บทที่885 แน่นอนว่าฉันโกรธ
เธอคือหลานสาวที่ตัวเองเลี้ยงมากับมือ แล้วตวนมู่อ้าวเทียนจะไม่ปวดใจได้ยังไงกันล่ะ
แต่พอนึกถึงเรื่องพวกนั้นที่ทำเธอทำ ตวนมู่อ้าวเทียนก็รู้นึกว่าชื่อเสียงของตัวเองทั้งหมดถูกทำให้ตกต่ำจนถึงที่สุดแล้ว เขาโกรธจนเตะเธอออก
“ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าปู่ ฉันไม่มีหลานสาวอย่างเธอ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธออีกแล้ว! ”
ตวนมู่เสว่โดนเตะออก เธอรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกมาก เธอรู้สึกสิ้นหวังอย่างมาก ถ้าเกิดว่าเธอขาดที่กำบังของตระกูลตวนมู่ไปแล้ว เธอก็จะเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ต่อไปนี้ก็จะไม่มีอะไรอีกแล้ว
ไม่คิดเลยว่าเดินหมากพลาดไปนิดเดียว จะทำให้เธอตกมาอยู่ขั้นนี้ได้
หางตาของเธอเหลือบไปเห็นตวนมู่เจ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆ ตวนมู่เสว่ก็รีบพุ่งเข้าไปกอดขาของเขาไว้
“ พี่ พี่ขา ช่วยฉันขอร้องคุณปู่หน่อย ฉันคือเสี่ยวเสว่น้องสาวของพี่นะ…..ฮือๆๆ พวกเราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กนะ พี่รักเสี่ยวเสว่มากที่สุดแล้ว ฉันรู้แล้วว่าผิด ต่อไปจะไม่กล้าทำผิดอีกแล้ว”
ตวนมู่เจ๋อที่ถูกเธอกอดขา ก็ไม่ได้เตะเธอออกอะไรแบบนั้น เขาเพียงแค่มองเธออย่างแผ่วเบา
เห็นใบหน้าที่ร้องไห้ฟูมฟายของเธอ ตาก็บวม แถมแก้มที่โดนตวนมู่อ้าวเทียนตบไปเมื่อกี้ก็เริ่มจะบวมขึ้นมาแล้ว มุมปากก็มีเลือดออก
ดูเหมือนว่ากำลังอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากมาก
เขาจ้องเธออยู่แบบนั้นสิบวินาทีเต็ม ในที่สุดสายตาของตวนมู่เจ๋อก็ส่อประกายความทนไม่ได้ เขาหลับตา สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา “ปล่อย”
ตวนมู่เสว่:“……พี่ พี่??? พี่ไม่รักเสี่ยวเสว่แล้วเหรอ? ”
ตวนมู่เจ๋อไม่มีทางเลี่ยง “ปล่อยก่อน”
ตวนมู่เสว่ส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น แทนที่จะปล่อยเธอกลับกอดแน่นกว่าเดิม นี่คือความหวังสุดท้ายของเธอแล้ว ถ้าเกิดว่าเธอปล่อยจริงๆล่ะก็ เธอต้องโดนไล่ออกจากตระกูลตวนมู่อย่างแน่นอน
เธอไม่ยอมปล่อยมือ ตวนมู่เจ๋อก็ไม่มีทางเลือก ทำได้แค่หันหน้าไปมองตวนมู่อ้าวเทียน
“คุณปู่”
ตวนมู่อ้าวเทียนทำเสียงฮึดฮัด พูดอย่างดุร้าย “อาเจ๋อ ถ้าเกิดว่าแกจะช่วยขอร้องให้เธอล่ะก็ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ปู่ตัดสินใจแล้ว ว่าไม่มีหลานสาวแบบนี้! ”
ตวนมู่เจ๋อ: “แต่ว่าคุณปู่……”
“ถ้าเกิดว่าแกพูดอะไรอีกล่ะก็ แกก็ออกจากตระกูลตวนมู่ตามเธอไปเลย ฉันตวนมู่อ้าวเทียนก็จะถือซะว่าไม่มีลูกหลานอย่างพวกแก ต่อไปถ้าฉันตายก็ไม่ต้องกลับมาหาฉันอีก! ”
พอพูดจบ ตวนมู่อ้าวเทียนก็หันหลังเดินขึ้นชั้นบนไป แผ่นหลังของเขาที่จากไปดูจริงจังมาก
“คุณปู่……” ตวนมู่เสว่ตะโกนเรียกเขาอย่างปวดใจ แต่ว่าชายชราก็ไม่หันกลับมามองเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
พอเขาไปแล้ว ตวนมู่เสว่ก็ร้องห่มร้องไห้ออกมาเสียงดัง
ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ในห้องนั่งเล่นก็มีเสียงของตวนมู่เจ๋อดังขึ้นมา
“ไม่ต้องร้องแล้ว ตอนนี้คุณปู่กำลังโกรธมาก ช่วงนี้เธอไม่ต้องอยู่ที่บ้านชั่วคราวแล้วกัน”
พอได้ยินดังนั้น ใบหน้าของตวนมู่เสว่ก็ตกตะลึงทันที เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงุนงง “พี่ ปู่ไม่ต้องการฉันแล้วจริงๆ เหรอ? แล้วต่อไปฉันจะทำยังไง? พี่ช่วยเสี่ยวเสว่ขอร้องให้หน่อยได้ไหม? ”
“เมื่อกี้เธอเองก็เห็นแล้ว ถ้าจะไปอ้อนวอนตอนนี้ก็เท่ากับว่ารนหาที่ตาย” ตวนมู่เจ๋อพูดนิ่งๆ
“แล้วจะไม่ให้อ้อนวอนงั้นเหรอ? หรือว่าฉันต้องออกจากตระกูลตวนมู่แล้วจริงๆ? ” ตวนมู่เสว่ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ก่อนหน้านี้พี่เตือนเธอว่ายังไง? ตอนนี้มาเสียใจแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร? ”
ตวนมู่เจ๋อคิดไปคิดมา สุดท้ายก็เรียกคนมา “เธอไปหลบเลี่ยงอยู่ข้างนอกช่วงหนึ่งก่อน รอให้คุณปู่สงบลงก่อน แล้วฉันจะช่วยขอร้องให้เธอ”
เรื่องราวมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ตวนมู่เสว่ก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับ
*
หลายวันติดต่อกันที่ไม่ได้ไปบริษัท ทุกวันหานมู่จื่ออยู่ที่บ้านก็เอาแต่กินและก็นอน นอนและก็กิน
หลังจากที่ส้งอานรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ก็จะมาหาเธอทุกวัน ช่วยตรวจเช็กร่างกายเธอ พอแน่ใจว่าเด็กในท้องของเธอปลอดภัยดีแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
และหานมู่จื่อรู้เรื่องของตวนมู่เสว่จากส้งอาน
ได้ยินว่าคนในครอบครัวตระกูลตวนมู่รู้เรื่องที่เธอวางยา ต่อมาก็โดนพาตัวกลับไป ปู่ของเธอก็พูดว่าจะตัดความสัมพันธ์ แล้วก็ไล่ตวนมู่เสว่ออกจากบ้าน
หลังจากนั้นตวนมู่เสว่ก็โดนไล่ออกจากบ้านจริงๆ แต่ว่าทุกคนก็รู้ดี
ไม่ว่าจะยังไงก็เป็นญาติกัน และก็ทำแบบนี้เพราะว่าโกรธ รอให้ผ่านไปช่วงหนึ่งแล้วความโกรธหายไป จนถึงเวลานั้นก็ต้องทำในสิ่งที่ควรทำ
แต่ไม่ว่าส้งอานจะคิดยังไง ก็รู้สึกว่าปล่อยมันไปไม่ได้
“เธอว่าผู้หญิงคนหนึ่ง ทำไมจิตใจถึงได้สกปรกขนาดนั้นกัน? จีบไม่สำเร็จ ก็ใช้แผนร้ายแทน ฉันล่ะไม่กล้าจะเชื่อเลยว่าเป็นผู้หญิงที่ได้รับการสั่งสอนมาจากครอบครัวใหญ่โต”
คิดไปคิดมา ส้งอานก็กำหมัดแน่น “ยังไงก็รู้สึกว่าตอนนั้นฉันควรจะจัดการเธอซะ จะไปบอกที่บ้านเธอเพื่ออะไรกัน? สุดท้ายพวกนั้นก็ปกป้องเธออยู่ดีไม่ใช่เหรอ”
หานมู่จื่อเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ “คุณน้า อย่าโกรธไปเลยค่ะ ตระกูลตวนมู่เองก็เสื่อมเสียชื่อเสียงเหมือนกัน ไม่ยังงั้นก็คงไม่โกรธขนาดนั้น ถึงขั้นไล่เธอออกจากบ้านหรอก”
ส้งอานจ้องหน้าเธอ “เธอไม่โกรธเลยแม้แต่นิดเดียวเหรอ? ”
หานมู่จื่อคลี่ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “หนูก็ต้องโกรธสิคะ”
ส้งอาน:“……ใครจะไปเชื่อเธอ ตอนนี้ใบหน้าเธอมีแต่รอยยิ้มนะ”
พอได้ยินแบบนั้นหานมู่จื่อก็ก้มหน้าลง มือขาวๆ ของเธอลูบไล้ที่ท้องน้อยๆ ของตัวเองเบาๆ “แป๊บเดียวก็จะสามเดือนแล้ว ตอนนี้หนูเป็นแม่คน ถ้าเกิดว่าหนูโมโหเพราะเรื่องนี้ มันจะกระทบต่อลูกน้อยในท้อง”
ก่อนหน้านี้เธอโกรธจริงๆ แม้แต่คิดว่าถ้าเกิดว่าจิตใจของเย่โม่เซินไม่แน่วแน่พอ ไม่รีบกลับมา ถ้ายังงั้นก็คงเข้าทางตวนมู่เสว่แล้วใช่ไหม?
แต่ว่าพอมาคิดดูหลังจากนั้น ผู้ชายของเธอหานมู่จื่อจะเป็นคนที่ตกหลุมพรางคนอื่นง่ายๆ ได้ยังไงกัน? เธอต้องเชื่อใจเขา
ในเมื่อตอนนี้เธอกำลังท้องอยู่ จะโกรธแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เธอต้องปรับอารมณ์ตัวเองให้ดี
สรุปก็คือ หลังจากที่ตวนมู่เสว่ประสบพบเจอกับความล้มเหลวนี้ ก็น่าจะหมดอาลัยตายอยู่ไปนานอยู่ ถ้าเกิดว่าถึงเวลาแล้วเธอทำอะไรขึ้นมาอีกล่ะก็ เธอก็จะใช้วิธีทางกฎหมาย ส่งเธอเข้าคุกเพื่อหยุดเธอแทน
พอคิดได้แบบนี้ หานมู่จื่อก็พูดออกมา “เรื่องที่เธอวางยาครั้งนี้สามารถรวบรวมหลักฐานไว้ได้ไหมคะ? ”
ส้งอานอึ้งไป แล้วก็เข้าใจความหมายของเธอในทันที พร้อมกับพยักหน้า “แน่นอนว่าต้องได้สิ แต่ว่าเธอคิดได้ ฉันเดาว่าโม่เซินก็ต้องคิดได้เหมือนกัน วันนั้น ฉันก็นึกว่าเจ้าเด็กนั่นคงจะสับสนงุนงง ใครจะไปรู้ว่าเขากลับจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อย
พอพูดจบ ส้งอานก็ถอนหายใจออกมา “เธอไม่ต้องโกรธไปหรอกนะ วิธีการของผู้หญิงแบบนี้ไม่ควรค่าแก่การที่ให้เธอเก็บไปใส่ใจเลย แต่ว่าเรื่องของเธอกับโม่เซิน……”เธอหยุดพูด หลังจากนั้นก็เอ่ยปากถามต่อ “เหมือนกับว่าเขาเห็นฉันเป็นน้าของเธอจริงๆ ไม่ได้มีท่าทีเหมือนจะจำได้เลย หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยไปหาหมออีก เกี่ยวกับเรื่องความทรงจำนั้น……”
“เรื่องนี้หนูก็ยังไม่เคยพูดเลยค่ะ เลยไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน”
“ถ้ายังงั้นเธอวางแผนไว้ยังไง? จะปล่อยเวลาไปกับเขาเรื่อยๆ แบบนี้เหรอ? ” ส้งอานถามอีกครั้ง
พอถูกเธอถามแบบนี้ หานมู่จื่อก็เริ่มเงียบ เธอมองที่นิ้วของตัวเองด้วยความสับสน
ที่จริงแล้ว ในใจของเธอก็ไม่ได้มีแผนการที่ดีเท่าไหร่ ให้ลากเย่โม่เซินไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจเกี่ยวกับความจำเลย? หรือว่าจะบอกไปตรงๆ เลยว่าที่จริงแล้วส้งอานไม่ใช่น้าของฉัน แต่ว่าเป็นน้าของนายต่างหาก
ที่แท้ เรื่องบางเรื่องถ้าปิดบังไว้นานเกินไป ตอนที่จะพูดนั้นมันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก
คนอื่นไม่เข้าใจความเจ็บปวดของคุณ ก็ได้แต่เป็นโรคประสาทแล้วถามว่าทำไมคุณถึงไม่พูด?