บทที่950อย่าลืมทำคะแนนให้หม่ามี๊
เวลาพลบค่ำ นายท่านยู่ฉือมอบหมายให้หยูโปมา มาเชิญทุกคนไปทานอาหารค่ำที่บ้านตระกูลยู่ฉือ หยูโปอธิบายว่า: “เนื่องจากเมื่อคืนนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า เป็นเทศกาลสำคัญของพวกเรา เมื่อวานทุกคนไม่สามารถทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ฉะนั้นวันนี้นัดรวมตัวกันอีกทีก็เหมือนกัน”
ไปทานข้าวที่ตระกูลยู่ฉือ?
หานมู่จื่อลังเลเล็กน้อย
หยูโปยิ้มอ่อนๆ พร้อมอธิบายอย่างเสียงเบา: “นายท่านได้ส่งคนไปรับคุณหนูอานอานแล้วครับ”
หานมู่จื่อคิดในใจ: “ความหมายของคุณหยูคือ น้าตอบตกลงแล้วหรอคะ?”
เห็นฝ่ายตรงข้ามพยักหน้า หานมู่จื่อก็รู้ว่าตัวเองว่าไม่ไปไม่ได้แล้ว แต่ตอนนี้เสี่ยวเหยียนเมาอย่างนั้น เธอคงไปไม่ได้แน่ๆ ต้องมีคนอยู่ดูแลเธอถึงจะได้
เวลานี้เซียวซู่ออกมาจากห้องพอดี เขาขมวดคิ้วแล้วถาม:“เสี่ยวเหยียนผิดสังเกตนิดหน่อยครับ”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว ใบหน้าของหานมู่จื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วรีบเดินเข้าห้องไป เดินไปข้างๆของเสี่ยวเหยียน
“เกิดอะไรขึ้น?”
เซียวซู่เดินมา “เดิมทีผมนึกว่าเธอแค่เมา ใครจะรู้ว่าเมื่อกี้เอาแต่พูดจาเหลวไหล จากนั้นก็เริ่มมีเหงื่อออก เมื่อกี๊ผมลองเอามือแตะที่หน้าผากของเธอ เหมือนจะเป็นไข้ครับ”
เป็นไข้….……
“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเป็นไข้ได้ล่ะ? แล้วก็ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมตอนที่เธอกลับมาพร้อมนาย ถึงได้เมาเละเทะขนาดนี้?”
เซียวซู่: “……คุณนายน้อยครับ ตอนผมเจอเธอ เธอก็เดินอยู่บนถนนคนเดียวแล้ว ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นไม่พอ ทั้งยังร้องไห้ด้วย ผมรู้สึกว่าอาการไม่ดีแน่ๆ ดังนั้นเลยพาเธอไปทานข้าว ต่อมา……เธอบอกอยากดื่มเหล้านิดหน่อย ผมห้ามเธอไม่อยู่”
ฟังที่เซียวซู่พูดแล้ว หานมู่จื่อขมวดคิ้วขึ้นมา ตอนที่ออกไปก็ออกไปพร้อมหานชิงนี่น่ะ แต่ตอนที่เซียวซู่เจอเธอถึงได้อยู่ตัวคนเดียว อีกอย่างตามที่หานชิงบรรยายมานั้น ต้องเป็นหานชิงที่ทำอะไร หรือไม่ก็พูดทำร้ายจิตใจเสี่ยวเหยียนแน่ๆ
เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง……
เห็นเสี่ยวเหยียนเป็นแบบนี้แล้ว หานมู่จื่อก็เริ่มทรมานใจขึ้นมา เดิมทีเธอคิดว่านี่เป็นโอกาสดีอีกครั้งที่เสี่ยวเหยียนจะได้อยู่กับหานชิงสองต่อสอง ไม่คิดว่าจะทำร้ายจิตใจเสี่ยวเหยียนได้ถึงขนาดนี้
หรือว่า เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ฝืนใจจริงๆแล้ว?
คิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่พยักหน้าให้เซียวซู่ เพื่อแสดงว่าตัวเองรู้เรื่องนี้แล้ว
เซียวซู่สังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของเธอ คิดไปคิดมารู้สึกว่าหานมู่จื่อก็คงรู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้แล้ว เพราะเธอเป็นกับเสี่ยวเหยียนสนิทกันขนาดนี้ หลายปีมานี้อยู่ด้วยกันมาโดยตลอด เป็นไปได้ยังไงที่จะไม่รู้ว่าเสี่ยวเหยียนคิดอะไรอยู่
ดูเหมือนว่าเขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อแล้ว
“ลดไขให้เธอก่อนเถอะ นายเฝ้าดูแลเธอมานานพอสมควรแล้ว ให้ฉันดูแลเธอต่อละกัน”
เซียวซู่มองไปที่เสี่ยวเหยียน ไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องไป
หลังจากเซียวซู่เดินออกไป หานมู่จื่อก็ได้ทำการลดไข้ให้เสี่ยวเหยียน ผ่านไปครึ่งทางเธอนึกขึ้นได้ว่าคุณหยูยังรอเธออยู่ที่ห้องรับแขก เธอเดินไปอธิบายว่า: “ขอโทษด้วยนะคะ คุณหยู เดิมทีหนูก็กะว่าจะไปอยู่ แต่ตอนนี้เสี่ยวเหยียนเป็นไข้ ถ้าพวกเราไป กลัวว่าจะไม่มีคนดูแลเธอ ดังนั้น……วันนี้หนูไม่ไปแล้วค่ะ”
หยูโปคิดไม่ถึงว่าจะไม่บังเอิญขนาดนี้ แต่ด้วยความเข้าใจก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ก็มองไปที่คนอื่นๆ
“งั้นคุณชายเซินกับคุณชายน้อยล่ะครับ?”
หานมู่จื่อคิดไปคิดมา จู่ๆก็ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูด: “ให้เสี่ยวหมี่โต้วกับโม่เซินไปเถอะค่ะ”
ยู่ฉือจินคนนี้ จุดประสงค์หลักที่เชิญพวกเธอทานข้าวนั้น ก็แค่อยากเห็นเสี่ยวหมี่โต้วเท่านั้นแหละ
ดูท่าทางของเขาที่มาวันนี้ก็เพื่อมาพบเหลนของตัวเอง แต่เสียดายไม่ได้ดั่งที่หวังไว้ หลังจากที่ยู่ฉือจินกลับไปคงจะทรมานจนคันยิบๆที่หัวใจแน่
เพราะยังไงเมื่อคืนเพิ่งจะเจอกับเหลนสุดที่รักของตัวเองนั้น ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกันมากเลย เขาก็สลบไปซะก่อน
ส่วนตัวเอง? ถ้าไม่สามารถไปได้ เขาคงดีใจอย่างแน่นอน
คุณหยูมองหานมู่จื่อที่ตรงไปตรงมา กลับลูบจมูกตัวเองด้วยความอึดอัด แล้วพูดว่า: “คุณนายน้อยครับ ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้นายท่านค่อนข้างจะยอมรับได้มากแล้ว ถ้าตามที่ผมรู้จักเขามาหลายปีขนาดนี้ ถึงเดิมทีเขาไม่ยอมรับก็ตาม แต่ตอนนี้เขาก็ยอมรับหลานสะใภ้คนนี้แล้ว แค่ตอนนี้เขาไม่ยังทิ้งหน้าไม่ลง ดังนั้น……”
หานมู่จื่อยิ้มอ่อนๆ: “คุณหยูไม่ต้องพูดอะไรมากแล้วค่ะ ทั้งหมดนี้หนูทราบดี”
คุณหยูพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ใช่สิ ดูจากท่าทีที่คุณนายน้อยมีต่อนายท่านก็ดูออกแล้ว ถึงแม้ท่าทีของนายท่านจะแย่มาก แต่คุณนายน้อยก็ยังคงเคารพเขามากอีกเช่นเคย
ดูจากการอบรมทางด้านศีลธรรมแล้ว จุดนี้คุณนายน้อยดูมีคุณค่ามากแล้ว
“แต่ว่า หนูตัดสินใจแทนพวกเขาไม่ได้ว่าจะอยู่หรือไป อันนี้ต้องให้คุณหยูไปถามด้วยตัวเองแล้ว ถ้าพวกเขาไม่อยากไป อันนี้หนูก็ไม่สามารถไปบังคับสองพ่อลูกนั้นไปได้ค่ะ”
หยูโปรีบพยักหน้า: “ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นผมลองไปถามดูครับ”
“ค่ะ”
สุดท้ายหานมู่จื่อหันหลังเดินเข้าห้องไปดูแลเสี่ยวเหยียนต่อ ผ่านไปสักพัก เสี่ยวหมี่โต้วได้มาหาเธอ
“หม่ามี๊ไม่ไปบ้านคุณทวดกับเสี่ยวหมี่โต้วหรอครับ?”
หลังจากเสี่ยวหมี่โต้วเข้ามาก็ถามคำถามนี้เป็นอันดับแรก หลังจากถามเสร็จถึงสังเกตเห็นเสี่ยวเหยียนที่นอนอยู่บนเตียงสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาส่งเสียงแปลกใจและถามว่า: “หม่ามี๊ น้าเสี่ยวเหยียนเป็นอะไรครับ?”
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็คิดว่าเสียวเหยียนแค่เมา ดังนั้นจึงรู้สึกว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร
แต่ว่าตอนนี้……
หลังจากหานมู่จื่อเปลี่ยนผ้าขนหนูเปียกผืนใหม่ให้เธอเสร็จแล้วพูดว่า: “น้าเสี่ยวเหยียนของลูกตัวร้อนเป็นไข้ เนื้อตัวไม่ค่อยสบาย หม่ามี๊ไปไม่ได้ครับ”
เสี่ยวหมี่โต้ว:“……”
“ก็เลยไปบ้านคุณทวดกับลูกไม่ได้ ถ้าลูกจะไป ก็ไปพร้อมกับแดดดี๊นะ”
ได้ยินคำนี้แล้ว เสี่ยวหมี่โต้วกลับขมวดจมูกตัวเอง:“แต่ว่าแดดดี๊ปฏิเสธไปแล้วครับ”
หานมู่จื่อหยุดชะงักกับการกระทำ:“ปฏิเสธไปแล้ว?”
จุดนี้……น่าแปลกใจจริงๆ
แต่พอคิดๆดูแล้วก็ปกติดี เขาไม่อยากเห็นยู่ฉือจินก็สมเหตุสมผลแล้ว
“แล้วลูกจะทำยังไง? อยากไปเจอคุณทวดของลูกไหม? ถ้าอยากไป ให้ลุงหยูพาลูกไปก็ได้ พอค่ำๆให้แดดดี๊ไปรับกลับบ้าน”
เสี่ยวหมี่โต้วคิดอย่างจริงจังต่อหน้าเธอ: “งั้นเสี่ยวหมี่โต้วไปเถอะ คุณทวดอยู่บ้านคนเดียวก็คงเหงา งั้นก็ต้องรบกวนหม่ามี๊ดูแลน้าเสี่ยวเหยียนแล้วครับ~”
“โอเค” ฟังถึงตรงนี้ หานมู่จื่อเผยรอยยิ้มออกมา เอื้อมมือหยิกแก้มอันอ่อนโยนของเสี่ยวหมี่โต้ว: “เสี่ยวหมี่โต้วเด็กดี งั้นไปอยู่เป็นเพื่อนคุณทวดเถอะ อย่าลืมทำคะแนนให้หม่ามี๊นะ ถ้าทำได้คะแนนเต็ม ถึงตอนนั้นพวกเราก็สามารถนั่งทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุขแล้ว”
ถึงเวลานั้น ขอแค่ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขชื่นมื่น ทุกวันก็จะสามารถเป็นวันรวมญาติแล้ว
แล้วทำไมต้องแคร์แค่เทศกาลวันสองวันนี้ล่ะ?
เสี่ยวหมี่โต้วฟังแล้ว พยักหัวอย่างจริงจัง
“หม่ามี๊วางใจเถอะครับ เสี่ยวหมี่โต้วจะช่วยหม่ามี๊ทำคะแนนให้เต็มร้อยเลย!”
เอ่อ
หานมู่จื่อครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ความสามารถในการสะกดจิตของเสี่ยวหมี่โต้วนี่ดูถูกไม่ได้จริงๆ
ถึงแม้เจ้าตัวแสบยังเด็ก แต่ความคิดกลับทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งยังฉลาดแกมโกง
แม้ชีวิตนี้หานมู่จื่อจะไม่มีโชควาสนาอะไรก็ตาม แต่การมีชีวิตอยู่ของเสี่ยวหมี่โต้วนั้นก็เกินวาสนาแล้ว
จะพูดว่า โชคนั้นเป็นเสี่ยวหมี่โต้วก็ว่าได้