บทที่93 ผลประโยชน์ที่ไม่เท่ากัน
“อย่างนั้นก็ต้องถามพี่ใหญ่แล้วว่า หลังจากที่ยัดเยียดภรรยาให้ผมแล้ว มาทำดีกับเธอทำไม”
“เรื่องนี้นายเข้าใจผิดแล้ว ฉันแค่บังเอิญผ่านมาเจอเธอ”
“งั้นหรอ? แค่บังเอิญหรือว่านัดกันเอาไว้ก่อนแล้ว” พูดถึงตรงนี้ เย่โม่เซินก็ปรายตาไปมองเสิ่นเฉียวเล็กน้อย
เสิ่นเฉียวกำมือแน่น เธอมองไม่เข้าไปในดวงตาของเย่โม่เซินอย่างไม่เกรงกลัว เม้มริมฝีปาก
ทุก ๆคนคิดว่าเธอจะอธิบาย แต่ใครจะรู้ว่าเสิ่นเฉียวจะพูดแบบนี้ ” ไม่ว่าจะตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ คุณอยากคิดแบบไหนก็เชิญ ยังไงซะคนที่ชอบคิดไปเองแบบคุณ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ไม่เคยฟัง ฉันไม่มีความจำเป็นที่ต้องอธิบาย””
“น้องสะใภ้!” เย่หลิ่นหานขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมเสิ่นเฉียวไม่ยอมอ่อนข้อต่อเย่โม่เซิน แถมยังพยายามต่อต้านเขาอย่างสุดความสามารถ
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ!” เสิ่นเฉียวผลักเย่หลิ่นหานออก ร่างเล็กของเธอกำลังยืนบังเขาอยู่ “คุณคิดว่าฉันตีสองหน้าไม่ใช่หรอ? งั้นคุณก็คิดไปแบบนั้นแล้วกัน สิ่งที่คุณเห็นเป็นจริงทั้งหมด ฉันเป็นคนแบบนั้นแหละ และฉันก็เป็นคนนัดพี่ใหญ่ออกมาเอง”
สายตาของเขาเปลี่ยนมาเย็นชาในทันที จ้องมองที่เธออย่างเอาเรื่อง
“เธอรู้ใช่ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?”
เสิ่นเฉียวเหลือทนกับเย่โม่เซินจริง ๆแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมา ทุกคำที่เขาพูด เหมือนกับเข็มที่ปักเข้ามาที่กลางอกเธอครั้งละเล่ม ค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาจเพราะเธอขออยู่ที่บ้านตะกูลเย่ต่อ แต่ถ้าคิดว่าเธอไม่มีความสามารถอะไรล่ะก็ ตอนนี้เธอรู้สึกควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้
น้องสะใภ้ลืมเรื่องที่เราคุยกันเมื่อกี้แล้วหรอ? “เธอ…”
พี่ใหญ่นี่เป็นเรื่องระหว่างฉันกับเย่โม่เซิน คุณกลับไปก่อนเถอะ
“น้องสะใภ้…..”
สายตาของเสิ่นเฉียว สร้างความกดดันให้กับเขา ต้องการให้เค้ารีบๆจากไปเสียที
เย่หลิ่นหานเม้มริมฝีปากบาง สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาพยักหน้า แล้วมองไปทางเย่โม่เซิน อธิบายซ้ำอีกครั้ง “โม่เซิน นิสัยของนายในตอนนี้ต้องได้รับการขัดเกลาเสียบ้าง น้องสะใภ้กับพี่ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดศีลธรรม ค่ำนี้ก็แค่บังเอิญมาเจอเธอเข้า ฉันมีเรื่องจะพูดแค่นี้แหละ ที่เหลือพวกนายก็คุยกันเอาเองแล้วกัน”
เมื่อเย่หลิ่นหานจากไป เซียวซู่ รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน เขาชี้นิ้วมาที่ตัวเอง แล้วพูดว่า “งั้นผมก็…ไปแล้วนะ?”
ไม่มีใครสนใจเขา เกาหัวตัวเองอย่างงงๆ สิ่งที่เขาถามดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจใช่ไหม? งั้นก็ไปเลยก็ได้มั้ง ดังนั้นเซียวซู่ ก็ทิ้งพวกเขาไปเหมือนกัน
ในสวนเงียบสงัด เหลือเพียงเย่โม่เซินกับเสิ่นเฉียวเท่านั้น
คนอื่นไปหมดแล้ว เสิ่นเฉียว ยืนมองเขาจากไม่ใกล้ไม่ไกล เพราะบรรยากาศที่เปลี่ยนไปแสงจันทร์จึงไม่ได้ดูอ่อนโยนเหมือนเมื่อกี้ แสงจันทร์ที่ส่องกระทบเย่โม่เซิน ดูแล้วช่างหนาวเหน็บ
ไม่รู้ว่าปล่อยให้ความเงียบทำงานไปกี่นาที แต่เย่โม่เซิน ก็เป็นคนเริ่มพูด “มานี่”
เสิ่นเฉียวยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เธอหลุบตาลง “ ฉันมีเรื่องที่ต้องพูดกับคุณ”
ฟังจบ เย่โม่เซินแสยะยิ้ม “ว่ามา”
ดวงตาของเสิ่นเฉียว จับจ้องอยู่ที่พื้น “ ตอนแรกเราทำข้อตกลงกันไว้ ฉันมาอยู่บ้านตระกูลเย่เพื่อให้บ้านตระกูลเย่เป็นที่คุ้มภัยของฉัน และการมีอยู่ของฉันก็ทำให้คนหลุดพ้นจากการบังคับแต่งงานของคุณปู่ ตอนแรกที่พวกเราทำข้อตกลงกันไว้มันก็เป็นไปได้ด้วยดีแล้วไม่ใช่หรอ?”
“ใครบอกเธอว่ามันเป็นไปได้ด้วยดี” น้ำเสียงเยือกเย็นของเย่โม่เซิน ทำให้เสิ่นเฉียว ต้องเงยหน้าขึ้นมา สายตาจับผิดมองไปที่เขา “ม….ไม่ใช่”
เย่โม่เซิน ค่อยค่อยขยับรถเข็นไปทางเสิ่นเฉียว เพราะเขาค่อยขยับไปช้าๆ ดังนั้นเสิ่นเฉียวเลยไม่ทันระวังตัว เขาค่อยๆไถรถเข็นไปด้านหน้าค่อยๆพูดกับเธอ “ คุณปู่จะยัดเยียดใครให้ฉันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันรับได้หมด แต่ว่าถ้าการแต่งงานมันแฝงไปด้วยแผนการหรือว่ามีใครที่คิดแผนจะทำอะไรซักอย่างก็คงจะไม่ได้ เสิ่นเฉียว เธออย่าลืมนะว่าถึงแม้จะเป็นการแต่งงานด้วยผลประโยชน์ แต่ว่าการแต่งงานครั้งนี้ คนที่ต้องแต่งงานกับฉันคือเสิ่นโย่วน้องสาวเธอ ถึงจะถูก”
เสิ่นเฉียวมือสั่น
”เสิ่นเฉียว เธอคือคนที่มาแต่งงานแทน แถมยังพาลูกติดมาด้วยอีก วันนั้นคือเธอที่อ้อนวอนฉัน ขอให้เธออยู่ต่อ”
“……”
“ ตอนนี้เธอว่าการทำสัญญาในครั้งนี้ มันยังได้ผลประโยชน์เท่ากันไหมล่ะ?”
เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากล่าง “ได้ ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นคนขอให้ตัวเองอยู่ต่อ แต่ว่าพวกเราก็แค่การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ไม่ใช่หรอ? ทำไมต้องเอาศักดิ์ศรีของฉันมาเหยียบย่ำด้วย? ทำไม?”
เย่โม่เซินหัวเราะเบาๆ “สนุกไง”
เมื่อฟังจบ เสิ่นเฉียวไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ดวงตาเธอเบิกโพลง “สนุก?”
เอาศักดิ์ศรีคนอื่นอย่ามาเหยียบย่ำไว้ใต้เท้า เข้าใจคนอื่นผิด ทั้งหมดนี้คือความสนุกล้วนๆ?
ถึงสีหน้าของเย่โม่เซินดูเหมือนคนกระหายเลือด แต่ว่าน้ำเสียงของเขานั้นเย็นเหมือนน้ำแข็ง “เธอคิดว่าการเป็นภรรยาของเย่โม่เซินมันง่ายมากงั้นสิ? เสิ่นเฉียว นี่คือราคาที่ตระกูลเสิ่นต้องจ่ายเพราะโกหกฉัน”
ราคางั้นหรอ?
เสิ่นเฉียวยืนหน้าซีดอยู่ใต้ต้นไม้ แสงจันทร์ทำให้หน้าของเธอดูขาวยิ่งขึ้น เธอปล่อยให้ผมปรกหน้า ทำให้ยิ่งดูเหมือนผีผู้หญิง
ที่แท้ ก็เพราะเรื่องนี้ ในที่สุดเสิ่นเฉียวก็เข้าใจ ทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับเธอ
“ดังนั้น คุณเลยคิดว่าฉันมีแผนการกับการแต่งงานครั้งนี้ ทำทุกวิธีเพื่อที่จะได้แต่งงานแล้วเข้ามาอยู่ในตระกูลเย่ ใช่ไหม? ”
เย่โม่เซินเลิกคิ้ว “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกเหรอ?”
เสิ่นเฉียวจะพูดอะไรได้ เธอได้แต่หลุบตาลง
เขาคิดว่าเธอออยากแต่งนักหรือไง? จริง ๆแล้ว การแต่งงานในครั้งนี้ เธอก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายเหมือนกัน
แต่พูดไปเขาก็ไม่เข้าใจหรอก เสิ่นเฉียวยิ้มหยันให้กับตัวเอง “ ใช่ ฉันมันก็ผู้หญิงแบบนี้แหละ”
เย่โม่เซินขมวดคิ้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรขึ้นมาอีก? นึกไม่อยากจะเถียงก็ไม่เถียง
“สิ่งที่เธอจะคุยกับฉันมีแค่นี้?”
เสิ่นเฉียวเงยหน้า ดวงตาคู่สวยกลับมาสงบอีกครั้ง จ้องไปยังเขา
“เท่านี้แหละ ไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัว”
พูดจบ เธอก็หมุนตัวกำลังจะเดินจากไป หัวคิ้วของเย่โม่เซินขมวดแน่น กัดฟันพูด “กลับมานี่”
เสิ่นเฉียวหยุดเดิน ยิ้มอ่อน “คุณชายเย่มีอะไรจะสั่งหรือเปล่าคะ?”
จากนี้ไป เธอจะจำสถานะของตัวเองให้แม่น ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ก็จะคิดแค่ว่ามันคือสัญญาและผลประโยชน์ จะไม่คิดวอกแวกอีก
วันนี้เธอเสแสร้งมากเกินไปแล้วจริง ๆ
เย่โม่เซินพูดถูก การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ คือการแลกเปลี่ยนที่ไม่สมน้ำสมเนื้อ คนที่ใช้วิธีสกปรกก็มีราคาค่างวดที่จะต้องจ่าย
และเธอก็คือคนที่ได้รับผลจากการกระทำนั้น
“เธอเรียกฉันว่าอะไร?”
เสิ่นเฉียวยืนนิ่งอยู่แป๊บนึง แล้วก็หมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเขา ใต้แสงจันทร์ใบหน้าของเธอเย็นชา น้ำเสียงก็ไม่มีความอ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย
“คุณชายเย่ ต้องการจะสั่งอะไรหรือเปล่าคะ?”
“……..”
ให้ตายเถอะ!
การเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหันแบบนี้ทำให้เย่โม่เซินรู้สึกอึดอัดอย่างมาก อีกอย่างแววตาสงบของเธอ ก็ทำให้เย่โม่เซินรู้สึกเหมือนกำลังค่อยๆเสียอะไรบางอย่างไป
แบบนี้ทำให้เขายิ่งไม่ถูกใจ!!
“ใครอนุญาตให้เธอเรียกฉันแบบนั้น”
เสิ่นเฉียวยิ้มอ่อน “คุณชายเย่เคยสั่งดิฉันไว้ว่า ให้เรียกคุณชายเหมือนกับที่คนอื่น ๆเรียก”
“นั่นคือเวลาที่ออกไปข้างนอกหรือเวลาอยู่ที่บริษัท เธอมาเรียกชื่อฉันแบบนี้ตอนอยู่บ้าน เธออยากให้คุณปู่รู้หรือยังไง?”
“อ๋อ ได้ค่ะ อย่างนั้นคุณชายเย่ ท่านอยากให้ดิฉันเรียกท่านว่าอะไรดีคะ? ดิฉันเปลี่ยนได้ ไม่มีปัญหา”
น่าประหลาดใจมาก จู่ ๆ เสิ่นเฉียวก็เปลี่ยนเป็นคนว่านอนสอนง่าย ราวกับตัวเองเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์