บทที่943มู่จื่อจะเข้าใจผิดได้
เธอไม่แน่ใจว่าหานชิงจะถอดเสื้อคลุมให้เธอใส่จริงหรือเปล่า อยากหยุดท่าทางของหานชิง ก็กลัวเดี๋ยวตัวเองเปิดปากแล้วจะถูกหานชิงปฏิเสธ จากนั้นก็กลายเป็นเธอคิดไปเองฝ่ายเดียว
แต่ถ้าไม่พูด เดี๋ยวเขาถอดเสื้อคลุมให้เธอใส่จริงๆ งั้นคนที่ต้องทนหนาวไม่ต้องกลายเป็นเขาหรอ?
ถ้าเทียบกับให้หานชิงต้องทนหนาว เสี่ยวเหยียนยอมให้คนที่ต้องทนความเหน็บหนาวเป็นตัวเอง!
ในขณะที่เธอกำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่ หานชิงได้ถอดเสื้อคลุมลงมาแล้ว จากนั้นแววตาที่เยือกเย็นก็จ้องมองเธอไว้ ถือเสื้อคลุมเดินมาที่ตรงหน้า
เสี่ยวเหยียนเห็นภาพนี้แล้ว เธอถอยหลังด้วยจิตใต้สำนึก
“ไม่เอาค่ะ!”
ฝีเท้าของหานชิงได้หยุดนิ่งไว้ทันที และขมวดคิ้วขึ้นมา
“มาใส่เสื้อผ้า”
“ไม่!” เสี่ยวเหยียนจ้องมองเขาอย่างดื้อรั้น กัดริมฝีปากล่างและส่ายหน้าอย่างยืนหยัด: “คุณใส่เลย ฉันไม่หนาวค่ะ!”
แววตาของหานชิงมีความไม่พอใจและหมดความอดทน แถมยังขมวดคิ้วยิ่งแน่นขึ้นด้วย ยัยบ๊องคนนี้ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้? เขาหรี่ตาเล็กน้อย: “คุณคิดว่าผมจะเชื่องั้นหรอ? จะมาใส่เอง หรือให้ผมไปใส่ให้คุณ?”
เสี่ยวเหยียน: “………”
ถ้าเป็นไปได้……..เธอย่อมอยากให้หานชิงมาใส่ให้เธออยู่แล้ว
ผู้ชายใส่เสื้อให้ผู้หญิงเองกับมือ นี่ต้องเป็นเรื่องที่โรแมนติกมากแค่ไหนเลย
อ๋า ไม่ถูกๆ!
เสี่ยวเหยียนใช้แรงแกว่งศีรษะของตัวเอง ให้ความคิดสวยงามเหล่านั้นหายไปจากในหัว พอดึงสติกลับมาเห็นแววตาเย็นชาของหานชิง เธอก็ยังก้าวข้ามผ่านไม่ได้อยู่ดี
อากาศหนาวมากจริงๆ เธอไม่อยากให้หานชิงได้รับความทรมานที่เมื่อกี๊เธอได้รับจริงๆ
ในหัวกำลังคิดอยู่ หานชิงก็ได้เดินมาหาเธอเลย
เสี่ยวเหยียนเบิกตากว้างด้วยจิตใต้สำนึก อยากถอยหลัง แต่ฝีเท้าของหานชิงก้าวได้ยาวมาก พริบตาเดียวก็ถึงตรงหน้าเธอแล้ว
พอยื่นมือ เสื้อคลุมที่อบอุ่นก็ได้อยู่ที่ไหล่ของเสี่ยวเหยียนแล้ว
เสี่ยวเหยียนอึ้งอยู่ที่เดิม มองดูหานชิงที่อยู่ตรงหน้าอย่างเอ๋อ
ระยะทางใกล้แค่เอื้อม
เธอเงยหน้าขึ้น สิ่งที่เห็นคือคางของหานชิง
คงจะเพราะเร่งรีบขึ้นเครื่องและใจร้อน เขาไม่ทันได้โกนหนวด คางจึงมีหนวดเคราโผล่ขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เดิมทีระยะห่างอย่างนี้ จะต้องเป็นเธอที่เป็นฝ่ายพยายามไขว่คว้าเองถึงจะได้
แต่ตอนนี้ เธอไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าใกล้หานชิงเลย
เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้าใกล้ตัวเอง
แต่เสี่ยวเหยียนยังไม่ทันได้รำลึก หานชิงที่อยู่ตรงหน้าก็ถอยห่างไปแล้ว เขาเอาเสื้อคลุมๆที่บนตัวเธอ แค่ติดกระดุมให้เม็ดเดียวก็ถอยห่างแล้ว จากนั้นก็พูดเสียงทุ้มต่ำ: “ที่เหลือก็ติดเอาเอง”
เสี่ยวเหยียนมองเขาอย่างเบลอๆทีหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้ามองเสื้อคลุมที่ติดกระดุมไปแค่เม็ดเดียว
เสื้อคลุมบนตัวยังมีความอุณหภูมิของหานชิงหลงเหลืออยู่ เดิมทีร่างกายเธอก็หนาวจนใกล้จะสูญเสียการรับรู้แล้ว แต่ตอนที่เสื้อคลุมของเขาปกคลุมลงมา เสี่ยวเหยียนกลับรู้สึกอบอุ่นมากเป็นพิเศษ
ความอบอุ่นนี้ต่างจากความอบอุ่นที่ผ่านมา
ความอบอุ่นนี้ส่งผ่านมาที่หัวใจโดยตรง จากนั้นก็กระจายไปที่แขนขา แม้กระทั่งเป็นความอบอุ่นที่ทำให้ทั่วร่างกายของเธอเต็มไปด้วยพลัง
เธอไม่ได้เชื่อฟังคำพูดของเขาไปติดกระดุม แต่ว่าได้เงยหน้ามองไปทางหานชิง
หานชิงกลับดึงสายตากลับก่อนที่เธอมองมา และก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
หลังจากเสี่ยวเหยียนอึ้งไปหลายวิ ถึงได้ตามฝีเท้าเขาไปอย่างไว
“เอ่อคือ……….”
ฝีเท้าของเขาได้กลับคืนสู่ความเร็วปกติ เสี่ยวเหยียนต้องวิ่งเล็กน้อยถึงจะตามเขาทัน เธอวิ่งไปด้วยและพูดกับหานชิงอย่างกระหืดกระหอบไปด้วย: “พวกเรากลับกันเถอะค่ะ”
ฝีเท้าของหานชิงไม่ได้เปลี่ยนแปลง
แม้กระทั่งไม่ได้ตอบคำถามเธอด้วย
“อากาศหนาวจริงๆ เรากลับไปตอนนี้เถอะ อย่าเดินอีกเลยค่ะ”
เสี่ยวเหยียนเห็นเขาไม่ฟัง จึงได้ยื่นมือดึงเสื้อสเวตเตอร์ของเขา
หานชิงหยุดลงมา และหันมาจ้องมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แววตานี้ทำให้เสี่ยวเหยียนหลุบตาลงอย่างไม่รู้ตัว เธอพูดอย่างแข็งกระด้าง: “จริงๆนะ คุณฟังฉันเถอะ……ฉันกลัวคุณจะ……….”
“เมื่อกี๊ให้คุณกลับ ทำไมไม่กลับ?”
“……”
ก็ไม่ใช่เพื่ออยากรักษาโอกาสและเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองหรอกหรือ เพราะถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ โอกาสครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะเมื่อไหร่แล้ว
โอกาสที่ยากจะมี อีกทั้งยังวางอยู่ตรงหน้าแล้วด้วย ถ้าเธอไม่พยายามไขว่คว้าเอาไว้ งั้นเธอก็คือคนโง่แล้ว
เพียงแต่ เธออยากได้ของบางอย่าง ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องสูญเสียของบางอย่าง นี่เป็นวัฏจักรของสาเหตุ ดังนั้นเธอจึงไม่แคร์เลยด้วยซ้ำ
เห็นเธอไม่พูด หานชิงเม้มปาก จากนั้นถึงพูดว่า: “ถ้าคุณเหนื่อยก็กลับไปก่อนเลย ผมไปซื้อเอง”
พูดจบ เขาก็เดินไปข้างหน้าต่อ
เสี่ยวเหยียนหมดหนทาง เกลี้ยกล่อมเขาไม่สำเร็จ ได้แต่เดินตามเขาไป
ท่ามกลางสายลมหนาว เงาของหานชิงก็เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่สูงตรง ไม่กลัวความเหน็บหนาว ให้ความรู้สึกที่น่าพึ่งพามากแก่คน
ผู้ชายแบบนี้ เดินอยู่ข้างกายเขาก็ยังรู้สึกมีความปลอดภัยเลย
อีกอย่าง เขายังเป็นสุภาพบุรุษมากด้วย
ทั้งๆที่ไม่ชอบตัวเอง แต่กลับยังพยายามทำหน้าที่ถอดเสื้อคลุมลงมาให้เธอใส่ และตัวเองก็ยอมทนความหนาวเอง แค่อาศัยจุดนี้ ความรักที่เสี่ยวเหยียนมีต่อหานชิงยิ่งหลงเขาหัวปักหัวปำแล้ว
คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง
ก็ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดก็เห็นห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่งแล้ว เสี่ยวเหยียนเร่งฝีเท้าวิ่ง ดึงหานชิงเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
พอเข้าห้างปุ๊บ สายลมอบอุ่นก็ลอยมา ในที่สุดเสี่ยวเหยียนก็โล่งอกไปที
เยี่ยมไปเลย!
ในที่สุดหานชิงก็ไม่ต้องทนความเหน็บหนาวแล้ว!
ไม่นาน ทั้งคู่ก็หาเคาน์เตอร์ที่ขายเสื้อผ้าผู้ชายเจอ เห็นได้ชัดว่าหานชิงคุ้นเคยกับแบรนด์นี้มาก หลังจากเข้าไปก็ได้บอกไซส์ของตัวเองโดยตรง เพราะเสื้อผ้าที่เขาซื้อเป็นเสื้อผ้าผู้ชาย ดังนั้นเสี่ยวเหยียนจึงไม่ได้ตามเข้าไปด้วย แต่ได้ใส่เสื้อคลุมใหญ่ของเขาไว้และยืนรอที่หน้าร้านอย่างเชื่อฟัง
คงจะเป็นเพราะก่อนหน้านั้นเดินนานเกิน ดังนั้นตอนนี้จึงเหนื่อยแทบแย่ เสี่ยวเหยียนรู้สึกหนักหนังตา จึงอดไม่ได้ที่จะนั่งลงมา จากนั้นมือทั้งสองเท้าคางไว้ พยายามไม่ให้หนังตาตัวเองปิดลงมา
ผ่านไปห้านาที
บนตัวของหานชิงได้มีเสื้อคลุมสีเทาเข้มเพิ่มมาตัวหนึ่งแล้ว เขาหิ้วถุงเดินออกมา
เดิมทีฝีเท้าที่เดินตรงๆได้หยุดลงอย่างกะทันหัน หานชิงมองเสี่ยวเหยียนที่นั่งอยู่หน้าร้าน
เธอสวมเสื้อคลุมของตัวเองไว้ เพราะไซส์ไม่เข้ากัน ดังนั้นถึงได้คลุมอยู่บนตัวเธออย่างหละหลวม นาทีนี้เธอก็นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย ดูแล้วเหมือนเห็ดโคนเลย
หานชิงดูไปหลายวิถึงดึงสายตากลับ เม้มปากและเดินไปหาเธอ
พอได้ยินเสียง เสี่ยวเหยียนหันไปมองก็เห็นหานชิงออกมาแล้ว เธอลุกขึ้นเดินไปหาหานชิง ไปรับถุงที่อยู่บนมือของหานชิงอย่างกับหมารับใช้
“ฉันช่วยคุณถือค่ะ!”
ปฏิบัติกับคนที่ตัวเองชอบ ก็คือไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเหนื่อยแม้แต่น้อย!
ถึงหานชิงจะเป็นผู้ชาย ตัวเองจะเป็นผู้หญิง นั่นก็เหมือนกัน!
หานชิงย่อมไม่ให้เธอถือถุงอยู่แล้ว
ในขณะที่เสี่ยวเหยียนรู้สึกหดหู่ใจ ได้ยินเขาพูดว่า: “ไป ด้านหน้ามีร้านเสื้อผ้าผู้หญิง ไปซื้อเสื้อคลุมของคุณ”
“ห๊ะ อะไรนะ?”
เสี่ยวเหยียนเงยหน้าขึ้นมาอย่างอึ้ง: “บนตัวฉันมีตัวหนึ่งแล้วไม่ใช่หรอคะ?”
“ซื้อเสร็จแล้วคืนให้ผม”
เสี่ยวเหยียน: “……เพราะอะไรคะ? กลับไปค่อยคืนให้ไม่ได้หรอ? ฉันเอาเสื้อผ้ามาอยู่ ไม่ต้องซื้อแล้วค่ะ”
เพิ่งพูดจบ สายตาของหานชิงหล่นอยู่ที่บนใบหน้าเธอ
“มู่จื่อจะเข้าใจผิดได้”
ครึม——
คำพูดนี้เหมือนฟ้าผ่ามากลางสมองของเสี่ยวเหยียน เธอรู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินข่าวที่แย่มาก