธานบริษัทได้สะดวกอีก
นี่ไม่ใช่ว่าอยากให้คนกลางอย่างเธอคนนี้ต้องปวดหัวใช่มั้ย?
“ทำไม มีปัญหาหรือไง?” ยู่ฉือจินเลิกคิ้วถามออกมา
พี่หลินเมื่อได้สติ ยิ้มเจื่อนๆออกมา “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาค่ะ ฉันจะจัดการให้เรียบร้อยค่ะ”
ยู่ฉือจินฟังจบ ก็เดินออกไปอย่างพอใจ
หลังจากที่เขาเดินออกไป พี่หลินเข้าห้องเลขาไปด้วยสีหน้าพูดไม่ออก หรือว่าที่นายท่านเดินทางมาวันนี้ก็เพื่อตวนมู่เสว่ผู้นั้นงั้นหรอ?
นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรอ?
*
ในส่วนของภายในห้องทำงานในตอนนี้นั้น หลังจากที่เย่โม่เซินพาหานมู่จื่อกลับมายังห้องทำงานนั้น ก็ปิดประตูลง พร้อมกดร่างเธอลงไปบนบานประตู
หานมู่จื่อ “…”
มือทั้งสองข้างของเธอป้องหน้าอกตัวเองเอาไว้ มองเขาไปอย่างระแวดระวัง
“คุณทำอะไร?”
คุณตาของเขายังอยู่ที่ห้องเลขาที่อยู่ห้องข้างๆอยู่เลย แต่เขากลับลากเธอมาที่นี่ แล้วยังเอามือดันประตูต้อนเธอเข้ามุมอีก เขาคงจะไม่คิดจูบเธอในเวลานี้หรอกมั้ง?
หานมู่จื่อรับประกันได้เลยว่าถ้าเขาจูบเธอเข้ามาในเวลานี้ล่ะก็ เธอไม่ลังเลเลยที่จะต่อยเพื่อเรียกสติเขาสักหมัดสองหมัด
ในตอนที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง เย่โม่เซินก็ได้โน้มตัวเข้าไปจริงๆ
หานมู่จื่อเบิกตากว้าง ผลักเขาออกไปสุดแรง
“นี่มันใช่เวลาหรือไง คุณยังคิดเรื่องนี้อีก?”
การกระทำของเย่โม่เซินหยุดชะงักลง ร่างของเขาหยุดนิ่ง พร้อมหรี่ตาออกมาเล็กน้อย “ผมคิดเรื่องนี้? เรื่องนี้เรื่องไหน?”
หานมู่จื่อ “??”
เขาแกล้งโง่หรือไง?
เธอกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ “คุณอย่ามาทำเล่นลิ้นไปเลย คุณกล้าพูดมั้ยล่ะว่าเมื่อกี้นี้คุณไม่ได้คิดจะ…”
เธอยังหน้าบาง ไม่มีความกล้ามากพอที่จะเอ่ยออกไปตรงๆ
เย่โม่เซินที่จากเดิมยังคงคาดเดาอยู่ว่าเธอพูดถึงสิ่งไหน เมื่อเห็นแก้มขาวเนียนของเธอแดงก่ำออกมาอย่างรวดเร็ว เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นคืออะไร
เขาไม่ได้ยิ้มออกไป แต่ได้เอื้อมมือออกไปบีบคางเล็กจิ้มลิ้มของเธอ น้ำเสียงทุ้มต่ำลงหลายส่วน
“ใครบอกคุณว่าเมื่อกี้ผมคิดอย่างนั้นกัน?”
หานมู่จื่อ “…งั้นคุณจะโน้มเข้ามาทำไมกัน?”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆเย่โม่เซินก็เข้ามาประชิดร่างเธอมากขึ้นอีกครั้ง จมูกดวงตาของทั้งสองคนสบเข้าหากัน ลมหายใจของคนทั้งคู่ประสานเข้าด้วยกัน
เธอหายใจออกไปในแต่ละครั้ง ก็ไม่กล้าหายใจแรงๆออกไป เอ่ยเสียงอู้อี้เหมือนยุงบินออกไป “คุณ คุณทำอะไร”
เย่โม่เซินไม่พูดอะไรออกมา ทำเพียงแค่จ้องมองเข้าไปสำรวจในแววตาเธออย่างละเอียด ท่าทางจริงจังนั้นทำเอาหานมู่จื่อรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย ทำได้แค่เพียงขยับถอยร่างออกไปเงียบๆ แต่ด้านหลังได้ชิดไปกับบานประตูไปเสียแล้ว จึงไม่มีที่ให้เธอถอยไปได้แล้ว
ในตอนที่เธอกำลังคิดจะถามเขาออกไปว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่นั้นเอง เย่โม่เซินก็ได้เอ่ยออกมา
“ขอโทษ ทำให้คุณรู้สึกไม่ดีแล้ว”
หานมู่จื่อนิ่งอึ้งอยู่ตรงจุดเดิม มองอึ้งไปยังเย่โม่เซินที่อยู่ตรงหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง
นึกไม่ถึงเลยว่าเขา…ขอโทษเธองั้นหรอ?
เย่โม่เซินเอื้อมมือออกไปลูบหัวเธอเบาๆ “เมื่อกี้นี้ก็แค่อยากมองดูหน่อยว่าเธอร้องไห้หรือเปล่า…ไม่ได้ร้องก็ดีแล้ว”
เมื่อฟังจนถึงตรงนี้แล้วนั้น หานมู่จื่อก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงเข้ามาจ้องตาเธออย่างนั้น
ที่แท้เขาก็คิดว่าเธอกำลังรู้สึกไม่ดี จะร้องไห้?
เดิมทีเธอก็คิดว่าไม่มีอะไร อันที่จริงเธอก็แค่ต่อล้อต่อเถียงกับคุณตาของเขาแค่เพียงไม่นาน ไม่ได้รับความอธรรมใดๆ
แต่หลังจากที่เขาพูดคำพวกนั้นออกมา หานมู่จื่อก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
มือข้างหนึ่งของเย่โม่เซินเข้าไปกุมท้ายทอยของเธอเอาไว้ ดึงร่างเธอเข้าหาอ้อมกอดของตัวเอง ถอนหายใจออกมา “ก็แค่กลัวว่าผมจะมาช้าไป”