บทที่ 936 แดดดี๊จะใจแคบแบบนี้ไม่ได้นะ
เย่โม่เซินยื่นมือไปกดศีรษะของเขาที่ยื่นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยและน้ำเสียงเย็นชา “ ลงไป ”
เสี่ยวหมี่โต้วเผยสีหน้าที่สงสัยและไร้เดียงสาออกมา :“ ทำไมหรอกครับแดดดี๊ หรือว่าเป็นเพราะหม่ามี๊รักเสี่ยวหมี่มากกว่า แดดดี๊เลยโกรธงั้นเหรอครับ?”
เย่โม่เซิน:“……”
เสี่ยวหมี่โต็วตั้งใจทิ่มแทงใจของเขาต่อ:“หรือว่าหม่ามี๊ไม่พูดกับแดดดี๊ แดดดี๊ก็เลยเสียใจเหรอครับ?”
เย่โม่เซิน:“……”
เสี่ยวหมี่โต้วทำปากจู๋:“แดดดี๊จะใจแคบแบบนี้ไม่ได้นะครับ!ไม่อย่างนั้น หม่ามี๊จะยิ่งไม่ชอบแดดดี๊ได้นะครับ!”
เย่โม่เซิน:“……”
ก่อนหน้านั้น เขายังรู้สึกดีใจ มีความสุขและรู้สึกทึ่งที่มีลูกชาย อารมณ์ต่างๆที่ยากจะอธิบายได้เอ่อล้นเต็มอก
แต่ตอนนี้ได้ยินคำพูดของเสี่ยวหมี่โต้วแล้ว เย่โม่เซินกลับถึงขั้นมีความวู่วามที่อย่าจะกดศีรษะของเขาถูกับโต๊ะทำงาน
ไม่นะ ไม่ได้เด็ดขาด!
เย่โม่เซินจ้องเสี่ยวหมี่โต้วทีนึง ถึงใบหน้าของเขาในตอนนี้จะกวนตีนมากก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เตือนสติว่านี่เป็นลูกชายของเขาในความเป็นจริง เป็นลูกของเขากับมู่จื่อ
ลูกแท้ๆของตัวเอง
อดทนหน่อยแล้วกัน
นึกถึงนี่แล้ว สายตาที่เย่โม่เซินจ้องเสี่ยวหมี่โต้วได้เก็บกลับมา พยายามเก็บอารมณ์ร้อนและความโกรธของตัวเองไว้
เสี่ยวหมี่โต้วได้พูดทิ่มแทงใจของเย่โม่เซินยาวเหยียด เห็นสีหน้าแววตาของเย่โม่เซินที่เปลี่ยนไปหลายครั้ง เขาแอบสะใจ ขอแค่แดดดี๊ใจร้ายทนไม่ไหวตำหนิเขาหรือตีเขาแล้วละก็ เขาก็จะรีบไปฟ้องแม่แล้วจะให้แม่เลิกกับแดดดี๊ใจร้ายคนนี้ไปเลย!
ฮึ!!
แต่ตอนที่เย่โม่เซินมองมานั้น สายตาก็แค่เย็นๆ แต่ในแววตากลับซ่อนความฝืนทนที่ไร้ทางสั้นสุด สุดท้ายก็เก็บอารมณ์ไว้
หลังจากนั้น ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เสี่ยวหมี่โต้ว:“???”
เออ?นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
หรือว่าที่เขาพูดเมื่อกี๊ยังไม่ทิ่มแทงใจพอเหรอ?แดดดี๊เลยไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้?แต่ทั้งๆที่เมื่อกี๊เขาเห็นแววตาของแดดดี๊โกรธเป็นไฟเลยนี่น่ะ นั่นเป็นการแสดงอารมณ์โกรธนี่น่ะ
ทำไมถึงได้หายไป?
นั้นเขาควรจะทิ่มแทงใจเขาให้หนักกว่าดีมั้ย??
แต่เซียวซู่ที่อยู่ข้างๆ กลับเห็นฉากนี้และได้ยินบนสนทนาของสองพ่อจนจบ หลังจากนั้น เขาก็ได้เปลี่ยนความคิดที่มีอยู่ก่อนหน้า
ก่อนหน้านี้ เขายังรู้สึกคุณชายเย่มีความคิดที่ปัญญาอ่อนมาก ถึงกับไปหึงเด็ก
แต่ตอนนี้ เขากลับรู้สึกคุณชายเย่น่าสงสารมาก
คำพูดของเสี่ยวหมี่โต้วแต่ละคำ มันทิ่มแทงใจของคุณชายเย่ชัดๆ?เซียวซู่นึกถึงวันนั้นตอนที่อยู่โรงพยาบาล คำพูดที่เสี่ยวหมี่โต้วถามเขาว่าชอบเสี่ยวเหยียนหรือเปล่านั้น ทันใดนั้นก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา
ไอ้เด็กหัวสมองฉลาด แม้แต่อารมณ์ของเขายังดูออก นั้นคำพูดของเมื่อกี๊เขาตั้งใจพูดหรือเปล่าน๊า?
คิดๆแล้วก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะยังไงซะเขาก็ลูกของคุณชายเย่กับคุณนายน้อย คงเป็นเพราะกรรมพันธุ์ดีล่ะมั่ง?
ก็แค่เด็กตัวกะเปี๊ยกแค่เนี่ย มันน่าทึ่งมากที่มีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เห็นด้วยตาตัวเอง แค่ได้ยินจากปาก เซียวซู่คงไม่มีทางเชื่อแน่
เสี่ยวหมี่โต้วยังดื้อรั้นไม่ยอมลงจากตักของเย่โม่เซินสักที แม้กระทั่งในสมองยังคิดว่าจะทิ่มแทงใจของแดดดี๊ต่ออีกหรือเปล่า
คิดไปคิดมา เสี่ยวหมี่โต้วก็รู้สึกช่างเหอะ
จะทำเกินไปในครั้งเดียวไม่ได้ แต่ว่าจำนวนครั้งจะน้อยไม่ได้ จะให้แดดดี๊ชะล่าใจไม่ได้
เขาจะทำให้แดดดี๊รู้สึกละอายใจ แล้วดีกับหม่ามี๊ให้มากๆ!
ถึงแม้เขาจะไม่ได้เอาศีรษะของเขาถูกกับพื้น แต่เวลานี้ เย่โม่เซินก็ได้หิ้วคอเสื้อของเขาแล้วปล่อยเจ้าตัวแสบลงที่พื้น
หลังจากเท้าของเจ้าตัวแสบแตะถูกพื้น ก็ทำหน้ามุ่ยต่อว่า:“แดดดี๊ แดดดี๊ใจแคบจริงๆ ผมจะฟ้องหม่ามี๊”
ได้ยินแบบนี้แล้ว สายตาเฉียบคมหันไปมองเขา
“แม่ของนายเป็นผู้ใหญ่พอ ใครผิดใครถูกเธอสามารถแยกแยะออกได้อย่างชัดเจน”
“แต่เธอเป็นหม่ามี๊ของผมนะ~”
หมายความว่า ถึงเธอจะเป็นผู้ใหญ่ แต่เขายังเด็ก และหานมู่จื่อเป็นแม่ของเขา เพราะฉะนั้น เธออาจจะเชื่อคำพูดของเขา
“และแดดดี๊รู้มั้ย?คนส่วนใหญ่จะคิดว่าเด็กจะไม่พูดโกหก”
เย่โม่เซินหรี่ตาลง จ้องไอ้ตัวแสบที่ยืนข้างขาตัวเองด้วยสายตาอันตราย เม้มปากแล้วเงียบ
“คุณอาเซียวครับ คุณอาว่าเสี่ยวหมี่โต้วพูดถูกมั้ยครับ?”
เซียวซู่ที่พยายามทำตัวเองเหมือนไม่มีตัวตน เวลานี้ จู่ๆถูกเอ่ยชื่อขึ้นมา สีหน้าตึงในทันที
นี่จะให้เขาพูดยังไง?หลังจากที่เห็นเสี่ยวหมี่โต้วใส่ร้ายแดดดี๊ตัวเองแล้ว
เสี่ยวหมี่โต้วมองหน้าเขา และสายตาของเย่โม่เซินก็กวาดมาที่เขาอยู่พอดี เซียวซู่รีบยืนตัวตรง ทำหน้าดูเป็นคนเที่ยงตรงและเป็นธรรม
“คนส่วนใหญ่จะเชื่อว่าเด็กไม่พูดโกหก คำนี้พูดไม่ผิด แต่ที่เด็กไม่พูดโกหกก็เพราะไอคิวของเด็กไม่ได้สูงขนาดนั้น”
แต่เด็กที่ไอคิวสูงเหมือนเสี่ยวหมี่โต้วแล้วนั้นละก็ไม่แน่
แต่คำพูดสุดท้ายเซียวซู่เลือกที่จะไม่พูดออกมา ถ้าเสี่ยวหมี่โต้วตอแยกับเขา เขาก็จะพูดว่าเขาแค่พูดตามความเป็นจริงก็แค่นั้น
เสี่ยวหมี่โต้วโกรธขึ้นมาจริงๆซะด้วย เดินไปโต้แย้งตรงหน้าของเขา
และในตอนนี้ เย่โม่เซินใช้มือบีบที่หัวคิ้วตัวเอง มองเอกสารที่วางกองอยู่บนโต้เยอะแยะ จู่ๆก็ไม่มีอารมณ์อยากจะดูต่อซะงั้น เขายื่นมือไปปิดโน๊ตบุ๊คลงมา และหลังจากนั้น เอาโน๊ตบุ๊ควางไว้บนกองเอกสาร
เดิมที่ เสี่ยวหมี่โต้วก็แค่จู่ๆนึกขึ้นได้ อยากจะมาเยี่ยมชมบริษัท
เพราะฉะนั้น เย่โม่เซินเลยพาเขามาด้วย หลังจากมาถึง เย่โม่เซินเลยกะจะตรวจดูเอกสารหน่อย จะได้ไม่ต้องกองเป็นภูเขาแบบนี้
ก่อนหน้าเขายังมีอารมณ์จะดูเอกสารอยู่ แต่ตอนนี้ ?หลังจากได้ยินที่หานมู่จื่อพูดแล้ว ทันใดนั้นสภาพจิตใจของเย่โม่เซินไม่ไหวแล้ว ถึงเขาจะพยายามปลอบใจตัวเองว่านั่นก็แค่คำพูดหลอกเด็กของมู่จื่อ แต่ใจกลับนึกถึงมันตลอด
เธอจะรักเสี่ยวหมี่โต้วมากกว่าเขาได้ยังไงกัน?
อีกอย่าง ความรักที่มีต่อลูกกับความรักที่มีต่อคนรักจะเหมือนกันได้ยังไง?
นึกถึงนี้แล้ว เย่โม่เซินได้เก็บเอกสารเข้าตู้แล้วล๊อคตู้ให้เสร็จ น้ำเสียงพูดอย่างเย็นชา:“กลับกันได้แล้ว เรากลับบ้านไปฉลาดตรุษจีนกัน”
ได้ยินแบบนี้แล้ว เสี่ยวหมี่โต้วหันมามองเย่โม่เซินด้วยสายตาดูถูกที่นึง “แดดดี๊ เมื่อกี๊ตอนเราขึ้นมา ยังมีคนทำงานอยู่เพียบเลยนะ แต่นี่แดดดี๊กลับจะกลับไปฉลองตรุษจีนที่บ้าน มันเหมาะสมหรอครับ?”
เย่โม่เซินใช้หางตามองเขาทีนึง “พวกเขาไม่ใช่คนจีนสักหน่อย”
เสี่ยวหมี่โต้วฮึขึ้นที่นึง:“แดดดี๊ทำงานไม่กระตือรือร้นเลย ปล่อยให้พนักงานทำงาน แต่ตัวเองกลับไม่ทำงาน”
สำหรับข้อนี้ เย่โม่เซินยอมรับโดยดี แล้วเดินไปตรงหน้าของเสี่ยวหมี่โต้ว มือใหญ่เอื้อมไปจับเขามากอดกับอกตัวเอง
“อ้า แดดดี๊ คราวหลังถ้าแดดดี๊จะอุ้มผม ท่าทีนุ่มนวลหน่อยได้มั้ยครับ?อย่าเพราะแค่ว่าผมเป็นเด็กผู้ชายก็รุนแรงกับผมซิครับ!”
เย่โม่เซินยกมุมปากขึ้น รอยยิ้มดูจะเย็นชาแล้วมองเขาทีนึง
“กลับไปถามแม่นายให้รู้ไปเลย ว่าเธอรักใครมากกว่ากันแน่?”
เสี่ยวหมี่โต้วพอได้ยินแล้วลืมตาโตขึ้นทันที ไม่นึกเลยว่าตั้งแต่เมื่อกี๊จนถึงตอนนี้ แดดดี๊ยังคิดเรื่องนี้อยู่ เขากัดฟันแล้วพูด :“แดดดี๊ใจร้าย ผมไม่ยอมให้แดดดี๊ไปถามหม่ามี๊นะ ถ้าแดดดี๊กล้าทำให้หม่ามี๊ลำบากใจแล้วล่ะก็ ผมก็ไม่ยอมรับแดดดี๊แล้ว”
แต่แล้ว คำพูดของเขาเพิ่งจะพูดจบ เย่โม่เซินก็ได้หนีบเขาไว้ตรงใต้รักแร้แล้วเดินออกจากห้องทำงานไป
พี่หลินได้มาส่งเอกสารให้เขาพอดี จู่ๆได้เห็นเย่โม่เซินหนีบเด็กคนนึงไว้แล้วเดินออกมาจากห้อง เธอหันไปมองหน้าเด็กอีกที ลืมตาโตในทันที