บทที่ 862 การปรากฏตัวของส้งอาน
จากนั้นตระกูลยู่ฉือและตระกูลตวนมู่ต่างพากันส่งคนออกตามหาตวนมู่เสว่พร้อมกัน
แต่หานมู่จื่อไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ สำหรับเธอแล้วยังมีเรื่องที่สำคัญกว่ารอเธออยู่
นั่นก็คือน้าของเย่โม่เซิน ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะมา
ตอนทานอาหารกลางวันหานมู่จื่อได้คุยโทรศัพท์กับหล่อน เมื่อทราบข่าวว่าหล่อนตกลงจะมา ทำให้หล่อนยังรู้สึกประหลาดใจ
หล่อนยังคิดว่าใช้เวลาคิดตัดสินใจนานขนาดนี้ ส้งอานคงไม่ยอมมาช่วยหล่อนแล้ว กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหล่อนจะตอบตกลง
หลังจากนั้นหานมู่จื่อได้เล่าเรื่องคร่าวๆที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้ส้งอานฟัง รวมถึงแนวโน้มความน่าจะเป็นในตอนนี้ เมื่อส้งอานฟังจบก็เงียบไปนานมาก จากนั้นจึงพูดขึ้น: “ตอนที่ฉันไปถึงสนามบิน เธอให้เขามารับฉันพร้อมเธอนะ”
ได้ยินเช่นนั้น หานมูจื่อรู้สึกลังเลขึ้นมาทันที: “น้าส้ง ตอนนี้เขาจำคุณไม่ได้ คุณจะบอกความจริงกับเขาเหรอคะ? ฉัน…”
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดี เธอสบายใจได้ ฉันยังไม่บอกความจริงกับเขา แต่ฉันเป็นน้าของเขา ฉันอยากเจอเขาบ้าง อยากเห็นว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ส้งอานไม่มีทางทำร้ายยู่ฉือเซินแน่นอน หานมู่จื่อมั่นใจในตัวหล่อนมาก จึงตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว
ให้เย่โม่เซินไปรับหล่อนที่สนามบินกับหล่อน คงไม่มีปัญหาอะไร
ปัญหาคือไม่รู้ว่าเย่โม่เซินจะจำน้าของตัวเองได้หรือไม่ เพราะชื่อเดิมของส้งซินก็คือยู่ฉือซิน ถ้าตระกูลยู่ฉือเคยทดลองกับเขาแล้วล่ะ?
หานมู่จื่อกัดริมฝีปากแน่น รู้สึกคิดลังเลขึ้นมาทันที
คิดอยู่นานสักพัก หานมู่จื่อรู้สึกว่าตัวเองคิดมากกับเรื่องที่ยังไม่เกิดมากเกินไป จึงกลับมาตั้งใจทำงาน รอให้เลิกงานก่อนค่อยให้เย่โม่เซินไปรับส้งอานกับตัวเองก็พอ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ถึงเวลาเลิกงาน ขณะที่หานมู่จื่อกำลังเก็บของ พี่หลินอดไม่ได้ที่จะเข้ามาถามหล่อน
“ช่วงนี้เธอเลิกงานพร้อมกับท่านประธานเหรอ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานมู่จื่อตกตะลึงไปทันที สุดท้ายก็พยักหน้าตอบกลับ
พี่หลินเผยรอยยิ้มอันมีเลศนัยออกมา “ไม่ธรรมดาเลยนะ พัฒนากันอย่างรวดเร็วขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าพวกเธอยังอยู่ห้องเดียวกันอีกด้วย?”
สำหรับพี่หลินแล้ว หานมู่จื่อไม่อยากปิดบังหล่อน เพราะวันนั้นเห็นทัศนคติที่หล่อนมีต่อตวนมู่เสว่แล้ว ก็สัมผัสได้ว่าไม่ใช่คนประจบประแจง ตามกระแส และไม่ชอบนินทาใครลับหลังอีกด้วย
หล่อนรู้ดีว่าเรื่องระหว่างตัวเองกับเย่โม่เซินเกิดขึ้นมานานมากแล้ว แต่ไม่เคยมีข่าวคราวถูกแพร่ออกไปแม้แต่น้อย
จนหานมู่จื่อยังรู้สึกว่า หากจะพูดเรื่องที่ตัวเองแต่งงานกับเย่โม่เซินแล้ว พี่หลินก็คงไม่พูดจาลับหลังหล่อน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หานมู่จื่อก็เอียงคอไปพูดกระซิบ: “ก็ไม่ถือว่าอยู่ด้วยกันสักทีเดียว”
พี่หลิน: “…ฉันเข้าใจแล้ว”
หล่อนพูดมาขนาดนี้แล้ว งั้นก็คงอยู่ด้วยกันจริงๆ
พี่หลินพูดขึ้นต่อ: “ฉันคิดไม่ถึงเลยว่า ตอนที่เขามารับตำแหน่งเป็นประธานคนใหม่ในช่วงแรก ฉันเห็นว่าเขาไม่มีใครในสายตาเลย หลีกเลี่ยงผู้หญิงราวกับงูพิษ ฉันยังคิดว่าไม่มีใครสามารถเข้าตาเขาได้ คงต้องโสดไปตลอดชีวิต คิดไม่ถึงเลย… ”
หล่อนพูดซุบซิบเล็กน้อย แต่เมื่อหันไปมองเวลา เห็นว่าพอสมควรแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรกับหานมู่จื่อต่อ รีบเก็บของและออกไปจากห้อง
หานมู่จื่อครุ่นคิดไปมา ก็เก็บของและออกจากห้องตามไปเช่นกัน
ก่อนที่จะออกไป หล่อนเดินไปดูที่ห้องทำงานเย่โม่เซิน จากนั้นหยิบมือถือออกมาดู
มีข้อความมาจากส้งอาน บอกว่าหล่อนจะถึงประมาณหนึ่งทุ่มตรง
หนึ่งทุ่มตรง…
หานมู่จื่อครุ่นคิดสักพัก จากนั้นหยิบมือถือลงไปชั้นล่างของตึก
หล่อนเดินไปตามเส้นทางเหมือนเคย ไม่นานนักรถของเย่โม่เซินก็มาจอดด้านข้างของหล่อน หานมู่จื่อรีบขึ้นรถอย่างรวดเร็ว
หลังจากขึ้นรถ หานมู่จื่อคาดเข็มขัดพลางมองเย่โม่เซินพลาง คิดลังเลว่าจะบอกเขาเรื่องไปรับคนที่สนามบินยังไงดี
“มีเรื่องจะคุยกับผม?”
คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงแค่หล่อนใช้สายตาลังเลมองเขา เย่โม่เซินก็สามารถอ่านใจหล่อนได้ และเป็นฝ่ายถามก่อน
หานมู่จื่อตกตะลึงไปสักพัก จากนั้นตั้งสติขึ้นมาได้ พยักหน้าลง
“ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง…จะถึงสนามบินตอนหนึ่งทุ่ม ฉันต้องไปรับหล่อน ดังนั้น…” หานมู่จื่อกัดปากแน่น ไม่พูดอะไรต่อ มองเย่โม่เซินเงียบๆ
สายตาของเย่โม่เซินจ้องมองหล่อน ทั้งสองสบตากันสักพัก และไม่รู้ว่าคำพูดของหล่อนเมื่อครู่ทำให้เขาโกรธหรือไม่ หานมู่จื่อกลับรู้สึกว่าสายตาของเขาทั้งลึกซึ้งทั้งเป็นประกาย ไม่มีความรู้สึกแต่มีความกดดันขู่เข็ญ
อุณหภูมิภายในรถเย็นขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นสักพัก หานมู่จื่อทนไม่ไหวจนพูดขึ้น: “หรือว่า คุณไปเป็นสนามบินเป็นเพื่อนฉัน?”
หลังจากพูดจบ แม้ว่าอุณหภูมิภายในรถยังคงเยือกเย็น แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก
เดิมทีหล่อนอยากจะพูดว่า ไปรับด้วยตัวเอง และค่อยดูว่าเย่โม่เซินจะพูดว่ายังไง แต่คิดไม่ถึงว่าสายตาของเขาจะทำให้หล่อนพูดออกมาเองได้
“อืม” เย่โม่เซินตอบหล่อนด้วยเสียงนิ่งขรึม
หานมู่จื่อหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา: “ถ้าไปสนามบินตอนนี้อาจจะเร็วไปหน่อย แต่ถ้าทานข้าวก็คงไม่ทัน หรือว่า…พวกเราไปซื้อขนมรองท้องกันก่อน พอรับเพื่อนเสร็จ พวกเราค่อยไปทานข้าวด้วยกัน?”
เย่โม่เซิน : “ได้”
ตอบอย่างรวดเร็ว
หานมู่จื่อคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นขนาดนี้ จากนั้นหล่อนให้เย่โม่เซินจอดรถที่ร้านขนมปังข้างทาง และลงไปซื้อของในร้านขนมปัง
อันที่จริงซื้อขนมปังใช้เวลาไม่นาน หานมู่จื่อให้เขาจอดรถรอด้านนอกก็พอแล้ว แต่สุดท้ายเย่โม่เซินยังคงไม่สบายใจ จึงต้องลงจากรถไปพร้อมกับหล่อน
แต่ในขณะเดียวกันนั้น พวกคนที่คอยติดตามที่อยู่ห่างออกไม่ไกล เห็นเหตุการณ์นี้จึงรีบถ่ายรูปส่งให้หัวหน้าของตัวเอง
ไม่นานนัก พวกเขาก็ออกมาจากร้านขนมปัง เมื่อพวกเขาเห็นเช่นนั้น จึงรีบหลบทันที
“คุณชายรอบคอบมาก พวกเราถ่ายรูปส่งรายงานผลก็พอแล้ว คงตามต่อไปไม่ได้แล้ว”
“ครับ”
คนกลุ่มหนึ่งพูดคุยกันเสร็จก็จากไป
หลังจากที่คนกลุ่มนั้นออกไป สายตาของเย่โม่เซินจึงจะเหลือบมองไปที่พวกเขายืนอยู่เมื่อครู่ จ้องอย่างไม่ขยับไปไหน ทำให้ใครเห็นก็คงไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
จนกระทั่งเสียงดังขึ้น หานมู่จื่อเข้าไปในรถ จากนั้นลดกระจกลงมา
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่? ขึ้นรถสิ”
เย่โม่เซินจึงจะตั้งสติกลับมาได้ และเดินขึ้นรถ
รถยนต์กลับมาแล่นบนถนนอีกครั้ง
หานมู่จื่อมองดูเวลาพลาง เปิดถุงพลาง จากนั้นหยิบเค้กเนยออกมาจากด้านใน
อันที่จริงเมื่อก่อนหล่อนไม่เคยชอบอาหารรสหวานจัดแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะพวกขนมเบเกอรี่
แต่เมื่อลูกชายของตัวเองชอบ และมักจะบังคับให้หล่อนกิน
บางครั้งหานมู่จื่อไม่อยากกิน เสี่ยวหมี่โต้วก็จะพูดตำหนิหล่อน “หม่ามี๊ ในผลไม้มีน้ำตาล ถ้าปกติหม่ามี๊ไม่กินผลไม้ก็ไม่เป็นไร แต่นี่ขนมหวานก็ไม่กิน หม่ามี๊จะเอาน้ำตาลจากที่ไหนมาเสริมสร้างร่างกายล่ะ?”
จากนั้นก็ยัดขนมหวานให้หล่อน
ผ่านไปนานสักพัก ดูเหมือนว่าหานมู่จื่อจะไม่ได้ไม่ชอบขนมหวานเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้กลับเป็นคนไปซื้อมากินเองด้วยซ้ำ
เป็นเพราะตัวเองไม่ค่อยกินผลไม้ และไม่มีน้ำตาลมาหล่อเลี้ยง ถ้าน้ำตาลตกแล้วเป็นอะไรขึ้นมาคงแย่แน่นอน
หานมู่จื่อกัดเค้กเนยเข้าไปหนึ่งคำ
เย่โมเซินที่ขับรถอยู่มองผ่านกระจกหลังเห็นริมฝีปากสีชมพูเลอะเค้ก จึงหรี่ตามองลง