บทที่904 คุณคิดจะขัดขวางฉันเหรอคะ
หลังจากที่เสี่ยวเหยียนอาบน้ำเสร็จ ตอนที่เดินผ่านห้องของเขา เห็นเขากำลังก้มๆเงยๆเก็บกระเป๋าของตัวเอง จึงอดที่จะกลอกตาใส่ไม่ได้ เธอเช็ดผมไปด้วยพร้อมกับเดินเข้าไปในห้อง
“เสี่ยวหมี่โต้ว ทำไมหลานเก็บกระเป๋าตอนนี้ล่ะจ้ะ ยังเหลืออีกตั้งหลายวันว่าจะถึงวันปีใหม่”
เสี่ยวหมี่โต้วได้ยินเสียง แต่ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ยังคงยุ่งอยู่กับการเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า
“น้าเสี่ยวเหยียนกำลังพูดกับหลานอยู่นะ”เสี่ยวเหยียนเห็นว่าเด็กน้อยไม่สนใจเธอเลย จึงกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ
พอได้ยินแบบนี้ เสี่ยวหมี่โต้วจึงหันกลับมามอง แล้วส่งเสียงฮึดฮัด
“คุณน้าเสี่ยวเหยียนครับ คุณน้าก็รู้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงปีใหม่แล้ว ดังนั้นผมถึงต้องรีบจัดกระเป๋า จะได้เตรียมพร้อมไว้ไงครับ”พอพูดจบ เสี่ยวหมี่โต้วรู้สึกว่ายังพูดไม่พอ จึงพูดเสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “เสี่ยวหมี่โต้วไม่อยากเป็นเหมือนเสี่ยวเหยียนหรอก ที่เก็บของเอาตอนวันไป มันรีบร้อนเกินไป”
พอเสี่ยวเหยียนได้ยิน เธอรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที “หลานพูดว่าอะไรนะ”น้ำเสียงของเธอเคืองใจอยู่บ้าง
เสี่ยวหมี่โต้วยืนกอดเอว แล้วพูด “เมื่อก่อนตอนที่หม่ามี๊อยู่ด้วย หม่ามี๊ก็มักจะชอบบ่นว่าน้าเสี่ยวเหยียนชอบหลงๆลืมๆ แม้แต่ตัวเองยังดูแลไม่ดี แล้วต่อไปจะดูแลคนอื่นได้ยังไง”
โอ้โห
เสี่ยวเหยียนอยากจะบ้าตายจริงๆ คิดไม่ถึงว่ามู่จื่อแค่บ่นเธอแค่นั้น เจ้าเด็กน้อยเสี่ยวหมี่โต้วจะจำได้ชัดเจนถึงขนาดนี้
“พอเลยนะ ทำไมถึงได้ชอบบ่นน้าจังเลย ถ้าบ่นอีก น้าจะไม่สนใจและไม่พาไปหาหม่ามี๊ของหลานที่ต่างประเทศแล้วนะ หลานไปสนามบินเองเลย”
เสี่ยวหมี่โต้วไม่รู้สึกกลัวเลย ไปเองก็ไปเองสิ
แต่เขาเด็กเกินไป ถ้าไม่มีผู้ปกครองไปด้วย ตอนที่เขาเดินไปรับตั๋วเครื่องบิน คงจะไม่ผ่านการตรวจแน่นอน
เฮ้อ พอต้องคิดว่าเด็กอัจฉริยะอย่างเขาจะต้องมาขอร้องคุณน้าเสี่ยวเหยียน เสี่ยวหมี่โต้วก็รู้สึกเสียใจมาก
แต่เพื่อจะได้ไปหาหม่ามี๊กับแด๊ดดี้ รวมถึงคุณตาของแด๊ดดี้ เขาจะต้องทนเอาไว้
พอนึกถึงตรงนี้ เสี่ยวหมี่โต้วก็วางของในมือลง ก่อนจะรีบวิ่งไปกอดขาของเสี่ยวเหยียนไว้ “คุณน้าเสี่ยวเหยียนครับ ผมผิดไปแล้ว ที่จริงแล้วคุณน้าเสี่ยวเหยียนไม่ได้เป็นคนหลงๆลืมๆเลยสักนิด คุณน้าเสี่ยวเหยียนเป็นคนที่น่ารักมาก ในอนาคตจะต้องเป็นน้าสะใภ้ของผมด้วย”
พอได้ยินคำว่าน้าสะใภ้ เสี่ยวเหยียนก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที เธอยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“เห็นแก่ที่หลานเรียกว่าน้าสะใภ้ ถึงจะต้องตายน้าก็จะพาหลานไปแน่นอน แต่ถึงเวลานั้นหม่ามี๊ของหลานเอาผิดน้า หลานต้องช่วยพูดแทนน้าด้วยนะ”
“อืม” เสี่ยวหมี่โต้วพยักหน้า แล้วกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะพูดอย่างไร้เดียงสา “ผมจะพูดตามที่น้าเสี่ยวเหยียนบอกผมไว้ครับ เป็นผมที่ใช้ชีวิตของตัวเองเป็นข้อต่อรองบังคับให้น้าเสี่ยวเหยียนพาผมไปหาหม่ามี๊”
“ดีมาก ถึงตอนนั้นหลานจะต้องใส่สีเติมแต่งด้วยนะ บอกว่าถึงแม้หลานจะขอร้องยังไงน้าก็ไม่ยอม จนหลานต้องใช้ชีวิตเป็นข้อต่อรอง น้าถึงได้ตอบตกลงพาหลานไป เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วครับน้าเสี่ยวเหยียน”
พอเห็นเสี่ยวเหยียนทำหน้าตาพึงพอใจ เสี่ยวหมี่โต้วจึงไม่อยากพูดอะไร ถ้าพูดแบบนี้ออกไปหม่ามี๊จะต้องจับผิดได้ตั้งแต่แรกแน่นอนว่าน้าเสี่ยวเหยียนเป็นคนสอนให้เขาพูดแบบนี้
ฮิฮิ น้าเสี่ยวเหยียนเป็นนี่ซื่อบื้อจริงๆเลย
“จริงสิ น้าชายของหลานยังไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม อย่าบอกให้เขารู้เด็ดขาดเลยนะ ถ้าหากเขารู้ว่าเราสองคนแอบหนีไปหาหม่ามี๊ของหลานแค่สองคน เขาจะต้องขัดขวางเราแน่ๆ”
ถึงแม้เสี่ยวเหยียนจะอยากให้หานชิงไปกับพวกเธอด้วย เธอจะได้ถือโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์กับหานชิงระหว่างการเดินทาง แต่ดูจากนิสัยของหานชิง เขาเป็นจอมปีศาจที่รักน้องสาวมาก
ถ้าบอกเขาไป เขาไม่ใช่แค่จะไม่ไปด้วย แต่ยังจะขัดขวางไม่ให้เธอกับเสี่ยวหมี่โต้วไปแน่นอน
แต่เสี่ยวเหยียนคิดไม่ถึงเลยว่าวันต่อมาหลังจากที่จองตั๋วเครื่องบินแล้ว จะมีคนมาหาถึงที่
เธอเพิ่งเริ่มทำงานเตรียมเอกสาร พอได้ยินผู้ช่วยบอกว่ามีคนมาขอพบเธอ แล้วเธอได้พาไปนั่งรอที่ห้องรับแขก เสี่ยวเหยียนนึกว่าเป็นลูกค้าจึงเดินตรงไปที่ห้องรับแขก
คิดไม่ถึงว่าพอเปิดประตูเข้าไป กลับเจอกับคนที่เธอคาดไม่ถึงว่าจะเจอ เซียวซู่
พอเห็นเซียวซู่ เสี่ยวเหยียนก็ประหลาดใจมาก เธอคิดไม่ถึงว่าคนที่มาหาเธอจะเป็นเขา ตั้งแต่ที่เขาได้รับบาดเจ็บ ทั้งสองคนก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
พอมาเจอกันอีกที แผลของเขาก็หายดีแล้ว จะเหลือก็แต่รอยแผลค่อนข้างลึกที่อยู่บนหน้าของเขา
เสี่ยวเหยียนยืนตะลึงอยู่สักพัก ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง
พอเซียวซู่เห็นเธอ เขารีบลุกขึ้นยืน แล้วส่งยิ้มบางๆมาให้เธอ “มาแล้วเหรอครับ”
พอมองหน้าตรงๆ เสี่ยวเหยียนก็อดที่จะสูดหายใจอย่างตกใจไม่ได้
ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน เซียวซู่ซูบผอมไปมาก ปลายคางแหลม เพราะผอมลงทำให้ขอบตาของเขาลึกมาก คิ้วเข้มหน้าคม เดิมทีเสี่ยวเหยียนคิดว่าเซียวซู่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าจะน่าเกลียด แต่คิดไม่ถึงเลยว่ารอยแผลเป็นไม่มีผลกระทบกับความหล่อเหลาของเขาเลย อีกทั้งยังทำให้เขาดูมีความแข็งแกร่งและมีอำนาจมากขึ้นด้วย
แต่ว่า ภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาถูกทำร้าย มันปรากฏขึ้นมาในสมองของเธอตลอด เลือดที่เลอะเต็มตัว แค่นึกถึงเสี่ยวเหยียนก็รู้สึกเจ็บมากแล้ว
เธอเบะปาก ก่อนจะส่งยิ้มให้เขา “แผลของคุณ… หายดีหรือยังคะ”
เซียวซู่ชะงักไปเล็กน้อย เหมือนคิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นห่วงเรื่องอาการบาดเจ็บของตนเอง ก่อนจะพยักหน้ารับ
“หายดีแล้วครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง”
หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับมานิ่งเงียบเหมือนเดิม เสี่ยวเหยียนเองก็ไม่รู้ว่าทำไมบรรยากาศมันถึงได้อึดอัดขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นตั้งแต่ตอนที่พวกเธอกลับมา แล้วเซียวซู่พูดแบบนั้นกับเธอ ทำให้ทั้งสองทะเลาะกัน จนบรรยากาศมันอึดอัดแบบนี้
สักพัก เสี่ยวเหยียนถึงได้เริ่มพูดเพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้
“เอ่อ คุณมาได้ยังไงคะ มีธุระอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ”
เซียวซู่พยักหน้า ให้เธอนั่งลงก่อน แล้วยื่นเอกสารไว้บนโต๊ะ การกระทำของเขาทำให้เสี่ยวเหยียนไม่เข้าใจ ก่อนจะมองหน้าเขาด้วยแววตาสงสัย
“นี่หมายความว่ายังไงคะ”
ทำไมถึงยื่นบัตรประจำตัวมาให้เธอ
เซียวซู่นิ่งคิด ก่อนจะคิดเรียบเรียงคำพูดในสมอง ไม่ว่าจะพูดยังไงมันก็ฟังดูแปลกๆ ต่อมาเซียวซู่คิดว่าตัวเองควรจะพูดออกไปตรงๆจะดีกว่า
ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาตรงๆ “พวกคุณจะไปหาคุณมู่จื่อกับคุณชายเย่ที่ต่างประเทศกันใช่ไหมครับ”
พอได้ยินแบบนี้ เสี่ยวเหยียนก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบถามกลับ “คุณรู้ได้ยังไงกันคะ”
พอถามออกไป เธอถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองเผลอหลุดปากพูดออกไปแล้ว เธอรีบพูดแก้ตัวทันที “ไม่นี่คะ คุณไปได้ข่าวนี้มาจากไหน”
ปฏิกิริยาตอบสนองที่น่ารักแบบนี้ได้ขายตัวเองไปแล้วเรียบร้อย เธอยังนึกว่าตัวเองปิดความลับไว้ได้ดีมาก แต่ในแววตาของเซียวซู่กลับแฝงไปด้วยรอยยิ้ม โดยที่ใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง
“เรื่องที่ผมอยากรู้แน่นอนว่าต้องมีวิธีรู้อยู่แล้วครับ ครั้งนี้พวกคุณไปหาคุณมู่จื่อกับคุณชายเย่ คุณหานชิงคงไม่รู้สินะครับ”
เสี่ยวเหยียนกำหมัดแน่น สายตาที่มองเซียวซู่เริ่มระมัดระวังมากขึ้น
“ถ้าหากคุณหานชิงไม่รู้ล่ะก็ พวกคุณควรจะบอกคุณมู่จื่อ หรือก็คือคุณนายน้อยของพวกเราไว้ล่วงหน้าก่อน”
เสี่ยวเหยียนขมวดคิ้ว “คุณหมายความว่ายังไงคะ วันนี้คุณมาหาฉัน ก็เพื่อจะมาพูดเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ คุณคิดจะขัดขวางฉัน หรือคิดจะไปฟ้องข่าวให้คนอื่นกันแน่คะ”