บทที่940โอกาสที่ได้อยู่ตามลำพัง
เสี่ยวเหยียนเอาแก้วน้ำวางลงที่ตรงหน้าของหานชิงจากนั้นก็รีบเดินจากไป
หานชิงขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยจิตใต้สำนึก สายตามองไปที่เสี่ยวเหยียน เสี่ยวเหยียนรีบพูด: “ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าฉันยังไม่ได้เก็บเสื้อผ้า ฉันไปเก็บเสื้อผ้าก่อนนะ”
พูดจบ เธอก็ชิ่งหนีกลับไปที่ห้องอย่างไว
หานชิง:“……”
หานมู่จื่อ:“……”
หลังจากทั้งสองมองดูเสี่ยวเหยียนเดินเข้าห้อง หานมู่จื่ออดไม่ได้ที่จะพูด: “พี่ พี่อย่าดุขนาดนี้สิคะ ทำเอาเสี่ยวเหยียนกลัวขนาดนี้แล้ว?”
ได้ยินคำนี้แล้วหานชิงมองเธอด้วยสายตาเยือกเย็นทีหนึ่ง “เพื่อนรักของเธอนี่ใจกล้าไม่เบาเลยนะ ไม่บอกสักคำก็พาคนมาเลย”
หานมู่จื่อกัดริมฝีปากล่าง ตัดสินใจจะปกปิดความผิดให้เสี่ยวเหยียนหน่อย “ที่จริงเธอไม่ได้เป็นคนจะมาเอง เพราะฉันรู้สึกว่าที่นี่ไม่มีความคืบหน้าอะไร ดังนั้นก็เลยส่งข้อความให้เสี่ยวเหยียน ให้เธอพาเสี่ยวหมี่โต้วมาหาฉันค่ะ”
หานชิงไม่เชื่อคำพูดของเธอ หลังจากฟังแล้วแค่ยักคิ้ว: “นี่คือจะแบ่งปันความทุกข์ยากพร้อมเธอแล้วงั้นเหรอ?”
“พี่คะ ไม่ใช่ค่ะ…….ฉันเป็นคนส่งข้อความให้เธอมาจริงๆค่ะ”
“มีหลักฐานมั้ย?” หานชิง
หานมู่จื่อ:“……”
ทันใดนั้น เธอนึกไม่ถึงว่าหานชิงจะถามแบบนี้ อึ้งอยู่กับที่ไปพักหนึ่งถึงได้อธิบาย: “เอ่อคือ…..ฉันเป็นคนส่งข้อความ แต่ว่าได้ลบข้อมูลในมือถือทิ้งไปแล้ว”
“งั้นหรอ?” หานชิงก็ไม่รีบร้อน ถามช้าๆไปคำหนึ่ง
จู่ๆหานมู่จื่อไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้ว เพราะรู้สึกไม่ว่าตัวเองจะพูดยังไง ก็ปกปิดความจริงไม่ได้ เป็นไปได้ยังไงที่หานชิงจะไม่เข้าใจในตัวเธอ? ก่อนหน้านั้นเธอไม่ให้เสี่ยวหมี่โต้วมา ก็เพราะอยากจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จคนเดียว รอให้ความทรงจำของเย่โม่เซินกลับมา ค่อยรับเสี่ยวหมี่โต้วมาที่นี่
แต่ว่าตอนนี้ ความทรงจำของเย่โม่เซินไม่ได้ฟื้นฟูกลับมา เธอกลับบอกว่าตัวเองเป็นคนส่งข้อความให้เสี่ยวเหยียนพาเสี่ยวหมี่โต้วมา
แค่ฟัง ก็ไม่น่าเชื่อถือแล้ว
เธอไม่พูดจาอีก เพราะเธอรู้ว่าพูดอะไรไป หานชิงก็ไม่เชื่อหรอก
หานมู่จื่อก้มหน้า จู่ๆอารมณ์ก็ห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที
หานชิงอึ้งไปครู่หนึ่ง นึกย้อนถึงน้ำเสียงของเมื่อกี๊เคร่งขรึมเกินไป ตอนนี้เห็นสีหน้าที่ได้รับกระทบกระเทือนของหานมู่จื่อ ทันใดนั้นเขารู้สึกโทษตัวเอง
“ขอโทษ……..พี่ไม่ได้ตั้งใจใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเธอ แต่เมื่อกี๊……”
“ฉันรู้ค่ะ” หานมู่จื่อพูดแทรกเขา: “ฉันรู้ว่าพี่เป็นห่วงฉัน แต่ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว อยากทำอะไรก็ทำเลย รวมทั้งเสี่ยวเหยียนด้วย เธอรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ในเมื่อเธอกล้าพาเสี่ยวหมี่โต้วออกมา งั้นก็แสดงว่านี่ไม่ใช่ความคิดของเธอคนเดียว”
พูดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้นมา เผชิญหน้ากับหานชิง
“ในเมื่อเสี่ยวหมี่โต้วอยากมาเอง แล้วพี่จะโทษเธอทำไมล่ะคะ?”
หานชิงดูออกแล้ว มู่จื่อจะปกป้องเสี่ยวเหยียนให้ถึงที่สุด เขาต่อว่าเสี่ยวเหยียนคำหนึ่งก็ไม่ได้ เดิมทีหานชิงอยากถามเอาความผิดกับเสี่ยวเหยียน เธออยากทำอะไรไม่เป็นไร แต่ที่เขาแคร์ที่สุดคือ ไม่นึกเลยว่าเธอจะไม่บอกเขาสักคำ ก็พาเสี่ยวหมี่โต้วจากไปเลย
ถ้าระหว่างเดินทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะทำยังไง?
คิดถึงตรงนี้ เสียงของหานชิงอ่อนโยนขึ้นเยอะ
“ในเมื่อนี่คือความต้องการของเธอ งั้นพี่ก็รู้แล้ว”
“ไม่ใช่ฉันต้องการค่ะ” หานมู่จื่อพูดแทรกเขา: “ฉันก็แค่พูดตามความจริง ถ้าพี่จะเอาผิดเสี่ยวเหยียน งั้นเสี่ยวหมี่โต้วก็คงยกเว้นไม่ได้ เพราะยังไงซะระหว่างสองคนนี้ ฉันกล้าบอกได้เลยว่าเสี่ยวหมี่โต้วใจกล้ากว่า ถ้าเสี่ยวหมี่โต้วไม่ได้บอกเสี่ยวเหยียนพามา เสี่ยวเหยียนไม่มีทางพาเขามาเด็ดขาด ”
พอพูดแบบนี้ ก็เหมือนจะใช่
แต่ว่า…….. หานชิงขมวดคิ้วมองหานมู่จื่อ ไม่นึกเลยว่าเธอจะไม่เกรงใจลูกชายตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ไม่กลัวว่าเสี่ยวหมี่โต้วจะถูกเขาเอาตำหนิหรอ?
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะกังวล หานชิงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เขาพูดเกลี้ยกล่อมด้วยถ้อยคำที่ดี: “เอาล่ะ พี่รู้แล้ว เธออย่าโกรธเลย”
หานมู่จื่อหลุบตาไว้ ไม่ตอบคำถาม
ในห้องรับแขกเงียบไปสักพัก ถึงได้ยินหานมู่จื่อถาม: “ไหนๆพี่ก็มาแล้ว งั้นจะอยู่ฉลองปีใหม่กับพวกเรามั้ยคะ?”
หานชิงอืมคำหนึ่ง จากนั้นก็อธิบาย: “บริษัทหยุดงานแล้ว เดิมทีซูจิ่วก็จะมาด้วย แต่พี่ไม่เห็นด้วย เธอก็เลยอยู่กับลูกที่บ้าน”
“อ๋อ ค่ะ”
หานมู่จื่อมองรอบๆของเขาทีหนึ่ง จู่ๆนึกถึงเรื่องสำคัญอะไรขึ้นมาได้ ตอนที่หานชิงเข้ามา รู้สึกเหมือนหิ้วกระเป๋าใบเล็กๆมาใบเดียว แม้แต่กระเป๋าเดินทางก็ยังไม่มีเลย
เขามาครั้งนี้ คงไม่ใช่แค่……..เอาตั๋วเครื่องบินและพาสปอร์ตมามั้ง?
คิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อเงยหน้า: “พี่ กระเป๋าเดินทางของพี่ล่ะคะ ”
ถูกถามคำถามนี้ หานชิงที่เดิมทีสีหน้าเคร่งขรึมได้มีความเก้อเขินโผล่ขึ้นมา พูดถึงเรื่องนี้เขาก็หงุดหงิดเลย เพราะเดินทางอย่างรีบร้อน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เก็บกระเป๋าอะไร ก็รีบมาเลย
หลังลงจากเครื่องถึงถูกแอร์โอสเตสถามถึงเรื่องกระเป๋าเดินทาง เขาถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองไม่ได้เอากระเป๋าเดินทางมาด้วยซ้ำ ยังดีที่มีพาสปอร์ตกับมือถือพกติดตัวไว้
ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็หาที่นี่ไม่เจอจริงๆ
“คงไม่ใช่มาอย่างเร่งรีบ จึงไม่ได้เอาอะไรมาเลยมั้งคะ?”
หานชิงเงยหน้า สีหน้าสาหัส: “ได้เอาพาสปอร์ตกับมือถือมา”
หานมู่จื่อ:“……”
เธอนึกย้อมไปครู่หนึ่ง กระแอมและพูด: “เดี๋ยวรอให้โม่เซินกลับมาแล้ว ฉันให้เขายืมเสื้อให้พี่ใส่ก่อน?”
เสื้อผ้าของเย่โม่เซิน?
หานชิงต่อต้านด้วยจิตใต้สำนึก เขาจะไปใส่เสื้อผ้าของผู้ชายคนอื่นได้ยังไง? ถึงคนๆนี้จะเป็นน้องเขยเขาก็ไม่ได้
หานชิงรีบปฏิเสธข้อเสนอของเธอในทันที
“ไม่ต้อง เดี๋ยวพี่ออกไปซื้อเอง”
หานมู่จื่อก็ไม่ได้ฝืนใจเขา เธอคิดๆแล้วพูด: “พี่เพิ่งมาถึงที่นี่ อาจจะไม่คุ้นแถวนี้ หรือให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ยคะ?”
“ไม่ต้อง” หานชิงมองทิศทางที่เสี่ยวเหยียนเดินจากไปในเมื่อกี๊ “ให้เธอไป”
เดิมทีหานมู่จื่อยังอยากพูดอะไรหน่อย แต่พอคิดในมุมกลับกัน นี่ถือเป็นโอกาสดีของเสี่ยวเหยียนไม่ใช่เหรอ?
ไปซื้อเสื้อผ้าเป็นเพื่อนหานชิง ไม่มีคนอื่น เวลาที่ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันจะต้องนานแน่นอน? หลังจากในหัวมีความคิดนี้แว๊บผ่าน หานมู่จื่อก็รีบพยักหน้าเลย
“ โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันไปบอกกับเสี่ยวเหยียน ”
หานมู่จื้อพูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องของเสี่ยวเหยียน หานชิงก้มหน้า ขนตาได้บังความมืดมนในแววตาเขาไว้
ถึงแม้เมื่อกี๊มู่จื่อพูดกับเขาไปชุดใหญ่ ก็ไม่ใช่เพื่อให้เขาอย่าโทษเสี่ยวเหยียนหรอ แต่ว่า……..เรื่องบางเรื่องก็ต้องพูดให้ชัดเจนจริงๆ
ในเมื่อพูดต่อหน้าน้องสาวไม่ได้
งั้นก็พาเสี่ยวเหยียนออกไปพูดด้านนอก
หลังจากหานมู่จื่อกลับมาถึงห้อง ก็ได้บอกข่าวนี้ให้กับเสี่ยวเหยียน เสี่ยวเหยียนฟังปุ๊บ สีหน้าซีดขึ้นมาทันที พร้อมปฏิเสธเธอ
“ฉันไม่ออกไป! ”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว หานมู่จื่อค่อนข้างประหลาดใจ: “ทำไมล่ะ? โอกาสดีแบบนี้ เธอไม่ออกไปกับพี่ชายฉัน?”
“มู่จื่อ ฉันไม่กล้า……ตอนนี้ฉันกลัวเขามาก เขาต้องโกรธฉันมากแน่ๆเลย”
“เธอวางใจเถอะ เมื่อกี๊ฉันได้คุยกับเขาแล้ว เขารับปากว่าจะไม่สืบสาวราวเรื่องต่อแล้ว”
“จริงหรอ? ” เสี่ยวเหยียนลังเลไม่แน่ใจ “แต่ว่า……ฉันก็ยังกลัวอยู่ดี”
“เธอกลัวอะไร? อยู่กันตามลำพัง ออกไปซื้อเสื้อผ้ากับเขา โอกาสที่หายากขนาดนี้ เธอไม่เอาจริงๆ?”
หานมู่จื่อเห็นเสี่ยวเหยียนยังลังเลอยู่ กะว่าจะใช้ยารุนแรงโดยตรง เธอหันหลังเดินออกไปด้านนอกด้วย และพูดไปด้วย: “งั้นฉันไปบอกเขา ว่าเธอไม่สมัครใจที่จะไปนะ”