บทที่91 เจ็บก็จงร้องออกมา
เสิ่นเฉียวเดินกลับห้องตัวเองด้วยอาการใจลอย เข้าห้องได้เธอก็ถอดรองเท้าเปลี่ยนเป็นสลิปเปอร์ เสร็จแล้วก็รีบพุ่งตัวไปยังเตียงนอน เธอนั่งอยู่บนเตียงอย่างท้อแท้ เหม่อมองบัตรธนาคารในมือ
ทำยังไงดี? เธอจะบอกเรื่องนี้กับหานเส่โยวยังไงดี?
ปวดหัวจริง
ตามหลักแล้วตระกูลเย่กับตระกูลหานแต่งงานกัน ทั้งสองตระกูลมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน แต่ตอนนี้ตระกูลเย่เป็นแบบนี้……
ขณะที่กำลังใช้ความคิด จู่ ๆเสิ่นเฉียวก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเธอลงเย็นลงอย่างผิดปกติ พอเงยหน้าสายตาก็ปะทะเข้ากับดวงตาเย็นชาดำมืดคู่หนึ่ง เสิ่นเฉียวสะดุ้งตกใจ ทำบัตรธนาคารในมือตกลงบนพื้น ‘แปะ’ บัตรธนาคารตกลงไปกระทบกับพื้นเย็น
สายตาของอีกคนก็มองตามบัตรใบนั้นเช่นเดียวกัน เสิ่นเฉียวหน้าซีด เธอยืนขึ้น “ฉันอธิบายได้!”
“แต่งงานครั้งที่สอง เธอนี่ชอบทำให้ฉันประหลาดใจจริงนะ” เย่โม่เซินยิ้มเย็น ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมา ในตาเขามีเงามืดเหมือนกับทะเลในตอนกลางคืน ทำให้คนมองรู้สึกหวาดกลัว
ปากของเสิ่นเฉียวสั่นเบา ๆ “ฉัน…..”
“นี่ก็คือเหตุผลที่เธอแต่งงานเข้าตระกูลเย่ใช่ไหม?” เย่โม่เซินเหลือบมองบัตรธนาคารใบนั้น “หึ คุณปู่ยอมจ่ายเงินเยอะขนาดนี้ถือว่าท่านใจกว้าง แต่เธอมีค่าพอที่จะให้เงินเยอะขนาดนี้หรอ?”
เสิ่นเฉียวกำมือเแน่น กัดปาก แล้วพูดว่า “เรื่องมันไม่ใช่แบบที่นายคิด นายช่วยฟังฉันอธิบายก่อนได้ไหม?”
“อธิบายว่าเธอทำยังไงให้คุณปู่ยอมให้เงินเธองั้นหรอ? เธอจะลองอธิบายก็ได้นะ หรือว่า… ใช้ร่างกายของเธออธิบายให้ฉันฟังก็ได้”
เสิ่นเฉียวหน้าซีดเผือด “นายพูดแบบนี้หมายความว่าไง?”
เย่โม่เซินมองมาทางเธอ “ความสามารถเธอน่าจะพอตัวอยู่นะ?”
“เย่โม่เซิน ไอ้คนทุเรศ!”
“เหอะ! แทนที่จะแต่งกับฉัน ทำไมเธอไม่แต่งกับปู่ฉันตั้งแต่แรกล่ะ แบบนั้นมีเกียรติกว่าอีก!”
เสิ่นเฉียวทนไม่ไหวอีกต่อไป หลับตาตะโกนก้อง “พอกันที! ฉันทนนายมามากพอแล้ว!”
เย่โม่เซินแสยะยิ้ม “ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ?”
เสิ่นเฉียวก้มเก็บบัตรที่ตกอยู่บนพื้น เดินไปอยู่ตรงหน้าของเย่โม่เซิน กระแทกบัตรเข้าที่หน้าอกของเขา
“ฉันเคยบอกคุณแล้ว ฉันไม่เคยต้องการเงินของคุณ และฉันก็ไม่มีวันรับเงินของตระกูลเย่ นี่เงินของปู่คุณ เอาคืนไป!”
เย่โม่เซินใช้นิ้วคีบบัตรธนาคารเอาไว้
“คุณผู้หญิง คิดดีแล้วหรอที่จะยกบัตรใบนี้ให้ผม? นี่เป็นเงินที่คุณคิดสารพัดวิธีเพื่อที่จะได้มันมานะ คุณมั่นใจแล้วหรอ?”
“ฉันมั่นใจ!” เสิ่นเฉียวกัดฟัน “คุณเข้าใจถูกแล้ว ฉันไปหาคุณปู่มา ท่านพอใจมาก ก็เลยให้เงินฉันมา ฉันพูดแบบนี้…. คุณพอใจแล้วใช่ไหม? เย่โม่เซินคุณอยากโดนสวมเขามากใช่ไหม? งั้นคุณรอได้เลย ฉันจะทำแบบที่คุณต้องการ!”
พูดจบ เสิ่นเฉียวก็หมุนตัวจะออกไปข้างนอก
เขากำบัตรธนาคารใบนั้นเอาไว้แน่นจนมือสั่น เส้นเลือดในสมองเขาเต้นตุบๆ “ไปไหน?”
เสิ่นเฉียวไม่ตอบคำถามของเขา ตอนที่เธอกำลังหมุนตัว หางตาของเธอมีหยดน้ำตามารวมกันมากมาย เธอทนคำพูดร้ายกาจเหล่านั้นของเย่โม่เซินไม่ไหวแล้ว ทั้งๆที่เราทั้งคู่ก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็มักจะทำเหมือนเธอไม่ได้รู้สึกจริงอย่างที่พูด ทุกครั้งจะต้องใช้คำพูดแรงๆมาทำร้ายเธอ
เธอแค่อยากไปให้พ้นจากห้องนี้ ไปให้พ้นจากเย่โม่เซิน
“หยุดนะ! ถ้าเธอกล้านอกใจฉัน เธอตายแน่!” เย่โม่เซินนึกถึงสิ่งที่เธอพูดก่อนจะออกไป ภายในใจก็รู้สึกปั่นป่วน
แต่ตอนนี้เสิ่นเฉียวกำลังโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แน่นอนว่าเธอไม่มีทางฟังเขา ไม่ว่าคำพูดของเขาจะน่ากลัวแค่ไหนไม่มีประโยชน์ ตอนที่เย่โม่เซินตามเธอออกไป เสิ่นเฉียวก็ตัดสินใจรีบวิ่งออกไปโดยทันที
“ยัยบ้าเอ้ย! ถ้าเธอยังขยับอีกแค่ก้าวเดียว เชื่อไหมว่าฉันจะ…..” ยังไม่ทันจะพูดจบ ร่างของเสิ่นเฉียวก็ไม่พบแล้ว
“………”
คงเพราะทะเลาะกันเสียงดัง พวกคนรับใช้ก็เลยได้ยินอย่างชัดเจน สุดท้ายทนไม่ไหวจนต้องแอบดู
ตอนที่พวกเธอเห็นสีหน้าของเย่โม่เซิน ก็กลัวจนต้องรีบหมุนตัวกลับไป
“สีหน้าของคุณชายสองน่ากลัวมาก คุณนายน้อยสองไปทำยังไงเข้า ท่านถึงได้โกรธขนาดนี้?”
“ไม่รู้เหมือนกัน คงจะสามีภรรยาทะเลาะกันแหละมั้ง?”
“คุณนายน้อยสองก็ใจกล้าจังเลยนะ ถึงกับกล้าทำให้คุณชายสองของพวกเราโกรธ”
“จริง ๆ คุณชายสองก็ดีกับคุณนายน้อยสองนะ ครั้งที่แล้วก็ซื้อเสื้อผ้าสวยๆมาให้คุณนายน้อยสองใส่เป็นกองเลย แต่คุณนายน้อยสองไม่สนใจสักนิด ฉันไม่เคยเห็นเธอใส่เสื้อผ้าที่คุณชายสองซื้อให้เลยสักครั้ง”
“ทำไมล่ะ คุณชายสองดีต่อเธอขนาดนั้น ทำไมเธอไม่ไยดีเลย”
“คงเป็นเพราะ….. คุณชายสองเป็นคนพิการละมั้ง..”
“ชู่ว! เรื่องแบบนี้ ห้ามพูดมั่วซั่วนะ!”
“ก็ฉันพูดเรื่องจริงนี่นา ถึงคุณชายสองจะหล่อ แต่ว่าท่านก็มีขาพิการนี่ แถมถ้ารวมเรื่องทำเรื่องนั้นไม่ได้ด้วยแล้ว…. จะมีผู้หญิงคนไหนชอบท่านกัน?”
พวกคนรับใช้สาวซ่อนไปพูดถึงเย่โม่เซินไปอยู่ตรงประตู ไม่มีใครทันสังเกตว่าเย่โม่เซินไถรถเข็นเข้ามาอยู่ต่อหน้าพวกเธอแล้ว”
“นั่งนินทาฉันต่อหน้าฉัน คิดว่าฉันเป็นคนตายหรือไง?”
ราวกับพวกเธอได้ยินเสียงเรียกจากนรก พวกคนรับใช้หน้าซีด หันกลับไปมองเย่โม่เซินที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่ประตูตั้งแต่เมื่อไหร่
“ค.. คุณชายสอง…”
พวกเธอไม่กี่คนกลัวจนแข้งขาอ่อน คุกเข่าอยู่ต่อหน้าเขา หนึ่งในนั้นมีคนกลัวจนเป็นลม
“ออกไปตามคน ถ้าพวกเธอทำไม่สำเร็จ พรุ่งนี้ก็เก็บข้าวของออกไปจากบ้านตระกูลเย่ได้เลย”
จริง ๆแล้วเสิ่นเฉียวไม่ได้หนีออกจากบ้านตระกูลเย่ เธอวิ่งมาทางสวนด้านหลังบ้านแทน
สวนตอนกลางคืนมืด เธอนั่งหลบร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ในใจก็ได้แต่ก่นด่าไอ้คนสารเลวเย่โม่เซิน!
ครึ่งปี…….
เธอต้องทนไปอีกครึ่งปี ครึ่งปีนี้เธอควรใช้ชีวิตยังไงต่อ…. เสิ่นเฉียวรู้สึกหมดหวังกับอนาคต ทิ้งตัวพิงกับลำต้น หลับตาแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลไปเรื่อย ๆ
ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้ ต่อไปไม่ว่าเจอเรื่องอะไรเธอจะไม่ร้องไห้อีก..
เธอเป็นแม่คน ต้องไม่โกรธเพราะคำพูดแค่นี้
อยู่ ๆ ก็มีมือเช็ดน้ำตาที่ปลายหางตาให้ มือนั้นเช็ดน้ำตาแทนเธอจนหมด เสิ่นเฉียวกระพริบตา
ใคร…กัน?
เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายดังขึ้น เสิ่นเฉียวลืมตามอง เธอมองเห็นดวงตาเศร้าโศกคู่หนึ่ง มองมาที่เธออย่างเป็นห่วง
เย่หลิ่นหาน?
เขา… มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ดวงตาที่วาวเพราะน้ำตาของเสิ่นเฉียวจับจ้องไปที่ชายคนนั้น เขาดูแตกต่างกับเมื่อตอนกลางวัน ตอนนี้ในตาของเย่หลิ่นหานเต็มไปด้วยความสงสาร เหมือนกับว่าเขากำลังเป็นห่วงเธอ
เป็นห่วง? เสิ่นเฉียวไม่เคยรู้ ว่ามีคนคอยห่วงเธอด้วย
โดยเฉพาะคนที่แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่รักแบบเธอ คงไม่มีใครมาชอบหรือเป็นห่วง
“เด็กโง่” เย่หลิ่นหานพูดเสียงต่ำ เขายื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้กับเธออีกครั้ง “เธอมาแอบร้องไห้แบบนี้ ไม่มีใครรับรู้ถึงความเจ็บปวดของเธอหรอก”
เสิ่นเฉียวนิ่ง จ้องมองเย่หลิ่นหานที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกแป๊บหนึ่ง น้ำตาก็ไหลพราก ระบายความเสียใจที่เธอเก็บมันไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เย่หลิ่นหานยิ้มน้อยๆ “ เมื่อเจ็บปวดต้องตะโกนออกมา เมื่อรู้สึกแย่เธอต้องพูด ต้องตะโกนออกมา ถ้าเธอไม่พูดออกมา คนอื่นไม่มีวันรับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้นของเธอ”