บทที่971เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ไม่สำคัญจริงๆ
มีอะไรสำคัญกว่าคนสองคนอยู่ด้วยกัน และใจอยู่ด้วยกันล่ะ?
ไม่มี ล้วนไม่มีแล้ว
หานมู่จื่อยิ้มอ่อนๆ “ความทรงจำเป็นแค่ข้อเพิ่มเติม ถ้าคุณอยากฟื้นคืนความทรงจำจริงๆ งั้นฉันพาคุณกลับไป ฉันจะพาคุณไปที่ๆเมื่อก่อนเราเคยไปด้วยกันทุกวัน สักวันคุณต้องนึกขึ้นมาได้แน่นอนค่ะ”
“โอเคครับ”
*
เสี่ยวเหยียนและพวกไม่รู้รออยู่ที่ด้านนอกนานเท่าไหร่ ด้านในไม่มีความเคลื่อนไหวสักที พวกที่อยู่ด้านนอกนี้ต่างก็ยอมรับอยู่ในใจเงียบๆไว้ไม่พูดจา
ผ่านไปสักพัก เสี่ยวเหยียนจิ้มนิ้วของตัวเองด้วยความกังวล กัดริมฝีปากล่างมองดูทุกคน อยากพูดแต่ก็หยุดชะงักไว้
สุดท้าย ในที่สุดเธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดเสียงเบา: “เอ่อ……เขาสองคนอยู่ด้านในจะเกิดเรื่องอะไรรึเปล่า? พวกเรา…….จะเข้าไปดูมั้ยคะ?”
ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ทั้งคู่ก็ยังไม่ออกมาอีก เสี่ยวเหยียนรู้สึกเป็นห่วงจริงๆ
ทุกคนไม่ได้พูดจา เหมือนเอาแน่เอานอนไม่ได้ยังไงอย่างงั้น
เสี่ยวเหยียนได้พูดขึ้นอีก: “ยังไงซะตอนนี้มู่จื่อก็เป็นสตรีตั้งครรภ์ ฉันกลัวเธออารมณ์วู่วาม………”
เพิ่งพูดจบ หานชิงที่ยืนนิ่งไม่ขยับก็ได้ก้าวเท้าหันหลังเดินไปยังทิศทางของด้านในแล้ว
เสี่ยวเหยียน: “………”
เขาช่างเป็นห่วงน้องสาวของตัวเองจริงๆ
แต่ว่าเธอไม่หึงมู่จื่อหรอก แค่รู้สึกอิจฉาเฉยๆ
ถ้าความเป็นห่วงที่หานชิงมีให้มู่จื่อสามารถแบ่งให้เธอหนึ่งเปอร์เซ็นต์ เธอก็รู้สึกพึงพอใจมากๆแล้ว
ในขณะที่ผู้คนเตรียมตัวเข้าไป ด้านในกลับมีเสียงเท้าเดินก้องมา
เสี่ยวเหยียนหยุดฝีเท้า เห็นหานมู่จื่อกับเย่โม่เซินเดินออกมาด้วยกัน
สีหน้าของเย่โม่เซินดีกว่าก่อนหน้านั้นเยอะเลย นาทีนี้มือได้โอบอยู่ที่เอวของหานมู่จื่อ ความเยือกเย็นในแววตาจางหายไปไม่น้อย
เห็นทุกคนต่างก็รออยู่ที่นี่ ดูเหมือนยังมีทีท่าจะเดินเข้าไปด้านในด้วย หานมู่จื่อยิ้มให้พวกเขาอ่อนๆ พร้อมพูดเสียงเบา: “วันนี้ลำบากทุกคนแล้ว พวกเรากลับกันเถอะค่ะ”
ถึงแม้ใบหน้าเธอประดับด้วยรอยยิ้ม แต่ใครก็ดูออกว่าเบ้าตาเธอแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่ามีร่องรอยของการร้องไห้
ไม่เพียงเท่านี้ ริมฝีปากก็บวมเล็กน้อยด้วย………….
ผู้คนต่างก็ก้มหน้าก้มตาด้วยความเก้อเขิน นาทีนี้ก็รู้ดีแก่ใจแล้ว
มีพริบตาหนึ่งที่เสี่ยวเหยียนรู้สึกอึ้ง ไม่นึกเลยว่าเธอยังอยากพุ่งเข้าด้วยซ้ำ ยังดีที่ไม่ได้พุ่งเข้าไป
ถ้าหากเธออดทนไม่ไหวพุ่งเข้าไป งั้นไม่ไปขัดจังหวะเรื่องดีของพวกเขาหรอ?
จากนั้นทุกคนได้ขึ้นรถพร้อมกัน เพราะขับรถมาสองคัน แต่เย่โม่เซินกับหานมู่จื่อจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว
เซียวซู่เป็นผู้ช่วยของเย่โม่เซิน ย่อมต้องช่วยเย่โม่เซินขับรถอยู่แล้ว
หลังจากด้านหลังของรถฝั่งนี้นั่งลงมาสองคน ก็นั่งเพิ่มอีกสองคนไม่ได้แล้ว
ดังนั้นหานชิงกับเสี่ยวเหยียนจึงต้องนั่งรถอีกคัน
นี่ถือเป็นโอกาสดีมากสำหรับเสี่ยวเหยียน เธอเขยิบไปที่ด้านหลังของหานชิงอย่างกระโดดฝีเท้าถึงข้างรถ เตรียมขึ้นรถพร้อมกับเขา
เจสันที่อยู่ข้างๆเห็นภาพนี้แล้วหรี่ตาเล็กน้อย สายตามองไปทางเซียวซู่โดยที่ไม่รู้ตัว จู่ๆรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาในทันที
เซียวซู่ได้ขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับแล้ว แต่สายตาอดไม่ได้ที่จะมองไปนอกหน้าต่าง จ้องมองเสี่ยวเหยียนกับหานชิงที่ขึ้นรถของเจสันพร้อมกัน
เขาหลุบตาลง เก็บอารมณ์ที่แปรปรวนของสายตาไว้
จู่ๆเจสันนึกอะไรได้ เดินไปที่ข้างรถพร้อมยิ้มร้ายๆ โน้มตัวลงมาเอากุญแจรถโยนให้เซียวซู่
“เพื่อนรัก อย่าบอกว่าฉันไม่ช่วยนายล่ะ ไปเถอะ”
เซียวซู่รับกุญแจที่เขาโยนมา สายตาค่อนข้างประหลาดใจ
“ไปสิ ไขว่คว้าโอกาสไว้ดีๆ~”
ติ่งหูของเซียวซู่ร้อนผ่าวเล็กน้อย มองไปทางทั้งสองที่นั่งอยู่เบาะนั่งหลัง “คุณชายเย่ คุณนายน้อย…….”
เย่โม่เซินไม่อยากแสดงความคิดเห็น เขากอดหานมู่จื่อไว้คอยเล่นเส้นผมของเธอ หานมู่จื่อค่อนข้างอึดอัด เธอยิ้มแห้งๆแล้วพูด: “เซียวซู่ นายอยากไปก็ไปเถอะ”
“ชิ” เจสันที่โน้มตัวอยู่ขอบกระจกรถเห็นภาพนี้แล้ว ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาพร้อมพูดแขวะ: “ถ้าไม่ใช่เพื่อช่วยเพื่อนรัก ฉันไม่อยากขึ้นรถคันนี้มาดูคนรักสาดความหวานใส่เลยจริงๆ”
นี่ยังไม่ขึ้นรถก็ถูกโชว์ความหวานใส่ เดี๋ยวตอนที่ขับรถจะไม่แย่ไปกว่านี้หรอ?
เกรงว่าเขาคงต้องอ้วกเพราะความหวานของสองคนนี้แล้วมั้ง
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว เย่โม่เซินมองเขาอย่างเย็นชาทีนึง แววตานั้นแฝงด้วยความแหลมคม เห็นได้ชัดว่ายังจำเรื่องที่เขาไปฟ้องได้ จึงได้เอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา: “นายเดินกลับไปก็ได้นะ”
ชิๆๆ
เจสันส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เอาสายตาที่ขอความช่วยเหลือมองไปที่หานมู่จื่อ
“พี่สะใภ้ท่านนี้ ผมดูเขายังโทษที่ผมไปห้องพวกพี่สะใภ้อยู่เลย ดูท่าแล้ว……ใครบางคนรู้สึกเจ็บใจกับเรื่องที่วันนี้ทำไม่เสร็จนะ”
พอพูดจบ เย่โม่เซินยิ่งหรี่ตาขึ้นมาอย่างอันตราย แววตาแฝงด้วยความเฉียบคม: “นายพูดอะไร?”
ไม่นึกเลยว่าไอ้หมอนี่จะกล้ายุยงเขาต่อหน้ามู่จื่อ
หานมู่จื่อย่อมสามารถเข้าใจอารมณ์ของเย่โม่เซินอยู่แล้ว และรู้ด้วยว่าเพื่อนของเขาไม่ได้ตั้งใจยุยง แค่หยอกล้อพวกเขาเฉยๆ
เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่ได้โกรธ ยิ่งไม่ได้หาเรื่องเย่โม่เซิน แต่ได้พูดต่อด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
“ถึงจะเจ็บใจแล้วจะทำไม? เพราะยังไงเรื่องนี้ก็ถูกฉันรู้เข้าแล้ว ต่อไปเขาอยากทำอีกก็ทำไม่ได้แล้ว วันนี้ขอบคุณๆนะ ถ้าไม่ใช่คุณแชร์ตำแหน่งให้เซียวซู่ พวกเราก็ไม่หามาถึงที่นี่ ไม่ว่าจะยังไง เรื่องก็คลี่คลายแล้ว”
พอพูดจบ หานมู่จื่อยื่นมือไปหยิกเย่โม่เซิน
“ตอนนี้คุณยังไม่พึงพอใจอีก หรือคำพูดที่พูดอยู่ด้านในล้วนแต่หลอกฉันทั้งนั้น?”
เผชิญหน้ากับหานมู่จื่อ เย่โม่เซินรีบยอมจำนน: “เปล่า คำพูดของเมื่อกี๊พูดจากใจจริงแน่นอน แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อการที่ผมรู้สึกคนๆนี้ขวางหูขวางตา อีกอย่างเมื่อกี๊คุณไม่ได้ยินหรอ เขากำลังรังเกียจพวกเรา ให้เขาเดินกลับไปเป็นข้อเสนอที่ดีมาก”
พอพูดจบ เย่โม่เซินก็ได้ยื่นมือไปโอบเอวเธอไว้ เอาหน้ามุดลงไปที่ซอกคอของเธอ เหมือนเด็กคอยดมกลิ่นหอมเฉพาะตัวของเธอด้วยความโลภ
หวานแหววต่อหน้าคนนอก หานมู่จื่อรู้สึกก็ยังรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติมาก เธอตบมือของเย่โม่เซินทิ้ง แล้วใช้มือดันหน้าผากและผลักเขาออก “นั่งดีๆ”
เย่โม่เซินมองเธออย่างโลภไม่รู้จักพอ“ขึ้นรถเถอะ เตรียมตัวกลับไปแล้ว”
เจสันมองดูเย่โม่เซินที่พ่ายแพ้แล้วยิ้ม พร้อมเอ่ยปากพูด: “พี่สะใภ้นี่เห็นแก่ส่วนรวมจริงๆ ไม่เหมือนใครบางคน……….”
เขาถือกุญแจรถไว้แล้วเปิดประตูนั่งเข้าไปที่ฝั่งคนขับ สตาร์ทรถไปด้วยและถอนหายใจไปด้วย
“คิดไม่ถึงว่าคนที่โสดมานานตอนนี้ก็เป็นฝ่าเป็นฝังแล้ว นิสัยที่มองผู้หญิงเหมือนอสรพิษอย่างนาย ฉันยังนึกว่าชาตินี้นายจะไม่มีทางแต่งงาน ถึงจะแต่งงาน ก็คงจะเอาผู้ชายเป็นเมียเสียอีก?”
พอพูดจบ เจสันยังหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอย่างอารมณ์เบิกบาน
เย่โม่เซินหน้ามืดหน้าดำอย่างไม่ไว้หน้า “หุบปาก”
ความทรงจำที่ผ่านมาของเขาล้วนไม่มีแล้ว ถึงแม้เขาอยากรู้มากว่าที่ตัวเองที่ผ่านมาเป็นคนยังไง แต่ตอนนี้ได้ยินคำพูดของเจสัน รู้สึกว่าเขากำลังจงใจใส่ร้ายป้ายสีตัวเอง
เจสันมองหานมู่จื่อผ่านกระจกมองหลังทีนึง “พี่สะใภ้ เขาลืมอดีตไปแล้วไม่รู้เรื่อง แต่พี่สะใภ้น่าจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งอยู่มั้ง?”
พอพูดจบ หานมู่จื่ออึ้ง นึกถึงตอนที่เธอเพิ่งแต่งเข้าตระกูลเย่ใหม่ๆ ตอนนั้นเธอสามารถบอกได้ว่าใช้ชีวิตอยู่ในน้ำลึกไฟร้อน ตอนนี้นึกคิดแล้วยังทอดถอนใจอย่างที่สุดเลย
ตอนนี้เธอกับเย่โม่เซินเกิดความเข้าใจอันใหญ่หลวง มันช่าง……..
คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอคล้อยตามด้วยรอยยิ้ม: “ใช่ เข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆ”