บทที่939ไม่พอใจ
หานมู่จื่อถูกสายตาเธอมองจนมึนตึ๊บ กำลังอยากจะถามเธอว่าเป็นอะไร แต่ต่อมาก็เห็นเสี่ยวเหยียนหันหลังเดินไปที่ประตูทางเข้าบ้าน คนทั้งคนดูแล้วผิดปกติมาก
นี่…….เป็นอะไรไป?
เธอรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ เพราะยังไงซะเสี่ยวเหยียนที่ได้รับสายของหานชิง เสี่ยวเหยียนไม่น่าจะมีกิริยาท่าทางแบบนี้นี่น่ะ อีกอย่างเธอก็ไม่ได้บอกกับตัวเองอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น
นอกจากคนที่โทรหาเธอไม่ใช่หานชิง? หัวใจของหานมู่จื่อถูกแขวนขึ้นมา จากนั้นก็รีบลุกขึ้นเดินตามฝีเท้าของเสี่ยวเหยียน
หานมู่จื่อกับเสี่ยวเหยียนมาถึงที่ทางเข้าประตู
มองดูเสี่ยวเหยียนก็เดินมาถึงที่ข้างประตูแล้ว อยากยื่นมือไปเปิดประตูแล้ว แต่มือเพิ่งยื่นไปกุมลูกบิดประตู เธอก็ตกใจจนเอามือหดมือกลับมา เหมือนกับว่าลูกบิดประตูนั้นไฟดูด แต่ก็เหมือนประตูมีโรคระบาดยังไงอย่างงั้น
ต่อมา เสี่ยวเหยียนได้ถอยหลังก้าวหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งไปหลบที่ด้านหลังของหานมู่จื่ออย่างไว และพูดติดๆขัดๆ
หน้าตาแบบนี้………
รู้สึกแปลกประหลาดมาก หานมู่จื่อมองนอกประตูด้วยความสงสัยทีหนึ่ง จากนั้นก็ตบมือของเสี่ยวเหยียนด้วยการปลอบใจ พร้อมพูดเสียงเบา: “ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันมาเปิดเอง”
จากนั้นเธอได้เดินไปข้างหน้า ชะโงกไปดูที่ตาแมวว่าคนที่อยู่ด้านนอกคือใคร
เดิมทีตาแมวนี้ติดตั้งเพื่อความปลอดภัย ปกติเธอไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่เลย ครั้งนี้ปฏิกิริยาที่ตื่นเต้นเกินไปของเสี่ยวเหยียน ได้ทำให้เธอเป็นห่วงมากจริงๆ ดังนั้นดูหน่อยถึงจะดีว่าคนด้านนอกคือใคร
หานมู่จื่อชะโงกไปดูที่ตาแมวทีหนึ่ง แค่มองแว๊บเดียว เธอก็อึ้งค้างเลย
จากนั้น เธอถอยหลังมา และดึงประตูออกอย่างไว
ร่างเงาสูงใหญ่ยืนอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าที่เยือกเย็น อยู่ภายใต้แสงไฟของริมทางเดินยิ่งชูให้ดูเย็นชาเคร่งขรึมขึ้นไปอีก หลังจากสบตากับหานชิง พริบตาเดียวแววตาของหานชิงได้อ่อนโยนลงมา แต่ไม่นานก็มองข้ามผ่านเธอ และไปหล่นอยู่ที่ใบหน้าหน้าขาวซีดที่อยู่ด้านหลังเธอ พริบตาเดียวแววตาก็เยือกเย็นลงมา
เสี่ยวเหยียนหดไหล่ไว้ นาทีนี้อยากให้ตัวเองมีเปลือกที่แข็งแรงจริงๆ สามารถให้เธอเข้าไป จากนั้นเธอก็หลบอยู่ที่ด้านในไม่ต้องออกมาอีก
เพราะเวลานี้ แววตาของหานชิงทั้งเยือกเย็นและเฉียบคมจริงๆ เหมือนมีดที่แหลมคม เธอไม่กล้ามองตรงๆด้วยซ้ำ
หานมู่จื่อย่อมรู้สึกได้ถึงสายตาของหานชิงอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวสักคำ เธอยิ้มอ่อนๆ วิ่งไปยืนอีกด้านอย่างไม่ทิ้งร่องรอย บดบังสายตาที่หานชิงมองเสี่ยวเหยียน “พี่ ทำไมมาไม่บอกสักคำเลยคะ?”
สายตามีหานมู่จื่อโผล่ขึ้นมา แววตาที่เยือกเย็นของหานชิงค่อยๆจางหายไป แต่เห็นได้ชัดว่าเขามาพร้อมอารมณ์ ถึงไม่อยากมีอารมณ์ต่อหน้าน้องสาวตัวเอง แต่อารมณ์ในตอนนี้มันพุ่งแรงเกินไป เขาสะกดไว้ไม่อยู่ จึงเผยออกมาให้เห็น
“ไม่ทันได้บอก”
เขาพูดอย่างราบเรียบ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปที่ด้านใน
ตอนที่เดินผ่านหานมู่จื่อ หานมู่จื่อได้กลิ่นไอที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตะลอนๆ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ปิดประตู
ไม่นึกเลยว่าครั้งนี้หานชิงจะมาคนเดียว ไม่ได้พาซูจิ่วมาด้วย
แต่คิดๆแล้วก็ปกติดี เวลานี้เป็นเวลาทำงาน ในประเทศวันนี้คือวันขึ้นปีใหม่ เมื่อวานเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ซูจิ่วเป็นคนมีครอบครัว ได้หยุดงานกลับไปฉลองปีใหม่ตั้งนานแล้ว เป็นไปได้ยังไงที่จะมาต่างประเทศกับหานชิง?
อีกอย่าง ถึงซูจิ่วจะยอมทำโอที คาดว่าหานชิงก็ไม่ให้เธอทำโอทีหรอก
ตอนที่หานชิงเดินผ่านข้างกายของเสี่ยวเหยียน เสี่ยวเหยียนรู้สึกร่างกายและใจของตัวเองต่างก็กำลังสั่น ก่อนมาเธอได้คิดไว้อย่างดีแล้วแท้ๆ อีกอย่างใจกล้ามากด้วย ยังคิดอยู่ว่าตอนที่หานชิงมา เธอจะโยนความผิดไปที่เสี่ยวหมี่โต้วหมด
เพราะเขาสองพี่น้องไม่มีทางทำอะไรเสี่ยวหมี่โต้วอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้ล่ะ? พอหานชิงโผล่มาจริงๆ เธอกลับไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
หลังจากหานชิงเข้าไป เสี่ยวเหยียนยืนเซ่ออยู่ที่เดิม หานมู่จื่อเดินมาดึงมือของเธอ “เข้าไปเถอะ”
“ไม่ได้” เสี่ยวเหยียนส่ายหัว กัดริมฝีปากล่างของตัวเองไว้ เบ้าตาแดงก่ำ: “มู่จื่อ ขาฉันอ่อนอ่ะ”
เธออึ้งไปสักพัก จู่ๆหัวเราะออกมาอย่างจนปัญญา: “เธอก็ไม่เอาไหนเกินไปหรือเปล่า? เขาไม่ได้ใส่อารมณ์ให้เธอสักหน่อย เธอก็ตกใจขนาดนี้แล้ว? แล้วต่อไปเธอจะทำยังไง? เธอยังอยากแต่งงานกับเขาด้วยไม่ใช่หรอ?”
เสี่ยวเหยียนส่ายหน้าสุดฤทธิ์: “ตอนนี้ฉันไม่กล้าคิดแล้ว”
ตอนนี้ในหัวเธอมีแค่ความคิดเดียว ก็คือหวังว่าหานชิงจะไม่โทษเธอ ฮือๆ และไม่ต้องพูดจากับเธอแล้ว
“ยังมีฉันอยู่” หานมู่จื่อได้แต่ปลอบใจเธอแบบนี้: “มีเรื่องอะไรฉันจะช่วยเธอเอง”
หลังจากได้ยินเธอพูดแบบนี้ เสี่ยวเหยียนถึงเดินตามหลังเธอไปอย่างน่าสงสาร
ถึงแม้หานชิงมาที่นี่ครั้งแรก แต่ว่าหานชิงอยู่ที่นี่ก็เหมือนอยู่บ้านตัวเอง หลังจากเข้าไปก็มองดูรอบๆอย่างไม่เกรงใจ เหมือนสำรวจดูสิ่งแวดล้อมของที่นี่ หลังจากแน่ใจแล้วว่าสิ่งแวดล้อมของที่นี่ดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ถึงโล่งอกไปที จากนั้นถึงนั่งลงที่โซฟา
หานมู่จื่อดึงเสี่ยวเหยียนเข้าไปในห้องรับแขก เวลานี้มีแค่เธอสองคนที่อยู่บ้าน เสี่ยวเหยียนหลบอยู่ที่ด้านหลังของหานมู่จื่อ ไม่กล้ามองสายตาของหานชิงเลยด้วยซ้ำ
หานมู่จื่อมองหานชิงแล้วยิ้มอ่อนๆ: “พี่จะดื่มน้ำอะไรคะ?”
เผชิญหน้ากับน้องสาวตัวเองหานชิงเม้มปาก จากนั้นก็เปิดปากพูด: “น้ำเปล่าก็พอ”
หานมู่จื่อจึงได้ลูบมือของเสี่ยวเหยียนที่จับแขนตัวเองไว้แน่น “เสี่ยวเหยียน เธอไปรินน้ำแก้วหนึ่งนะ”
เสี่ยวเหยียนก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อ หลังจากได้ยินคำพูดของหานมู่จื่อ ได้มองเธออย่างซาบซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังวิ่งไปรินน้ำที่ห้องครัวอย่างไว ระหว่างนั้นยังเกือบจะสะดุดล้มเพราะความตื่นเต้นอีก
ที่โชคดีคือฝีมือของเสี่ยวเหยียนยังถือว่าไม่เลว ไม่นานก็ยืนทรงตัวได้และเข้าไปในห้องครัว
หานมู่จื่อดึงสายตากลับ เดินไปนั่งลงที่ข้างกายของหานชิง
“พี่หานชิง”
หานชิงเงยหน้าขึ้น สายตาหล่นอยู่ที่หานมู่จื่อ: “ทำไมพี่รู้สึกว่าเธอผอมลง? เขาไม่ได้ดูแลเธอดีๆเหรอ?”
ตอนที่พูดคำถามสุดท้ายนั้น น้ำเสียงของหานชิงมีความเยือกเย็นเพิ่มมากขึ้น แค่ฟังก็รู้สึกอันตรายมาก
หานมู่จื่ออึ้ง รีบส่ายหน้าช่วยเย่โม่เซินอธิบาย: “พี่พูดอะไรเนี่ย? ก่อนหน้านั้นเขาไม่รู้จักฉันด้วยซ้ำ แล้วจะดูแลฉันยังไง?”
“ไอ้สารเลวคนนี้”
หานชิงกำหมัดไว้แน่น นานๆทีจะพูดจาหยาบคาย สีหน้าก็เปลี่ยนมาดูแย่ขึ้น
“แต่พี่ก็อย่าโกรธเลยนะ ฉันกับเขารู้จักกันแล้ว ตอนนี้เขารู้ว่าเสี่ยวหมี่โต้วคือลูกชายของเขา และดีกับฉันมากด้วย พี่……….”
พอได้ยินปุ๊บหานชิงหัวเราะเย็นชาทีหนึ่ง “รู้จักกันแล้ว? เพราะความสัมพันธ์ของเสี่ยวหมี่โต้วหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเหยียนพาเสี่ยวหมี่โต้วมาเอง ตอนนี้เธอกับเขาสถานการณ์เป็นยังไง?”
น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมมาก ดูเหมือนว่ามีความเห็นอย่างมากกับเรื่องที่เธอซูบผอม
หานมู่จื่ออ้าปาก แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ เธอแค่ผอมลงนิดหน่อยหานชิงก็มีความคิดเห็นใหญ่โตขนาดนี้แล้ว ถ้าให้เขารู้ว่าตัวเองเกือบจะแท้งลูก งั้นเขาไม่รื้อบ้านหลังนี้ทิ้งไปเลยหรอ?
ความคิดนี้เพิ่งแว๊บผ่านในหัว หานมู่จื่อก็มีความแน่วแน่แล้วว่าห้ามพูดเรื่องนี้กับหานชิง
“แล้วคนล่ะ ไปไหนแล้ว?”
หานชิงเพิ่งถามคำถามเสร็จ เสี่ยวเหยียนก็ยกน้ำออกมาจากห้องครัวแล้ว