บทที่ 868 เกี่ยวอะไรกับฉัน
หลังจากวางสาย หานมู่จื่อนั่งอยู่บนเตียงสักพัก สุดท้ายก็นอนลงไปและห่มผ้า
หล่อนพลิกตัวไปอีกด้าน มองออกไปดูวิวกลางคืนนอกหน้าต่างท่ามกลางความเงียบสงัด
หล่อนไม่หวังให้เย่โม่เซินต้องขัดแย้งจนเกิดปากเสียงกับคุณตาเพราะหล่อน ดังนั้นเมื่อเห็นคุณลุงยืนขอร้องให้เขากลับไปอย่างจนปัญญาที่หน้าประตูตอนนั้น
หานมู่จื่อก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมา
แต่ตอนนี้ หล่อนกลับรู้สึกว่าตัวเองใจอ่อนเร็วเกินไป ตวนมู่เสว่อยากเจอเขา ทำไมใช้เหตุผลง่ายขนาดนี้?
เมื่อมาคิดดูดีๆ หานมู่จื่อก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากเกินไป ที่บ้านยู่ฉือถ้าตวนมู่เสว่คิดร้ายอะไรขึ้นมาก็คงหนีไม่พ้นสายตาของยู่ฉือจินแล้ว นอกเสียจาก… ยู่ฉือจินก็ช่วยหล่อนด้วย
คิดถึงตอนนี้ หานมู่จื่อลุกขึ้นมานั่ง
รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างมาก แต่ดึกขนาดนี้แล้ว ถ้าจะออกไป เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็คงก่อเรื่องวุ่นวายให้เย่โม่เซินอีก
หล่อนไม่ลืมคำพูดที่เย่โม่เซินพูดไว้ก่อนออกไป รอผมกลับมา
กังวลไป ก็ต้องเชื่อใจเขาถูกไหม?
เขาบอกให้รอเขากลับมา เขาก็ต้องกลับมา
หานมู่จื่อพูดปลอบใจตัวเองไม่หยุด จากนั้นทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง เวลาเดินผ่านไปแล้วผ่านไปเล่า หานมู่จื่อกลับไม่รู้สึกง่วงเลย กลับมีชีวิตมีชีวามากกว่าเดิม ในมือกำมือถือไว้แน่น
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ จู่ๆมือถือก็สั่นขึ้นมา
หานมู่จื่อเปิดอ่านดู เป็นข้อความที่ส่งมาจากเฉียวจื้อ
“พี่สะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วง ผมถึงบ้านยู่ฉือแล้ว ตอนนี้กำลังสังเกตการณ์ ถ้ามีอะไรผิดปกติผมจะรีบเข้าไปช่วยยู่ฉือทันที!”
หานมู่จื่อทำได้เพียงตอบขอบคุณเขากลับไป จากนั้นกำมือถือไว้ เฝ้ารอต่อไป
*
บ้านยู่ฉือ
คนแก่กับคนหนุ่มนั่งเผชิญหน้ากัน คนรับใช้ยกน้ำชาสองแก้วมาเสิร์ฟ วางไว้ด้านหน้าของเย่โม่เซินและยู่ฉือจิน
แต่ทั้งสองไม่มีท่าทีขยับไปไหน สายตาของยู่ฉือจินจ้องมองไปที่หลานชายตรงหน้า ความโกรธภายในแววตาปะทุออกมาอย่างชัดเจน
เย่โม่เซินเม้มปาก หยิบชาขึ้นมาจิบหนึ่งคำ “คุณตาดื่มชาให้ใจเย็นลงหน่อยดีไหมครับ?”
“ใจเย็น? หึ นายคิดว่าความโกรธของฉันมันหายง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เมื่อพูดจบ ยู่ฉือจินหยิบแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม จากนั้นวางลงไปเต็มแรง เสียงกระทบระหว่างแก้วกับโต๊ะ ดังกังวานกึกก้อง
เผชิญหน้ากับยู่ฉือจินเช่นนี้ เย่โม่เซินกลับรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ เขาจิบชาหน้าระรื่น
ยู่ฉือจินมองหลานชายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่สบอารมณ์ ถูกท่าทีไม่สนใจทำตัวตามสบายของเขาจุดไฟความโกรธขึ้นมา คุณปู่ยกไม้เท้าขึ้นมาจะตีลงไปบนตัวเขา เมื่อหยูโปที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น จึงรีบเข้าไปห้าม
“คุณปู่ อย่าโมโหเลยครับ อย่าใช้ความรุนแรง!”
“หยูโป นายปล่อยฉัน! ให้ฉันได้สั่งสอนไอ้เด็กเมื่อวานซืนที่ไม่ยอมเชื่อฟังดีๆ”
ยู่ฉือจินโมโหมาก เย่โม่เซินเงยหน้ามอง นัยน์ตาสีดำของเขาเผชิญหน้าสบตาแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นของเขา จากนั้นยิ้มขึ้น
“คุณตาอยากหาทายาทสืบทอดมาเป็นหุ่นเชิดเหรอครับ?”
ได้ยินเช่นนั้น ยู่ฉือจินตกตะลึงไปทันที “นายหมายความว่ายังไงกัน?”
“หรือว่าไม่ใช่?” เย่โม่เซินหัวเราะเยาะ: “ขนาดชีวิตของผมยังมาบงการควบคุมแทน นั่นก็หมายความว่าอยากใช้ผมเป็นหุ่นเชิดไม่ใช่เหรอครับ คุณตา คุณคือคุณตาของผม ดังนั้นผมจึงเคารพคุณ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะยอมเป็นหุ่นเชิดให้นะครับ”
“แก ไอ้เด็กเวร! นายรู้บ้างรึเปล่าว่านายทำร้ายจิตใจของเสี่ยวเสว่มากขนาดไหน นายรู้บ้างรึเปล่าว่าเมื่อครู่ที่หล่อนกลับมาสภาพเป็นยังไง? หล่อนจริงใจกับนายมากขนาดนี้ นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ?” ยู่ฉือจินโกรธจนตาเบิกกว้าง ถอยล้มลงไปด้านหลัง จากนั้นหยูโปจึงเข้ามาประคอง
คำพูดตำหนิลอยเข้าไปในหูของเย่โม่เซิน กลับทำให้เขาขำมาก: “ผมทำร้ายจิตใจหล่อน? ผมไม่เคยแสดงท่าทีความรู้สึกต่อหน้าหล่อน และถึงแม้ว่าหล่อนจะรู้สึกเสียใจ ได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างมาก ยังไงนั่นก็เป็นเรื่องของหล่อน เกี่ยวอะไรกับผมด้วย?”
ยู่ฉือจิน: “…”
ตกตะลึงไปสักพักยู่ฉือจินพูดตะคอกว่าเขา: “ดูสินายพูดบ้าอะไรออกมา นายไม่ได้ทำหรือให้ความหวังอะไรหล่อน หล่อนจะหลงใหลนายขนาดนี้ได้ยังไง?”
ไม่ต้องพูดถึงเย่โม่เซิน ขนาดหยูโปที่อยู่ด้านข้างยังฟังไม่เข้าหูเลย
เพราะการกระทำของคุณชายเซินทุกคนเห็นพ้องต้องกันดี เขาไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนเลย ขนาดตอนที่เขาป่วยได้รับบาดเจ็บ ตวนมู่เสว่คอยมาดูแลเขาบ่อยๆ เขาแค่ให้เกียรติหล่อนตามมารยาท แต่ไม่มีการส่งสายตาสื่อความหมายอื่นให้หล่อนเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะไปยั่วหรือให้ความหวังตวนมู่เสว่ได้อย่างไร?
หากคิดว่าเป็นการจีบจริงๆ นั่นก็คงพูดได้เพียงว่าเขาหล่อและมีเสน่ห์มากเกินไปจนทำให้ตวนมู่เสว่หลงใหล
แต่ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานในตอนนี้ หยูโปก็ไม่กล้าพูดเรื่องพวกนี้ออกมา
“ถ้าคุณตาบอกว่าผมจีบหล่อน คุณตาเรียกหล่อนออกมาคุยเลยดีกว่าว่าผมจีบหล่อนยังไง”
ยู่ฉือจิน: “ไอ้สารเลว! เพื่อผู้หญิงที่นายเพิ่งจะรู้จักไม่นาน นายกล้าเถียงคุณตาขนาดนี้เลยเหรอ?”
เมื่อด่าเขาจบ ดูเหมือนยู่ฉือจินเหนื่อยมาก ยื่นมือขึ้นมาจับหน้าอกของตัวเอง บอกเป็นนัยให้หยูโปประคองเขาไปนั่งบนโซฟา พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม
“เสี่ยวเสว่เป็นเด็กน่ารัก พูดรู้เรื่อง แม้ว่านายจะไม่ได้คิดอะไรด้วย หล่อนก็ไม่ได้เกลียดนาย เมื่อครู่ยังบอกฉันว่า ขอเพียงแค่ได้เจอนาย ไม่ต้องแต่งงานกันแล้วก็ได้ หล่อนจิตใจดีมีเมตตาขนาดนี้ ถ้านายไม่ไปขอโทษหล่อน นายจะสบายใจได้งั้นเหรอ?”
ขอโทษ?
เย่โม่เซินหัวเราะ พึมพำน้ำเสียงเยาะเย้ยในลำคอ เขามีอะไรต้องขอโทษ? แต่ในเมื่อวันนี้มาแล้ว เขาก็ต้องคุยกับหล่อนให้รู้เรื่องกันไปเลย
เมื่อคิดถึงตอนนี้ เย่โม่เซินวางแก้วน้ำชาในมือลง ลุกขึ้นยืน
“ได้ งั้นผมจะไปคุยกับหล่อนให้รู้เรื่อง ถ้าหล่อนไม่มาพัวพันอะไรกับผมแล้ว หวังว่าคุณตา…จะไม่บังคับผมอีก”
เมื่อพูดจบ เย่โม่เซินก็กลับหลังหัน มองคนรับใช้ด้วยสีหน้าเย็นชา: “นำทางไปหน่อย”
คนเสิร์ฟน้ำชาตกตะลึง จากนั้นพยักหน้าลงและพาเย่โม่เซินขึ้นไปด้านบน
ขณะที่กำลังเดินไป คนใช้รู้สึกกลัวขึ้นมา เดินนำหน้าเขาด้วยความไม่มั่นใจ ราวกับว่าคนที่เดินตามหลังหล่อนไม่ใช่คน แต่เป็นเหมือนปีศาจดูดเลือด
กระทั่งเดินไปถึงหน้าประตู คนใช้หยุดเดิน “คะ…คุณชายเซิน…คุณตวนมู่อยู่ด้านในค่ะ”
เมื่อพูดจบ หล่อนก็เดินเข้าไปเคาะประตู: “คุณหนูตวนมู่ อาบน้ำเสร็จแล้วยังคะ?”
เงียบไปครู่หนึ่ง ประตูก็ถูกเปิดออก ตวนมู่เสว่ยืนตาแดงก่ำอยู่ตรงนั้น
“พี่เซิน…” เมื่อเห็นเย่โม่เซิน ตวนมู่เสว่สายตาเป็นประกายทันที อยากจะเดินเข้าไป แต่คิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงยืนอยู่ที่เดิม หล่อนเหลือบมองคนรับใช้: “เธอออกไปก่อน ฉันมีเรื่องต้องคุยกับพี่เซิน”
คนรับใช้จึงเดินออกไป
เย่โม่เซินไม่คิดอะไรมาก มองใบหน้าหล่อนด้วยสายตาเย็นชา
“คุณหนูตวนมู่” ริมฝีปากอันเรียวบางของเขาเผยอขึ้น น้ำเสียงเยือกเย็นเล็กน้อย “ตอนที่ผมป่วย คุณดูแลผม ผมรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณมาก แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะเอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุผลในการแต่งงาน อีกอย่าง ตอนนั้น ที่ผมป่วยอยู่ ดูเหมือนว่าผมไม่ได้ขอร้องให้คุณมาดูแลใช่ไหม?”
พูดแบบนี้ ฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่เป็นคำพูดที่ตรงมาก บ้านยู่ฉือมีคนรับใช้เยอะขนาดนั้น เป็นเพราะหล่อนสมัครใจอยากมาดูแลเขาเอง เพื่อใช้โอกาสนี้ใกล้ชิดเขา