บทที่ 965 คนโหดเหี้ยม
เซียวซู่ยังไม่กลับมา
เย่โม่เซินแอบเดาอยู่ในใจ แต่เขายังไม่แน่ใจ เขาอยากโทรถามเซียวซู่ว่าสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ทว่ากลัวเรื่องจะแตก คิดไปคิดมาเขาก็รอต่ออีกห้านาที เซียวซู่ก็ยังไม่กลับมา
ดังนั้นเย่โม่เซินจึงหยิบกุญแจรถแล้วออกมา
วันนี้เป็นวันที่หกแล้ว
เขาไม่ได้เจอหน้าผู้หญิงของตัวเองมาหกวันแล้ว
เขาขมขื่นใจ แต่ในความเป็นจริงก็ยังต้องโหดร้าย สองสามวันมานี่เขาลองมาหลายครั้ง ไม่ว่าเขาจะอยู่ในน้ำนานแค่ไหน จิตใจของเขาได้รับความทรมานเป็นอย่างมาก แต่กลับใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
นอกจากเห็นคนที่เคยเจอแต่ก่อนและความทรงจำอีกเล็กน้อย ก็ไม่มีแนวโน้มที่ความทรงจำของเขาจะกลับมาเลย
หากมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย แม้ว่ามันจะน้อย เย่โม่เซินก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนะ
เมื่อถึงมาถึง เจสัน เห็นเย่โม่เซินมา สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“วันนี้ก็จะลองต่อเหรอ”
เขาถามอย่างระมัดระวัง นี่มันก็หลายวันแล้ว ที่เย่โม่เซินมาทุกวัน สีหน้าของเขาดูไม่ดีขึ้นทุกวัน เจสันกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป
แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้ว นอกจากสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีนัก นอกนั้นก็เหมือนคนปกติทุกอย่าง
อีกทั้งทุกครั้งที่เขาพูดกับตัวเองว่าจะเริ่มแล้ว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่อยากจะฟื้นความจำของตัวเอง จนทำให้เจสันไม่กล้าพูดปฏิเสธ
“ไม่”
แต่ทว่าวันนี้เจสันได้ยินคำตอบที่แปลกไปจากปากของเย่โม่เซิน โดยปกติเขามักจะมีสีหน้าเย็นชาและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่าลองต่อ
เจสันไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้เพียงช่วยเขา
วันนี้คำว่าไม่ออกมาจากปากเขา เจสันคิดว่าเขาคงคิดได้แล้ว ความดีใจเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “โม่เซิน ในที่สุดนายก็คิดได้แล้ว ฉันเคยบอกนายแล้วว่าให้ลองแค่วันเดียว หยุดพักสักสองสามวัน แบบนี้ร่างกายและจิตใจของนายจะได้ไม่ต้องแบกรับอะไรมากจนเกินไป อัตราที่จะเกิดความเสี่ยงก็ต่ำลงไปด้วย นายดึงดันจะทำตามใจตนเองโดยไม่รับฟังข้อเสนอของผู้อื่น ฉันต้องมองดูนายด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้นายคิดได้แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี งั้นนาย…”
เย่โม่เซินขมวดคิ้ว สีหน้าดูไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความอดทนพอที่จะรอให้เจสันพูดต่อไป เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา
“ว่างไหม”
“ห๊ะ?” เจสันหยุดพูดแล้วมองเขาด้วยท่าทางสงสัย
เย่โม่เซินหรี่ตาลง “ฉันรอไม่ได้แล้ว ถ้ายังยื้อต่อไปก็เสียเวลาเปล่าๆ”
“แล้วยังไง” เจสันถาม
มองเย่โม่เซินที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆ เจสัน ก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี
เมื่อครู่เขานึกว่าเย่โม่เซินจะคิดได้แล้ว แต่เมื่อคิดไปคิดมาก็รู้สึกผิดปกติ ถ้าวันนี้เย่โม่เซินไม่ลองทำต่อ ก็คงไม่มาที่นี่
แต่เขามาที่นี่ จากที่รู้จักกันมา เจสันคิดว่าการที่เขามาที่นี่ต้องมีอะไรแน่ๆ
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ค่อนข้างน่ากลัว เจสันกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดระแวง
“นายคงไม่ได้กำลังคิด…”
เย่โม่เซินเห็นสีหน้าหวาดกลัวของเจสัน ก็ยิ้มออกมา “นายนี่ฉลาดจริงๆ สมแล้วที่เคยเป็นเพื่อนรักของฉัน”
เจสันพูดอะไรไม่ออก
นี่เป็นครั้งแรกในสัปดาห์ที่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเย่โม่เซิน แม้มันจะนิ่งๆ แต่ก็ถือว่าเขายิ้มแล้ว แต่เจสันไม่คิดว่าจะเห็นรอยยิ้มของเขาในสถานการณ์แบบนี้
เขาคิดว่ารอยยิ้มนั้นไม่ได้เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย กลับกันมันทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง หนาวจนไปถึงขั้วหัวใจ
“โม่เซิน นายฟังฉันนะ การรื้อฟื้นความจำน่ะมันจะรักษาแบบเร่งด่วนแล้วเห็นผลทันทีไม่ได้หรอกนะ ถ้ามันกลับตาลปัตรขึ้นมาจะทำยังไง”
เย่โม่เซินเหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“หกวันก่อน นายก็พูดแบบนี้”
“.…..” เจสัน
ประโยคเดียวทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังออกมาว่า “ที่นายพูดก็ไม่ผิด ตอนนั้นฉันพูดแบบนั้นจริงๆ แต่ความคิดของนายตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกันนิ ฉันจะบอกนายด้วยความสัตย์จริงไม่ได้พูดเกินจริง นายอยากจิตใจแตกสลายเหรอ”
พูดจบเจสันก็ใช้โอกาสนี้พูดต่อ โดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้พูด
“นายดูสิ นายก็รู้ว่าช่วงนี้สีหน้าของนายแย่แค่ไหน ไม่งั้นนายคงไม่เอาแต่หลบอยู่ในโรงแรมทุกวัน ไม่กล้ากลับบ้านไปเจอใคร ฉันจะแยกแยะให้นายฟังนะ การที่นายทำแบบนี้ก็เพราะคนในครอบครัวไม่ใช่เหรอ แต่ถ้าครั้งนี้มันเกิดอะไรขึ้น แล้วจากนี้นายจะสู้หน้าคนในครอบครัวของนายยังไง นายจะให้คนอื่นคิดยังไง”
เย่โม่เซินเม้มปากไม่พูดอะไร
เจสันไม่รู้ว่าเขาจะฟังคำพูดของตัวเองหรือเปล่า สีหน้าเขาตึงเครียด
“นายกลับไปคิดให้ดี การที่ฉันพูดครั้งนี้ไม่ได้อยากทำให้นายตกใจ อีกอย่างถ้านายอยากทำแบบนี้ ฉันก็ไม่ช่วยนายหรอก”
ได้ยินดังนั้น เย่โม่เซินเงยหน้าขึ้นแล้วพูดออกมาว่า
“เหรอ”
เจสันพยักหน้าหงึกๆ
“ใช่ เพราะงั้นฉันเลยบอกให้นายกลับไปพักผ่อนไง เรื่องแบบนี้มันรีบร้อนไม่ได้”
เย่โม่เซินยิ้มนิ่งๆ “ได้ งั้นฉันทำเอง”
พูดจบ เย่โม่เซินหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไปอย่างใจเย็น ในขณะที่เจสันยังมีสีหน้าประหลาดใจ
เมื่อกี้เขายังใจเย็นอยู่ แต่เมื่อได้ยินที่เย่โม่เซินพูดเขากลับใจเย็นไม่ได้แล้ว วันนี้เย่โม่เซินมาคนเดียว เพราะฉะนั้นเจสันจึงพูดรุนแรงกับเขาด้วยการบอกว่าจะไม่ช่วย
เขาคิดว่าเย่โม่เซินคงจะไม่ทำอะไรอันตราย
ใครจะไปรู้ว่าเขาจะกล้าทำ
งั้นตอนนี้เขาจะไปไหน
เจสันรีบเดินตามเขาไปแล้วพูดไล่หลังด้วยความร้อนใจ “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ นายจะทำเอง นายจะไปไหน ฉันจะบอกนายให้นะ นายอย่าทำเรื่องโง่ๆ นะ ไม่อยากมีชีวิตบนโลกแล้วเหรอ ก็แค่ความทรงจำหายไปบางส่วน นายต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
เจสันรู้สึกว่าตัวเองโดนเพื่อนคนนี้บีบบังคับจนจะบ้าแล้ว
แต่ก่อนเขารู้ว่าเย่โม่เซินเป็นคนโหดเหี้ยม ทว่าในความโหดเหี้ยมก็มีการวางแผนมีหลักการ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะโหดเหี้ยมกับตัวเองจนกลายเป็นแบบนี้
และไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร เย่โม่เซินก็ไม่สนใจเขา ชายหนุ่มเดินออกจากประตูแล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ เจสันเป็นห่วงเขา จึงตามเขาไปตลอด
ต่อมาเย่โม่เซินเตรียมจะขับรถออกไป เจสันจึงหาโอกาสเปิดประตูรถแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งในรถ
เย่โม่เซินขมวดคิ้ว “ไม่ช่วยฉันไม่ใช่เหรอ”
เจสันส่งเสียงหึออกมา “ฉันไม่อยากช่วยนาย แล้วนายจะมาหาฉันทำไม แถมยังมาบอกว่านายจะทำเอง ฉันเหมือนคนที่จะส่งนายไปตายอย่างไร้เยื่อใยแบบนั้นเหรอ”
ไม่มีใครช่วยเขา ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมามันก็จะยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่
ถ้าเกิดมีคนช่วยดูแล ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาก็ยังมีคนเข้าไปช่วยเขา
เมื่อคิดได้ดังนั้น เจสันจึงถอนหายใจออกมา “ชาติก่อนฉันคงทำกรรมมากับนาย ความจำของนายกลับมาเมื่อไรก็รีบไสหัวกลับไปเลยนะ ไม่ต้องอยู่ที่นี่อีก ฉันจะได้ไม่ต้องมาหงุดหงิดกับนายทุกวัน ”
หลังจากนั้น เจสันจึงใช้โอกาสตอนที่เย่โม่เซินกำลังขับรถ เปิดวีแชทแล้วส่งโลเคชั่นไปให้เซียวซู่