บทที่926 แน่วแน่มั่นคง
หยูโปคิดอยู่สักพักนึง ดูเหมือนว่าการขัดขวางของนายท่านนั้นไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนสั่นคลอนเลย แต่กลับได้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเหนียวแน่นมากขึ้น
บนโลกนี้ก็คงไม่มีเรื่องบังเอิญ จะมีแค่เพียงเรื่องที่ได้ถูกลิขิตว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเพียงเท่านั้นล่ะมั้ง
ไม่อย่างนั้นแล้วหลังจากที่คุณชายเซินสูญเสียความทรงจำไป จะยังกลับมารักคุณนายน้อยอีกครั้ง? อีกทั้งยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง?
“จะว่าไปมันก็ใช่ งั้นความหมายของนายท่านก็คือ…ต่อไปจะไม่บีบบังคับให้คุณชายเซินหมั้นหมายกับคุณหนูตวนมู่อีก?”
คำพูดนี้ทำเอายู่ฉือจินไม่พอใจขึ้นมาทันที “อะไรที่บอกว่าฉันบีบบังคับให้พวกเขาหมั้นกัน? หยูโป นายลองฟังดูสิว่าคำที่นายพูดออกมามันเรียกว่าอะไรกัน? อีกอย่าง ทางฝ่ายเสี่ยวเสว่ตอนนี้ คาดว่าคงหมั้นหมายกับอาเซินไม่ได้อีกแล้ว”
เมื่อพูดถึงสถานการณ์ทางฝั่งของตวนมู่เสว่ หยูโปก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อย “ช่างน่าเสียดายเด็กผู้หญิงดีๆคนนึง ทำเรื่องพวกนั้นออกมาได้ยังไงกัน?”
ทั้งสองคนต่างก็ทอดถอนหายใจกันออกมา
แต่เพียงไม่นาน ยู่ฉือจินก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
ตอนนี้เขามีเหลนแล้วนี่ ต้องไปหาเหลนของเขาสักหน่อยสิ
ยู่ฉือจินรีบออกไปจากห้องด้วยการประคองของหยูโปอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนี้ภายในห้องรับแขกกลับว่างเปล่า ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
ทำเอายู่ฉือจินรู้สึกเหมือนกับเรื่องต่างๆเมื่อกี้นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งที่เขาจินตนาการผิดๆไปเอง
โชคดีที่ในตอนนี้หานมู่จื่อและเสี่ยวเหยียนได้เปิดประตูกลับมาพร้อมกัน
ในตอนที่เข้ามาก็สบเข้ากับสายตาของยู่ฉือจินพอดี
หานมู่จื่อนิ่งไปสักพัก จากนั้นก็เอ่ยไปด้วยรอยยิ้ม “คุณตาฟื้นแล้ว รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
คำว่าคุณตาคำนั้นยู่ฉือจินฟังแล้วรู้สึกขัดหูเสียจริง แต่พอได้ลองย้อนกลับไปคิดๆดูแล้วถ้าเธอจะคบกับเย่โม่เซิน การเรียกเขาว่าคุณตา มันก็ไม่มีตรงไหนที่ผิดอะไรเลยนี่นา
เพียงแต่ภายในใจของเขาก็ยังไม่ได้ยอมรับไปเสียทีเดียว ยังรู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก
จมูกของยู่ฉือจินส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามเธอ ทำเพียงแค่ถามออกไป “พวกเธอออกไปทำอะไร?”
หานมู่จื่อกับเสี่ยวเหยียนสบตาเข้าหากัน จากนั้นก็เอ่ยพูดอธิบายออกมา “พวกเราไปส่งคุณน้าขึ้นรถ ท่านขอตัวกลับโรงแรมไปก่อนแล้วค่ะ”
ยู่ฉือจินขมวดคิ้วออกมาทันที “อานอานกลับโรงแรมแล้ว?”
“ค่ะ”
เดิมทียู่ฉือจินยังคิดเลยว่าคืนนี้จะอยู่ที่นี่อีกสักพักใหญ่ๆ อยู่ดูเหลนตัวเองนานๆหน่อย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า…เขาคงอยู่นานไม่ได้
ไม่อย่างนั้นแล้วลูกสาวสุดที่รักของเขาคนนั้นคงต่อว่าเขาออกมาไม่หยุดอีกแน่
เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้แล้ว ยู่ฉือจินก็กระแอมออกมาเบาๆ “เมื่อกี้นี้…”
“คุณตา คืนนี้มันก็มืดค่ำแล้ว เอาอย่างนี้มั้ยคะพวกคุณก็นอนกันที่นี่เลย? เพราะมื้อเย็นก็ยังไม่ทันได้ทานอิ่ม ฉันก็เลยคิดว่าอีกเดี๋ยวกะว่าจะต้มบะหมี่รวมแก้ขัดไปก่อนสักหน่อย คุณตาคิดว่าเป็นไงคะ?”
นี่หล่อนกำลังชวนเขา?
ยู่ฉือจินก็แสดงท่าทีถือตัวขึ้นมาอีกทันที ร้องเฮอะเสียงเย็นออกมา “ต้มบะหมี่แก้ขัด? พวกเธอแก้ขัดกันไปเองเถอะ ฉันกับหยูโปต้องกลับก่อนแล้ว”
หืม? เป็นอย่างที่ส้งอานพูดเอาไว้จริงๆด้วย ยู่ฉือจินไม่อยู่พักที่นี่จริงๆ
ก็ดีเหมือนกัน เธอยังคิดว่าการต้มบะหมี่ง่ายๆตามยถากรรมอย่างนี้มันไม่ค่อยจะดีนัก แต่ถ้ายู่ฉือจินไม่อยู่ที่นี่ต่อนั่นมันก็ไม่เหมือนกันนี่
“งั้นฉันกับเสี่ยวเหยียนไปส่งคุณตาที่หน้าประตูแล้วกันนะคะ”
ยู่ฉือจิน “…”
นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะไม่เอ่ยรั้งออกมาเลยสักประโยคเดียว ยู่ฉือจินโกรธจนถลึงตาออกมา แต่ก็ต้องออกไปเพราะถึงยังไงเขาก็ได้พูดออกไปแล้ว ถ้ามากลับคืนคำตอนนี้มันก็จะดูเสียหน้าเกินไป
ดังนั้นแล้วเขาจึงกุมไม้เท้า เดินออกไปอย่างอารมณ์ไม่ดี หยูโปก็รีบเดินตามมาติดๆ
หานมู่จื่อกับเสี่ยวเหยียนมาส่งพวกเขาที่ชั้นล่างด้วยกัน
ยู่ฉือจินกับหยูโปเอารถมา คนขับรถรอพวกเขาที่ชั้นล่างอยู่นาน จนนอนหลับไปในรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หยูโปเดินเข้าไปเคาะหน้าต่างรถ คนขับรถก็รีบตื่นขึ้นมา น่าจะเป็นเพราะยังสะลึมสะลือ คนขับรถยกมือขึ้นมาถูใบหน้าของตัวเองเพื่อให้ตัวเองตื่นตัวขึ้นมาสักหน่อย จากนั้นถึงได้เปิดประตูออกไป เอ่ยออกไปอย่างนอบน้อม “นายท่าน ท่านพ่อบ้านหยู”
พูดจบ เขาก็เข้าไปเปิดประตูที่นั่งข้างหลัง
ยู่ฉือจินหันกลับไปมองหานมู่จื่อ หลังจากที่หานมู่จื่อถูกสายตาของเขามองเข้าไป ก็รีบเผยรอยยิ้มออกมาทันที
“คุณตา ลุงหยู งั้นพวกคุณก็เดินทางปลอดภัยนะคะ”
นึกไม่ถึงเลยว่าจะไม่เอ่ยรั้งเขาเลยสักคำเดียว ดูเหมือนว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะให้เขากลับไปให้ได้
ยู่ฉือจินถอนสายตากลับมา ไม่ได้พูดอะไรกับหานมู่จื่อออกไปเลยแม้แต่คำเดียว ก็ได้โน้มตัวลงเข้าไปนั่งที่นั่งเบาะหลังทันที
ในทางกลับกันหยูโปนั้น ได้เอ่ยพูดออกไปกับหานมู่จื่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“คุณนายน้อย งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว ด้านนอกก็ยังหนาวมาก คุณรีบกลับเข้าไปเถอะครับ”
“ขอบคุณหยูโปที่เป็นห่วงนะคะ ฉันรอให้พวกคุณกลับไปแล้วฉันจะรีบกลับไปทันทีค่ะ”
“ดีครับ”
หยูโปเองก็ได้ขึ้นรถตามไป ประตูรถปิดลง รถก็ค่อยๆเคลื่อนออกห่างจากลานจอดรถแห่งนี้ไปเรื่อยๆ
หลังจากที่รถออกไปได้ไม่ไกลนัก ยู่ฉือจินก็มองร่างหานมู่จื่อในกระจกมองหลัง เอ่ยฮึดฮัดเสียงเย็นออกมาอย่างไม่พอใจ “ยังเรียกคุณตงคุณตาอย่างสนิทสนมเสียขนาดนั้น แต่พอได้ยินว่าฉันบอกว่าจะไป ก็รีบพาฉันมาส่งแทบไม่ทัน”
หยูโปที่นั่งอยู่ข้างๆพอได้ยินอย่างนั้นแล้ว ก็รู้ได้ว่ายู่ฉือจินกำลังบ่น จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป
“ความหมายของนายท่านก็คืออยากอยู่ต่อ?”
ยู่ฉือจินรีบตอบออกไปทันที “ใครบอกกัน?”
“เอ่อ…” หยูโปเอ่ยยิ้มๆออกมาอย่างกระอักกระอ่วน “เมื่อกี้นี้ได้ยินคำพูดของนายท่านแล้ว ผมเองก็นึกว่านายท่านจะอยากอยู่ต่อเสียอีก”
“ถึงแม้ว่าฉันจะอยากอยู่ต่อ นั่นก็เพราะว่าอยากอยู่กับเหลนของฉันนานๆ แล้วดูผลสุดท้าย? ไม่เพียงแต่จะไม่ได้เจอเหลน แต่กลับยังถูกไล่ออกมาอีก”
“นายท่าน จะว่าอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ เมื่อกี้นี้คุณนายน้อยก็ได้บอกพวกเราแล้วนี่ครับ ว่าได้จัดห้องพักให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว อยากให้พวกเราได้อยู่กินบะหมี่กันไงครับ เพียงแต่ว่า…เป็นนายท่านเองที่ไม่ยอมอยู่เองนี่ครับ”
“ฉันไม่ยอม?” ยู่ฉือจินร้องเสียงสูงออกมาเหมือนกับว่าถูกเหยียบลงไปบนเท้าที่กำลังเจ็บอยู่ไม่มีผิด “ฉันไม่ยอมหล่อนก็จะเอ่ยรั้งฉันสักหน่อยไม่ได้เลยหรอ?”
หยูโป “…”
หลังจากที่ภายในรถเงียบไปสักพักนึง หยูโปทำได้แค่เพียงช่วยพูดแทนหานมู่จื่อออกไป
“นายท่าน ผมเชื่อว่าคุณนายน้อยไม่ได้ไม่รั้งนายท่าน แต่เป็นเพราะนายท่านเป็นผู้อาวุโส นายท่านบอกว่าไม่อยากอยู่ต่อ เธอก็ต้องทำตามสิ่งที่นายท่านพูดอยู่แล้ว แล้วยังกลัวว่าถ้าเกิดรั้งนายท่านเกินไปจะทำให้นายท่านไม่พอใจเอานะครับ”
พูดจบ หยูโปก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา
นายท่านกลายมาเป็นคนเย่อหยิ่งอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? อยากอยู่ต่อก็อยู่สิ ยังต้องให้คนอื่นมากล่อมให้เขาอยู่ต่ออีกงั้นหรอ?
“นายกำลังแก้ตัวให้หล่อนงั้นหรอ?”
หยูโป “ไม่ครับ ผมไม่ได้…”
“งั้นก็เลิกพูดได้แล้ว!”
เมื่อหมดทางสู้ หยูโปจำต้องหุบปากลง ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ระหว่างทางที่หานมู่จื่อกับเสี่ยวเหยียนเดินกลับไปนั้น เสี่ยวเหยียนก็อดกลั้นอยู่นานกว่าจะพูดออกไป “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณตาของคุณชายเย่เหมือนกับว่าจะไม่อยากกลับไปนะ?”
“ไม่หรอกมั้ง?” หานมู่จื่อแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา “คุณน้าก็บอกแล้วนี่ว่าเขาไม่อยู่ต่อหรอก อีกอย่างเมื่อกี้นี้พอเขารู้ว่าฉันจะต้มบะหมี่รวมแก้ขัดกัน ก็มีสีหน้ารังเกียจออกมาชัดๆนี่”
เสี่ยวเหยียนลูบจมูกของตัวเองเบาๆ “หรือฉันจะคิดผิดไปงั้นหรอ?”
หลังจากที่ทั้งสองคนกลับไปแล้วนั้น หานมู่จื่อก็เตรียมที่จะเข้าไปต้มบะหมี่ในครัว เสี่ยวเหยียนบอกให้เธอทำเอง เธออยากแสดงฝีมือการทำอาหารของเธอสักหน่อย ดังนั้นแล้วหานมู่จื่อจึงไม่ได้ขวางเธอ ปล่อยให้เธอทำไป
หานมู่จื่อเอาวัตถุดิบที่เหลืออยู่จากที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ทันได้กินอะไรเลยเก็บกลับมา
ว่ากันตามจริงแล้วนั้น ออกจากโรงพยาบาลวันนี้ เธอยังอยากกินหม้อไฟสักมื้อ
แต่นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องมากมายขึ้นมา ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ที่จะไปกินของพวกนี้แล้วจริงๆ