บทที่ 970 คุณพูดแล้วนะ
สรุปแล้วเมื่อเย่โม่เซินเห็นน้ำตาของเธอก็รู้ว่าครั้งนี้ตัวเองทำผิด
เขาทำได้เพียงกอดปลอบและพูดขอโทษเธอไม่หยุด
ในห้องไม่มีคนอื่น เสียงที่ดังออกมามีเพียงเสียงขอโทษของเย่โม่เซิน มันอ่อนโยนราวกับกลัวว่าจะทำให้มู่จื่อตกใจอย่างไรอย่างนั้น แถมยังมีเสียงสะอื้นออกมาเล็กน้อย
เย่โม่เซินปลอบเธออยู่นานแต่ก็ไม่สามารถปลอบเธอได้ เขาคิดในใจว่าจะเฉือนตัวเองก็ทำมาแล้ว
“ผมผิดเอง กลับไปผมจะเชื่อฟังคุณ คุณจะทำยังไงกับก็ได้”
อันที่จริงมู่จื่อไม่อยากร้อง แต่เพราะตอนนั้นอารมณ์มันพาไป เธอจึงควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วการที่เขายิ่งพูดก็ทำให้เธอทุกข์ใจ
เธอรู้สึกน้อยใจมาก
มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ตอนที่ไม่มีคนมาใส่ใจไม่มีคนมารัก เมื่อตัวเองได้รับบาดเจ็บก็ต้องกลับมาเลียแผลใจด้วยตัวเอง
ไม่งั้นก็จะร้องไห้และกลายเป็นคนอ่อนแอ
ตอนนี้เธอกำลังเป็นคนอ่อนแอ
ตอนที่ไม่ได้เจอเขา เธอยังใจเย็นและนิ่ง
แต่หลังจากที่เจอเขา เธอก็แตกสลายง่ายราวกับกระจกใส
มู่จื่อสูดหายใจลึก เธอจะไม่ร้องไห้แล้ว จู่ๆ เย่โม่เซินก็โน้มตัวลงมาจูบเธอ
มู่จื่อตกใจมาก เธอกำลังจะผลักเขาออกแต่ไม่ทันเสียแล้ว
ปากของเธอโดนประกบเอาไว้ น้ำตาไหลจากแก้มเข้าไปในปาก
ทำให้รสจูบนี้เปลี่ยนไป
หนึ่งวิ สองวิ
มู่จื่อตั้งสติได้ เธอยื่นมือออกไปจะดันเขาออก แต่ดันถูกเขาคว้ามือทั้งสองข้างเอาไว้แล้วดึงไปข้างหลัง เขากดจูบลงมาหนักขึ้น
“อื้อ”
ไม่รู้ว่าน้ำตาหยุดไหลตอนไหน น่าจะหยุดเพราะจูบอันรวดเร็วนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะเธอร้องไห้จนพอแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เย่โม่เซินจึงผละออกจากเธอ
เขาเอาหน้าผากทาบกับหน้าผากของเธอ แววตาลึกซึ้ง ปากบางซีดขยับช้าๆ “ขอโทษ ต่อจากนี้ผมจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ยกโทษให้ผมนะ”
มู่จื่อโดนเขาจูบจนทำให้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เธอจึงช้อนตาขึ้นมองเขา เห็นใต้ตาเขียวคล้ำ ดูก็รู้ว่าช่วงนี้ไม่ได้นอน
แถมใต้คางของเขามีหนวดขึ้นมาเต็มไปหมด สีหน้าก็แย่มาก
มองแวบเดียวก็รู้ว่าช่วงนี้เขาใช้ชีวิตได้แย่มาก
มู่จื่อขบริมฝีปาก “ถ้าต่อจากนี้ คุณทำเรื่องแบบนี้อีก ฉันจะไม่ให้อภัยคุณอีก แล้วฉันจะพาเสี่ยวหมี่โต้วกับลูกในท้องหนีไปไกลๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้นเย่โม่เซินรีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่อนุญาต!”
“ฉันแค่บอกว่าถ้า ถ้าต่อจากนี้คุณทำเรื่องแบบนี้อีก…”
“ไม่ทำแล้ว” เย่โม่เซินพูดตัดบท “ในเมื่อคุณไม่ชอบ ผมก็จะไม่ทำแล้ว”
พูดจบ เขามองมู่จื่อที่อยู่ตรงหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเขาไปจูบตรงมุมปากเธออีกครั้ง การกระทำเต็มไปด้วยความรัก
จูบตรงมุมปาก เขารู้สึกไม่พอใจ เขาจับหน้าของเธอแล้วจูบลงไปบนหน้าผากของเธอ ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ผมจะไม่ทำอีก ต่อจากนี้ผมจะเชื่อฟังคุณ”
อันที่จริงการที่ผู้ชายจูบหน้าผากของผู้หญิงเป็นเรื่องที่โรแมนติกมาก ก่อนหน้านี้เย่โม่เซินทำแบบนี้น้อยมาก คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะพูดขอโทษพลางจูบลงบนหน้าผากของเธอ
ใจของมู่จื่อหวั่นไหวไปหมด เธอยืนแทบจะไม่อยู่จนเอาแต่พิงอยู่ในอ้อมอกของเย่โม่เซิน
“คุณพูดแล้วนะ”
“อื้ม ผมพูดแล้ว”
มู่จื่อพิงอยู่ในอ้อมกอดของเขา เธอหลับตาลงแล้วแก้ปมแห่งความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันมาหนึ่งสัปดาห์
ผ่านไปนาน เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “คุณอยากฟื้นความทรงจำจริงๆ เหรอ”
เย่โม่เซินคิดอยู่ในใจว่าแน่นอนว่าเขาอยากฟื้นความทรงจำ ถ้าไม่อยากเขาจะมาทรมานแบบนี้ไปทำไม มู่จื่อไม่อยากให้เขาทำเรื่องแบบนี้
ตอนนี้เขาทำได้เพียงพูดว่า “อย่างที่คุณพูด สิ่งที่ผ่านไปแล้วมันไม่ได้สำคัญอะไร ความทรงจำจะกลับมาหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว”
มู่จื่อเงยหน้าขึ้น “ไม่สำคัญจริงเหรอ ฉันอยากจะบอกว่า ถ้าคุณอยากฟื้นความทรงจำจริงๆ บางทีฉันอาจจะช่วยคุณได้”
“หื้ม?”
เย่โม่เซินมองเธออย่างไม่เข้าใจ
มู่จื่อผละออกจากอ้อมกอดของเขา แล้วมองเขาไปในตาของเขาอย่างจริงจัง “กลับประเทศกับฉัน”
กลับประเทศ?
“ที่นั่นเป็นที่ที่เราผ่านอะไรมาด้วยกัน คุณกลับไปกับฉัน ฉันจะไปคุณไปสถานที่ที่เราเคยไปด้วยกัน ถนนที่เคยเดินผ่าน ทำสิ่งที่เคยทำด้วยกันเมื่อก่อน คงจะมีสักวันที่คุณจะนึกออกอย่างแน่นอน”
ก่อนหน้านี้เจสันเคยเสนอวิธีนี้ เย่โม่เซินคิดว่าวิธีนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
ในเมื่อสามารถอยู่ด้วยกันกับเธอเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ แถมยังได้รื้อฟื้นความทรงจำ ใครจะไม่อยากทำล่ะ
“โอเค”
เย่โม่เซินตอบด้วยความเด็ดขาด
มู่จื่อยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ราวกับไม่เชื่อว่าเย่โม่เซินจะตกลงเร็วขนาดนี้ เธอประหลาดใจเล็กน้อย “คุณยอมกลับไปกับฉันจริงเหรอ”
เธอแค่พูดเสนอออกไปเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะ…
“คุณตาของคุณอยู่ที่นี่…”
ฐานะของตระกูลยู่ฉือสูงส่งขนาดนั้น เขาอยู่ที่นี่คงจะก้าวหน้ากว่าการกลับไปที่ประเทศ อีกทั้งคุณตาของเขาอาจจะไม่ยอมให้เขากลับประเทศไปกับเธอ
“ปัจจัยภายนอกผมจัดการได้อยู่แล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
มู่จื่อยังคงลังเลเล็กน้อย “แต่ว่า…”
“เมื่อกี้ตอนบอกให้ผมกลับไปคุณยังมีท่าทีแน่วแน่อยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงลังเลขึ้นมาล่ะ”
“เพราะว่าฉันคิดไม่ถึงว่าคุณจะตกลงเร็วขนาดนี้ ฉันนึกว่าคุณจะไม่กลับไปกับฉัน”
เย่โม่เซินเงียบไป เขาขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วเม้มปากด้วยท่าทางจริงจัง
ที่แท้เธอกลัวขนาดนี้เชียวเหรอ
เธออาจจะไม่เชื่อบางสิ่งบางอย่างในตัวเขา จึงคิดว่าเขาจะไม่กลับไปกับเธอ
คิดได้เช่นนั้น เย่โม่เซินจับมือเธอแน่น สายตาของเขาลึกซึ้ง
“ไม่ต้องสงสัยและไม่ต้องกังวล คุณพูดอะไรผมจะฟังทุกอย่าง ครั้งนี้ผมไม่ได้ตั้งใจปิดบังคุณ ผมแค่กลัวคุณเป็นห่วง ไม่ได้มีความหมายอื่นเลย”
มู่จื่อรู้ว่าการที่เขาปิดบังเธอเพราะเขาไม่อยากให้เธอเป็นห่วง และกลัวว่าเธอจะห้ามเขา จึงทำเรื่องนั้นโดยไม่บอกใคร
เธอขมวดคิ้ว “ก่อนหน้านี้คุณไม่เห็นเป็นอะไร ทำไมจู่ๆ ถึงอยากรื้อฟื้นความทรงจำล่ะ”
เขารีบจนน่าสงสัย
เย่โม่เซินคิดถึงคำพูดของเสี่ยวหมี่โต้ว เหมือนมีดกรีดลงบนหัวใจของเขา
เรื่องพวกนี้ เย่โม่เซินไม่สามารถพูดกับมู่จื่อได้ เขาจึงทำได้เพียงปฏิเสธ
“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่คิดว่าการที่ความทรงจำของผมหายไป มันไม่ยุติธรรมกับคุณ”
ได้ยินดังนั้น มู่จื่ออดไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยสายตาตำหนิ
“ไม่ยุติธรรมอะไรกัน ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย คุณจะคิดมากอะไร คุณรู้ไหมว่าตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฉันคืออะไร”
อะไร?
“คุณไง” มู่จื่อยื่นมือไปจับแขนของเขา เธอขบริมฝีปากแล้วพูดช้าๆ ว่า “ตั้งแต่คุณเกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ ฉันหวังแค่ให้คุณอยู่เย็นเป็นสุข ก่อนหน้านี้ฉันหวังให้ความทรงจำของคุณกลับมา แต่ตอนนั้นมันเกิดขึ้นตอนที่คุณไม่ชอบฉัน ต่อมาเมื่อเราได้อยู่ด้วยกัน ฉันเพิ่งรู้ว่าไม่ว่าคุณจะจำได้หรือไม่ มันก็ไม่สำคัญอะไรขนาดนั้นอีกแล้ว”