บทที่ 876 พี่สะใภ้ของนายหน้าบาง
หานมู่จื่อไม่ได้ขัดขืน
เธอก็รู้สึกว่าตัวเองในสถานการณ์นี้ไม่สามารถไปทำงานได้ ถึงอย่างไรก็ตามคุณหมอก็ได้บอกแล้วว่าให้เธอนอนอยู่บนเตียงเยอะๆ ถ้าหากว่าเป็นเรื่องเหนื่อยธรรมดาเธอก็ไม่เอามาใส่ใจหรอก
แต่ว่าเธอมีสัญญาณของการแท้งบุตรแล้ว เธอจึงใส่ใจตามธรรมชาติ
เมื่อคิดเช่นนี้ หานมู่จื่อก็เลยพูดตามสถานการณ์แนวโน้ม “งั้น … ฉันอยากจะพักผ่อนสักสองสามวัน จะได้ไหม?”
เมื่อได้ยิน เย่โม่เซินก็เลิกคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ “เหนื่อยขนาดนั้นจริงๆเหรอ?”
หานมู่จื่อรู้สึกอายเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก พูดก็ได้ยินเขาพูดว่า“ ดูท่าครั้งหน้าจะเหมือนครั้งนี้ไม่ได้แล้วจริงๆ”
หานมู่จื่อถูกคำพูดของเขาทำให้โกรธเป็นอย่างมาก บะหมี่ที่อยู่ในหม้อน้ำเดือดออกมาแล้ว เธอตกใจจน ไม่มีเวลาไปสนใจอะไรแล้วหันตัวไปปิดไฟ หลังจากนั้นก็เริ่มไล่คน“คุณออกไปเถอะ ฉันจะทำความสะอาดที่นี่ “
หลังจากที่ทั้งสองคนทานบะหมี่เพื่อให้สบายท้องอย่างเรียบง่ายแล้วนั้น ตอนที่เย่โม่เซินวางชามลงก็เอ่ยพูดว่า “ช่วงบ่าย ผมจะเชิญคนมาที่นี่“
“ไม่ต้อง……”
“ ผมจะไปจัดการเรื่องเมื่อคืน ให้คุณอยู่บ้านคนเดียวงั้นเหรอ?”
หานมู่จื่อ “ก็ได้ งั้นคุณระวังหน่อยแล้วกัน ทางที่ดีพา เฉียวจื้อ ไปด้วยเถอะ”
แม้ว่าเฉียวจื้อคนนั้นจะดูเหมือนคนโง่ แต่ว่าในเวลาสำคัญเขาก็ยังคงไว้ใจได้มาก ซึ่งแตกต่างจากรูปลักษณ์ที่น่าเบื่อของเขา อย่างสิ้นเชิง
เมื่อพูดถึงเฉียวจื้อ เย่โม่เซินก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่หานมู่จื่อ
“ เมื่อคืนนี้ เป็นคุณที่ไปหาเขาเหรอ?”
“ใช่ … ” หานมู่จื่อหลบสายตาของเขาอย่างใจฝ่อเล็กน้อย และอธิบายด้วยเสียงต่ำ “เมื่อคืนดึกมากแล้วคุณยังไม่กลับมาสักที ฉันเป็นห่วงคุณมากๆ แต่ว่าฉันไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ฉันจึงทำได้เพียงโทรหาเฉียวจื้อ ให้เขาไปดูว่าคุณเป็นอย่างไร”
“โอเค” เย่โม่เซินตอบรับ
เมื่อตอนขึ้นรถ เย่โม่เซินก็เลยโทรหา เฉียวจื้อ
เฉียวจื้อกำลังรอสายของเขาอยู่พอดี แม้ว่าเมื่อคืนเขาจะออกไปแล้ว แต่เขากลับเฝ้าจับตาดูตลอดทั้งคืน นี่มันขันทีเดือดร้อนใจเเทนกษัตริย์ชื่อดังนี่น่า (เปรียบว่าเป็นกษัตริย์ที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่ขันทีกับร้อนใจแทน)
เฝ้าดูมาจนถึงครึ่งคืน เขาถึงจะหลับไปอย่าง สติและเลือนได้
รอให้เขาตื่นขึ้นมา ก็พบว่าฟ้าสว่างแล้ว แต่โทรศัพท์มือถือก็นอนนิ่งอยู่เงียบ ๆ ตรงข้างหมอน สายโทรศัพท์สักสายเดียวก็ไม่มี
เฉียวจื้อเจ็บปวดใจกะทันหัน!
เมื่อคืนเขารีบร้อนใจตั้งนานขนาดนั้น ความรู้สึกของทั้งสองคนไม่ได้โทรหาเขา เพื่ออธิบายเลยสักสายเหรอ?
พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองจะรีบร้อนใจเหรอ?
แต่หลังจากคิดอีกแง่หนึ่งดู เฉียวจื้อ ก็คิดๆดูว่าเมื่อคืนเย่โม่เซินถูกวางยาแบบนั้น เมื่อคืนทั้งสองคนก็อยู่ด้วยกันอีก
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวดใจ
หลังจากที่เจ็บปวดใจจนใกล้จะอิจฉาตาร้อนแล้วนั้น โทรศัพท์มือถือของเฉียวจื้อก็ดังขึ้น และเสียงเรียกเข้าดังกล่าวก็ขัดขวางการวิวัฒนาการของอิจฉาตาร้อนได้สำเร็จ
เฉียวจื้อรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
“ยู่ฉือ ในที่สุดนายก็โทรมาหาฉันแล้ว !!!”
รถของเย่โม่เซินเพิ่งขึ้นสะพาน และเมื่อได้ยินเสียงโหยหวนของเฉียวจื้อที่แทรกมาทางโทรศัพท์ทางนั้น เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นโดยทันที และพูดอย่างเย็นชาว่า “หุบปาก”
เสียงโหยหวนก็หยุดลงทันที ต่อมาเฉียวจื้อก็พูดว่า “ยู่ฉือ นายรู้ไหมว่าฉันรอนายมานานแค่ไหน?เมื่อคืนนายมีความสุขอย่างอิสระ เฮ้ยเพื่อนแต่ฉันกลับ … “
เมื่อได้ยินคำว่ามีความสุขอย่างอิสระนั้น เย่โม่เซินก็ขมวดคิ้วแน่นมากขึ้นไปอีก และใช้น้ำเสียงที่ไม่พอใจตัดคำพูดของเขา “ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีกเด็ดขาด”
เฉียวจื้อ “ทำไม … “
“พี่สะใภ้ของนายหน้าบาง”
เฉียวจื้อ “เชี้ย!”
เขาไม่ควรที่จะรับสายโทรศัพท์ของเขาจริงๆด้วย ไอ้เจ้าเล่ห์คนนี้คิดไม่ถึงว่าจะยัดอาหารสุนัขให้เขาอีกแล้ว(หมายถึงอวดแฟนเหมือนว่าเพื่อนอีกคนเป็นสุนัข) ถ้าหากมีชามอาหารสุนัขอยู่ เขาอยากจะเอาชามไปฟาดที่ศีรษะของเย่โม่เซินโดยตรง เฉียวจื้อคิด
จราจรข้างหน้าติดขัดเล็กน้อย เย่โม่เซินชะลอความเร็วของรถลง และพูดช้าๆ “ตอนนี้ฉันกำลังเตรียมตัวกลับ”
“อืม? กลับไปที่บ้านยู่ฉือเหรอ? งั้นฉันกลับไปกับนายแล้วกัน!” เฉียวจื้ออาสาขึ้นมาด้วยตัวเองโดยทันที ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อคืนนี้เขาเป็นพยานคนหนึ่งเลยนะ และเขาก็คิดคร่าวๆได้ทันทีว่ายู่ฉือกลับไปในเวลานี้ จะต้องกลับไปเพราะเรื่องเมื่อคืนนี้แน่นอน
มิฉะนั้นตอนนี้เขาควรที่จะไปบริษัท
คำตอบนี้เป็นสิ่งที่เย่โม่เซินต้องการพอดี เขาอืมหนึ่งครั้ง อย่างเห็นด้วย
เฉียวจื้อลุกขึ้นจากเตียงทันที สวมเสื้อผ้าให้ตัวเองไปพลางและพูดไปพลางว่า “พูดจริงๆนะ ตวนมู่เสว่น่าจะเป็นคนวางยานายเมื่อคืนนี้หรือเปล่า?”
เย่โม่เซินไม่ตอบคำถาม เพียงแค่ดวงตามืดลงไปหลายระดับ
“ เธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่ทำเรื่องแบบนี้ได้”
เหมือนว่ากลัวเฉียวจื้อจะพูดต่อไปอีก เย่โม่เซินจึงขัดจังหวะเขา “อีกครู่หนึ่งเจอกันที่บ้านยู่ฉือ”
จากนั้นเขาก็วางสาย
เมื่อได้ยินเสียงตู๊ดๆทางโทรศัพท์ เฉียวจื้อก็นั่งอยู่ที่เดิมด้วยความงุนงง ทว่าดวงตากลับมีความขมขื่นซ่อนอยู่
ตวนมู่เสว่ …
เมื่อก่อนเขาไม่รู้จักใบหน้าที่แท้จริงของเธอมาก่อน เขาชอบเธอมากๆจริงๆ
ตอนนั้น เขารู้สึกว่าชื่อของเธอตั้งไว้แบบนี้ถูกแล้วจริงๆ เธอสะอาดเหมือนหิมะบนท้องฟ้า ทั้งสง่างามและสวยงาม
ภายหลัง – เรื่องในอดีตนั้นเหลือทนจริงๆ
เฉียวจื้อยิ้มอย่างขมขื่นหนึ่งครั้ง และบอกตัวเองว่าไม่ต้องคิดถึงเรื่องแบบนี้อีกต่อไปแล้ว สมัยวัยรุ่นมีใครบ้างไม่เคยมองผิดไป แม้ว่าเขาจะเคยชอบตวนมู่เสว่มาเป็นเวลานาน แต่หลังจากผ่านมาหลายปีเขาก็เห็นภาพพจน์ของเธออย่างชัดเจนแล้วใช่เหรอ?
เขาต้องขอบคุณตัวเองในวันนั้นที่ไปหาตวนมู่เสว่ ถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าเขาเป็นคนที่น่ารังเกียจภายในใจของเธอขนาดนั้น
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เฉียวจื้อก็เก็บของต่อ และจากนั้นก็เดินออกไป
*
บ้านยู่ฉือ
“เสี่ยวเสว่ไม่เป็นอะไรนะ อย่าร้องอย่าร้อง”
นายท่านยู่ฉือยืนอยู่ข้างเตียง กล่อมตวนมู่เสว่ทีละประโยค
ตอนนี้ตวนมู่เสว่ร้องไห้จนกลายเป็นสาวเจ้าน้ำตาแล้ว หน้าผากของเธอถูกปิดด้วยผ้าก๊อซหนา ๆ หนึ่งชั้น ตาของเธอบวมแล้วแต่ก็ยังไม่หยุดร้อง
“คุณทำอะไรไป?” นายท่านยู่ฉือถูกเสียงร้องไห้ของเธอทำให้รู้สึกรำคาญใจมากจริงๆ หันหน้าไปตำหนิคุณหมอประจำครอบครัวที่อยู่ข้างๆ “รักษาอาการบาดเจ็บของ เสี่ยวเสว่อย่างไรกัน? ทำไมตอนนี้เธอยังร้องไห้อยู่?”
คุณหมอประจำครอบครัวของตระกูลยู่ฉือมองไปที่ฉากนี้อย่างจนปัญญา และถอนหายใจเอ่ยว่า “คุณท่าน ผมได้รักษาแผลของคุณหนูตวนมู่แล้ว ที่ตวนมู่เสว่ร้องไห้แบบนี้ … อาจเป็นเพราะ… “
“เพราะว่าอะไร?”
คุณหมอประจำตระกูลมองไปที่ตวนมู่เสว่อีกครั้ง เพราะกลัวว่าสิ่งที่เขาพูดจะกระตุ้นให้เธอหงุดหงิดอีกครั้ง เพราะเมื่อก่อนหน้านี้ตอนที่เขาพูดว่าบนหน้าผากของตวนมู่เสว่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ไม่นานก็กระตุ้นทำให้สาวสวยคนนี้หงุดหงิดโดยทันที
ดังนั้นเมื่อหันหน้าไปทางดวงตาที่แข็งกร้าวของยู่ฉือจิน เขาก็ไตร่ตรองนานเป็นครึ่งวันก่อนที่จะพูดว่า “บาดแผลที่หน้าผากของคุณหนูตวนมู่ … เมื่ออาการดีขึ้นมา แล้วต่อมาอาจจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้”
“อะไรนะ?” ยู่ฉือจินหรี่ตาเล็ก “ทิ้งรอยแผลเป็นไว้?”
เมื่อตวนมู่เสว่ได้ยิน น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม
เสียงสะอื้นของเธอยังคงดังก้องสะท้อนอยู่ในห้อง และคุณหมอทำได้เพียงพูดปลอบเธอเบา ๆ “คุณหนูตวนมู่ คุณอย่าเสียใจไปเลย ผมรู้ว่าผู้หญิงล้วนแต่สวยตามธรรมชาติ ดังนั้นสมมุติว่าในวันข้างหน้าจะมีรอยแผลเป็นทิ้งไว้ที่หน้าผาก ก็สามารถใช้ศัลยกรรมลบรอยแผลเป็นออกได้”
เมื่อยู่ฉือจินได้ก็รีบพูดคล้อยตามจุดสำคัญ“ ใช่แล้วเสี่ยวเสว่ ตอนนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว … สมมุติว่าในวันข้างหน้าจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ คุณปู่ยู่ฉือก็จะไปหาโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเพื่อศัลยกรรมให้เธอเอง รับประกันว่าเหมือนเดิมทุกประการ”
ตวนมู่เสว่ยังคงร้องไห้อยู่ น้ำตาหยดลงแขนเสื้อของยู่ฉือจินอย่างฟูมฟาย “คุณปู่ เดิมทีพี่เซินก็ไม่ได้ชอบฉันตั้งแต่แรก ถ้าหากว่าครั้งนี้ฉันมีรอยแผล พี่เซินจะต้องเกลียดฉันแน่ๆเลย”