บทที่972ช่างน่าขำสิ้นดี
เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
เย่โม่เซินได้ยินคำนี้แล้ว ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว สายตาที่มองหานมู่จื่อมีอารมณ์ที่แปลกประหลาดเพิ่มขึ้น
เจสันบอกเมื่อก่อนเขาเห็นผู้หญิงเป็นอสรพิษ เธอบอกว่าตัวเองเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หรือว่าเมื่อก่อนตัวเองทำกับเธอ……….
ใช่แล้ว เย่โม่เซินนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่เสี่ยวหมี่โต้วพูดกับเขา
เขาบอกว่าเขาไม่ดีกับหม่ามี๊ของเขาเลย แถมยังถึงขั้นเลวมากด้วย
ดูแล้ว เมื่อก่อนเขาทำเรื่องที่ทำร้ายหานมู่จื่อไว้เยอะมากจริงๆ
คิดถึงตรงนี้แล้ว เย่โม่เซินมือกำเป็นหมัด หัวเราะเยาะอยู่ในใจ คงจะหัวเราะตัวเขาเอง
“เอาล่ะ เรื่องพวกนี้ก็ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ไม่สำคัญแล้วค่ะ”
ไม่สำคัญหรอ?
เย่โม่เซินจ้องใบหน้าด้านข้างของหายนมู่จื่อไว้ เม้มริมฝีปากบางและไม่พูดจา
ในรถอีกคัน
เสี่ยวเหยียนขึ้นรถตามหานชิง แต่ก็ไม่กล้านั่งเบาะนั่งหลังกับเขาอย่างโจ่งแจ้งและใจกล้าเกินไป ดังนั้นได้แต่เข้าไปนั่งที่ข้างคนขับอย่างอ้อมๆ
สำหรับเธอแล้ว สามารถนั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน เธอก็พึงพอใจมากแล้ว
เพียงแต่ คนที่เดินมาทางพวกเขากลับคือเซียวซู่ เซียวซู่ถือกุญแจรถเดินมานั่งฝั่งคนขับ เห็นเสี่ยวเหยียนที่นั่งอยู่ข้างคนขับแล้วอึ้งไปครู่นึง จากนั้นก็ใช้หางตามองหานชิงด้วยสีหน้าแววตาเรียบเฉย
หานชิงนั่งอยู่ที่นั่น สีหน้าก็ยังเรียบเฉยอีกเช่นเคย
เห็นเซียวซู่มา เขารู้สึกค่อนข้างแปลกใจ แต่ว่านึกถึงกิริยาท่าทางของเขาในช่วงนี้ ในใจก็พอเดาอะไรได้บ้างแล้ว
“นายมาได้ยังไง?” เสี่ยวเหยียนเห็นเซียวซู่ สีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ กระพริบตาถามด้วยความแปลกใจ
เซียวซู่พูดโกหกอย่างสีหน้าไม่เปลี่ยน: “เจสันมีเรื่องจะคุยกับคุณชายเย่ ดังนั้นก็เลยให้ผมมาครับ”
“อ๋อ คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังจะกล้านั่งรถคันนั้น เขาเพิ่งจะฟ้องเรื่องของคุณชายเย่ไป หน้าตาที่น่ากลัวของคุณชายเย่นั้น ฉันยังนึกว่าอย่างน้อยเขาจะต้องหลบไปไกลๆเสียอีก”
เสี่ยวเหยียนเอามือเท้าคางครุ่นคิดไปรอบนึงถึงเอ่ยปากพูด ไม่พบพิรุธอย่างอื่นเลยด้วยซ้ำ
เซียวซู่มองเธอที่เป็นแบบนี้ คิดในใจว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ทั้งคู่จะได้ไม่รู้สึกอึดอัด
รถกำลังเตรียมสตาร์ท จู่ๆหานชิงกลับเอ่ยปากพูดด้วยเสียงเรียบเฉย: “ฉันมีเรื่องจะคุยกับมู่จื่อ”
พูดจบ เขาก็เปิดประตูลงจากรถเลย
เสี่ยวเหยียนที่เห็นเขาลงจากรถ สีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที มองดูตรงหน้าเขาก็ผลักประตูรถแล้ว เธอก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยจิตใต้สำนึก
หลังจากหานชิงลงจากรถ เสี่ยวเหยียนก็ยืนอยู่ที่นอกรถตามด้วย มองดูเขาด้วยความตื่นเต้น
เซียวซู่ที่เห็นภาพนี้รู้สึกเจ็บแปล๊บๆที่หัวใจ เขานั่งอยู่ที่ฝั่งคนขับโดยที่ไม่ขยับ มองทั้งสองผ่านกระจกรถ
“มีเรื่องอะไรคุยเดี๋ยวกลับไปค่อยคุยสิคะ ตอนนี้มู่จื่อคงมีเรื่องมากมายที่อยากจะคุยกับคุณชายเย่แน่นอน ถ้าคุณไป…….จะไปรบกวนพวกเขาหรือเปล่าคะ?”
หานชิงมองเธออย่างเย็นชา และพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น: “น่าจะไม่ ในรถยังมีคนอื่นอยู่”
เสี่ยวเหยียน: “……..”
เธอกัดริมฝีปากล่างไว้อย่างกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมรั้งหานชิงยังไง ทั้งๆที่เมื่อกี๊เขานั่งเข้าไปในรถแล้วทำไมอยู่ๆก็จะไปแล้วล่ะ? แต่เธอก็พูดเหตุผลอย่างอื่นเกลี้ยกล่อมรั้งหานชิงไม่ออก
อีกอย่างตอนนี้ถึงเธอไปพร้อมเขา รถอีกคันก็คงไม่พอนั่งแล้ว
ฝืนใจเบียดๆกันหน่อยยังพอได้ แต่เธอเบียดกับหานมู่จื่อที่ด้านหลังก็คงไม่ดีมั้ง? ถ้าอย่างนั้น……….คาดว่าแววตาของคุณชายเย่สามารถฆ่าเธอตายได้แน่ๆ
ในขณะที่เสี่ยวเหยียนกำลังลังเลอยู่ หานชิงก็ได้เดินไปข้างหน้าแล้ว เธอร้อนรนใจจนใกล้จะดึงชายเสื้อขาดอยู่แล้ว
จู่ๆรถที่อยู่ด้านหน้าพุ่งออกมาอย่างอย่างกับลูกธนู เร็วมาก พริบตาเดียวก็สูญหายไปอย่างไร้เงาเลย
หานชิง: “…….”
เจสันปล่อยคันเร่งที่เหยียบลงไป หายใจออกมาเบาๆ มองหานชิงกับพวกที่ถูกเขาสลัดทิ้งไว้ไกลๆ แล้วพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน: “ดีที่ฉันไหวตัวทัน ฉันไม่อยากให้ในรถคันนี้มีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคน ให้เขาสามคนนั่งคันเดียวกันสนุกจะตายไป”
หานมู่จื่อที่อยู่ด้านหลังอดไม่ได้ที่จะยกมุมปาก เจสันคนนี้นี่มีความชอบพิเรนทร์จริงๆ
เพียงแต่หานมู่จื่อคิดไม่ถึงว่าเขาจะตาแหลมขนาดนี้ วันนี้เขากับหานชิงและเสี่ยวเหยียนน่าจะเจอกันครั้งแรก ไม่นึกเลยว่าจะสามารถดูความสัมพันธ์ที่พัวพันกันของสามคนนี้ออก
ตอนนี้ทั้งสามคนนั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน คงจะไม่…….เกิดเรื่องมั้ง?
คิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อมองไปที่ด้านหลังด้วยความกังวล มือของเย่โม่เซินโอบเธอไว้โดยตรง: “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พวกเขามีวิธีจัดการของพวกเขาเอง”
หานมู่จื่อได้แต่พยักหน้า ถึงเธอกังวลก็ช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องของความรักเธอเข้าไปแทรกแซงก็คงไม่ดีมั้ง?
เฮ้อ ปล่อยให้พวกเขาไปจัดการกันเองเถอะ
เรื่องวาสนาย่อมมีฟ้าคอยลิขิต
หานชิงที่มองดูรถขับไปอย่างไวยืนอยู่ที่เดิมไปสักพัก ก็ได้ยินเสียงที่ระมัดระวังก้องมาจากด้านหลัง
“เอ่อ…….รถของมู่จื่อขับไปแล้ว คุณ……ยังจะยืนอยู่ที่นี่หรอคะ?”
ริมฝีปากของหานชิงขยับไปครู่นึง แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เขารู้สึกว่าคนที่อยู่ด้านหน้าจงใจชัดๆ ไม่งั้น…….ทำไมถึงได้แกล้งเปลี่ยนเซียวซู่มา จากนั้นตอนที่เขาเตรียมตัวเดินไปหาก็ได้ขับรถจากไปไวขนาดนี้อีก
เหอะ เป็นคนที่ตาแหลมจริงๆ
ช่างเถอะ ก็ตามนี้เถอะ
เพราะยังไงซะนั่งรถคันไหน สำหรับเขาแล้วก็เหมือนๆกันหมด
หานชิงหันหลังกลับไปที่รถอย่างไม่พูดจาสักคำ ตอนที่เดินผ่านข้างกายของเสี่ยวเหยียนไม่ได้มองเธอเลย
เสี่ยวเหยียนกลับเผยรอยยิ้มออกมาในขณะที่เขาหันหลัง คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเขาก็ขึ้นรถไปโดยตรงเลย ไม่ชายตามองเธอแม้แต่น้อย
เสี่ยวเหยียนรู้สึกจิตใจได้รับผลกระทบกระเทือน รอยยิ้มที่อยู่มุมปากกลับรักษาต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ และขึ้นรถตามไป
เซียวซู่นั่งอยู่ที่ข้างคนขับ สีหน้าปกติจนเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นยังไงอย่างงั้น “ออกรถเถอะ”
รถขับออกไป เสี่ยวเหยียนกลับอดไม่ได้ที่จะแอบมองหานชิงที่อยู่ด้านหลัง เดิมทีเธอนั่งรถที่รถคันนี้ก็เพราะอยากหาโอกาสใกล้ชิด พูดคุยและเข้าหากับเขา
แต่ว่าเธอขี้ขลาดเกินไป ไม่นึกเลยว่าจะมานั่งที่ข้างคนขับ อีกอย่างหลังจากหานชิงขึ้นรถก็เริ่มหลับตาพักผ่อนสายตา เหมือนเหนื่อยล้ามาก
ทำเอาหลายครั้งที่เสี่ยวเหยียนอยากพูดคุยกับเขา ตอนที่เห็นเขาหลับตาไว้ ได้แต่กลืนคำพูดที่มาถึงปากลงไปในท้อง
คงจะทนดูไม่ไหวกับหลายครั้งที่เธออยากพูดแต่ก็หยุดชะงักไว้ แววตาของเซียวซู่มีสีเข้มขึ้น จากนั้นได้เอ่ยปากพูดคุยกับเสี่ยวเหยียน
“ออกมาครั้งนี้ เตรียมตัวกลับไปเมื่อไหร่ครับ?” เขาถาม
เดิมทีในรถก็จมอยู่ในความเงียบงันที่แปลกประหลาดอยู่แล้ว จู่ๆได้ยินเสียงคนพูด เสี่ยวเหยียนค่อนข้างแปลกใจ ทีนี้เสี่ยวเหยียนถึงนึกขึ้นได้ว่าในรถยังมีคนอีกคนนึงอยู่
เธอจับแก้มของตัวเองด้วยความอึดอัด มองเซียวซู่ไว้
“นี่นายกำลังคุยกับฉันหรอ?”
เซียวซู่ตอบคำถามด้วยสีหน้าแววตาเย็นชา
“ไม่งั้นล่ะครับ?”
พูดจบ เขาซ่อนความมืดครึ้มของแววตาไว้ คิดไม่ถึงว่าตัวเองอยู่ในใจเธอจะไร้ตัวตนขนาดนี้
ก็ใช่ หลังจากขึ้นรถสมาธิของเธอก็จดจ่ออยู่ที่หานชิงหมด แล้วจะเห็นตัวเองที่ขับรถอยู่ข้างๆได้ยังไง?
เหอะ เซียวซู่น้อเซียวซู่ นายที่เป็นแบบนี้ทำไมช่างน่าขำสิ้นดี