บทที่984 คิดไปเองก็ต้องมีขอบเขต
พอได้ฟัง เสี่ยวหมี่โต้วชะงักงัน
เดิมทียู่ฉือจินมาหาเพราะมีอะไรจะพูดกับเขา บอกว่าอีกไม่กี่วันหานมู่จื่อกับเย่โม่เซินก็จะ กลับประเทศแล้ว อยากถามว่าเขาจะกลับไปด้วยกัน หรือจะอยู่เป็นเพื่อนตาแก่อย่างเขา
ถ้าจะอยู่เป็นเพื่อน เขาก็จะได้ไม่เหงามากจนเกินไป
เพื่อที่จะให้เสี่ยวหมี่โต้วอยู่ ยู่ฉือจินยังแสร้งทำเป็นน่าสงสารต่อหน้าเด็กอีกด้วย
แม้ว่าตอนนี้จะเสแสร้งจบแล้ว แต่จู่ๆเขากลับรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเด็กคนหนึ่งเอาเสียเลย
แน่นอนว่าเสี่ยวหมี่โต้วรู้ถึงวัตถุประสงค์ของยู่ฉือจิน อย่างไรเสียเขาก็เป็นเด็กที่ฉลาดมากคนหนึ่ง
ดังนั้นตอนนั้นเขาเลยพูดเองว่าเขาจะอยู่เป็นเพื่อนยู่ฉือจิน
หม่ามี๊ทุกข์มามากพอแล้ว จะให้หม่ามี๊ทุกข์อีกไม่ได้แล้ว ตอนนั้นเสี่ยวหมี่โต้วคิดแบบนั้น
“คุณตาทวดครับ ถ้าเสี่ยวหมี่โต้วกลับประเทศไปกับหม่ามี๊ แบบนั้นคุณตาทวดจะน่าสงสารมากนะครับ เสี่ยวหมี่โต้วเห็นใจคุณตาทวดครับ ไม่กลับไปกับหม่ามี๊นะครับ”
พอได้ฟัง ยู่ฉือจินรู้สึกสะเทือนใจ
“เจ้าเห็นใจตาทวด แล้วเจ้าไม่เห็นใจหม่ามี๊เจ้าเหรอ”
เสี่ยวหมี่โต้วกระพริบตา พูดเสียงค่อย“หม่ามี๊มีแดดดี๊เป็นเพื่อนแล้วนี่ครับ แต่ว่าคุณตาทวด……ไม่มีใครเรย์ เสี่ยวหมี่โต้วก็เลยจะเป็นเพื่อนคุณตาทวดครับ”
“……เด็กดี!”
พอยู่ฉือจินซาบซึ้งใจ จึงยื่นมือออกไปกอดเสี่ยวหมี่โต้วไว้แนบอก ในใจรู้สึกร้อนระอุ
ความรักในครอบครัวที่ขาดหายมาหลายปี คิดไม่ถึงว่าจะหาได้จากตัวเสี่ยวหมี่โต้วนั้น แหละ
*
ระหว่างทางที่กลับไป หานมู่จื่อมองดูเย่โม่เซินอย่างกังวลใจ ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่เงียบเอาไว้
เย่โม่เซินหลุบตาขึ้น มองลงไปที่หน้าของเธอด้วยแววตาที่ราบเรียบ“เป็นห่วงเสี่ยวหมี่โต้วเหรอ”
หานมู่จื่อพยักหน้า
“สบายใจได้ คุณตาชอบเขามาก อีกอย่างนะ……ถ้าคุณตัดใจไม่ลงจริงๆ พวกเราพาเขากลับประเทศด้วยก็ได้”
“แต่ว่า……ทางคุณตา……”
“ในเมื่อท่านยอมรับคุณแล้ว ต่อไปก็คงไม่สร้างความลำบากใจให้คุณอีก แล้วยิ่งท่านรักเสี่ยวหมี่โต้วขนาดนี้ด้วย”
“ที่จริง……คุณตาของคุณก็ดีนะคะ ท่านยังช่วยคุณไว้ ไม่ได้เป็นแค่คนในครอบครัว แต่ยังเป็นผู้มีพระคุณอีกด้วย ให้เสี่ยวหมี่โต้วอยู่เป็นเพื่อนฉันว่าไม่มากเกินไป เพียงแต่……ตอนนี้เสี่ยวหมี่โต้วยังเด็กขนาดนี้ สำหรับเขาแล้ว ไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่”
ยังเด็กขนาดนี้เหรอ
เย่โม่เซินนึกถึงตอนที่เสี่ยวหมี่โต้ววางกับดักให้ตัวเอง ฝีมือขนาดนั้นยังเรียกว่าเด็กเหรอ
เขาถึงขนาดที่รู้สึกว่า ทุกการตัดสินใจของเสี่ยวหมี่โต้วล้วนผ่านความคิดของตัวเขาเอง มาแล้วทั้งนั้น และก็ไม่มีใครจะตัดสินใจแทนเขาได้ด้วย ต่อให้ตาแกอย่างเขาเถอะ
แต่ว่าต่อหน้าหานมู่จื่อเขามักจะแสดงออกอย่างว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ ไม่มีจุดบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นหานมู่จื่อไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าลูกชายตัวเองแสบขนาดไหน
“คอยดูเถอะ ยังมีเวลา”
“อืม”
ก็คงได้แต่แบบนี้แหละ
ถ้าหากว่าได้ หานมู่จื่อก็ยังคงมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง เธอคาดหวังว่า……เสี่ยวหมี่โต้วจะตามกลับประเทศด้วย สำหรับยู่ฉือจิน ถ้าหากว่าเขาเต็มใจ ทุกคนกลับประเทศพร้อมกัน เธอคงดีใจ
กลัวแต่เขา……จะไม่ยอม
*
เซียวซู่ลงไปซื้อไฟแช็คกับบุหรี่ จากนั้นจึงยืนพิงสูบบุหรี่อย่างสบายใจอยู่ที่ระเบียง ลม
เย็นได้พัดพากลิ่นบุหรี่ลอยไป ตอนที่เริ่มต้นเขาแค่ยืนอยู่ จากนั้นก็รู้สึกว่าสูบบุหรี่นั้นน่า เบื่อเสียแล้ว เลยไม่สูบดีกว่า จากนั้นจึงไปนั่งลงบนเก้าอี้ เขาเงยหน้ามองดวง ดาวกับ ดวงจันทร์บนท้องฟ้า
ทันใดนั้น ในห้องก็มีเสียงลอดออกมา
“ก๊อกๆๆ——”
เซียวซู่แววตากวาดไป ลุกขึ้นยืนแล้วมองออกไป
ก๊อกๆๆ——
เป็นเสียงเคาะประตู เมื่อมองผ่านหน้าต่างจากระเบียง เซียวซู่เห็นเงาของหานชิงยืนอยู่ เคาะแล้วเคาะอีก
เซียวซู่เปิดประตูออกเดินเข้าไป เห็นว่าคนที่เคาะประตูคือเสี่ยวเหยียน
จากนั้น เซียวซู่จึงยักคิ้ว ยัยหนูนี่เมื่อกี้ยังนอนอยู่ดีๆไม่ใช่เหรอ แล้วมาเคาะประตูได้ไงเนี่ย
“เปิดประตู เปิดประตูสิ~”
ก๊อกๆๆ——
เพราะก๊อกประตูอยู่เป็นนานสองนานไม่มีเสียงตอบรับ เสี่ยวเหยียนก็เลยเริ่มเคาะใหม่เคาะไปตะโกนไปให้เปิดประตู
“เปิดประตูสิ เปิดประตู~~ฉันรู้ว่านายอยู่ข้างใน รีบมาเปิดเร็วเข้าสิ~”
ครั้งนี้เสี่ยวเหยียนใช้มือตบ ไม่นานจะตบจนมือพังแล้ว
ยืนอยู่ มีเงาหนึ่งพุ่งเข้ามา แล้วล๊อคมือเธอไว้ ดึงเธอออกไปข้างๆ
“เธอกำลังทำอะไร เมาขนาดนี้ กลับไปนอนไป”
“เอ๋”เสี่ยวเหยียนเบิ่งตาโต กำลังพยายามเพ่งว่าคนที่ยืนเถียงอยู่ตรงหน้าเธอคือใคร ดูอยู่เป็นนานสองนาน จู่ๆเธอก็ร้องออกมา“เซียวซู่นี่นา……ฉันกำลังเคาะประตูหานชิงนี่นาชู่ว์ อย่าเอะอะสิ!ฉันมีเรื่องต้องพูดกับเขา~”
พูดจบ เสี่ยวเหยียนผลักเซียวซู่ออก หันตัวแล้วเดินไป
เดินไปไม่กี่ก้าว รู้สึกว่าเดินต่อไม่ไหว
เสี่ยวเหยียนหันหน้าไป เห็นว่าเซียวซู่กำลังดึงข้อมือเธออยู่ เธอพยายามดีดดิ้น แต่ว่าเซียวซู่แรงเยอะ แถมยังกดไว้แน่น เธอดิ้นไม่หลุดด้วยซ้ำ
ดีดดิ้นอยู่สักพัก เสี่ยวเหยียนยู่จมูกขึ้น“จะดึงฉันไว้ทำไม ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ปล่อยฉันนะ”
เรื่องสำคัญ……
เห็นชัดๆว่าคนๆนั้น ไม่ได้เหลียวแลเธอสักน้อย เธอกลับเห็นเขาเป็นเหมือนของล้ำค่า
เธอเมาเพราะเขามาสองรอบแล้ว แต่คนที่คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอ กลับเป็นตัวเขาเอง
คิดมาถึงตรงนี้ เซียวซู่จึงหลุบตาต่ำปาดน้ำตา น้ำหนักในมือจึงเพิ่มขึ้นไปอีก
“เรื่องสำคัญงั้นเหรอ ผู้ชายที่ไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตาเนี่ยนะ มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ เธอดูให้ชัดๆ เขาไม่ได้ชอบเธอแม้แต่น้อย ลุ่มหลงเข้าไป ได้อะไรไหม”
แม้ว่าเสี่ยวเหยียนกำลังเมา แต่ก็ยังคงมีสติ จึงได้ยินคำพูดของเซียวซู่ชัดเจน
ไม่นานนัก สีหน้าเธอก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวขึ้นมา
เธอกัดริมฝีปาก มองเซียวซู่อย่างเกลียดชัง
“นายกำลังพูดมั่วอะไรน่ะ เรื่องของฉัน นายไม่ต้องมายุ่ง ปล่อยฉันนะ!”
เธอออกแรงสะบัดมือเซียวซู่ เซียวซู่ก็ยังคงกุมมือเธอไว้แน่น ไม่ปล่อย
เสี่ยวเหยียนส่งเสียงดังขึ้น“บอกให้ปล่อยไง!”
เซียวซู่“……”
เงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดเซียวซู่จึงปล่อยมือ
เสี่ยวเหยียนกระตุกมือกลับ จากนั้นเซียวซู่จึงเห็นรอยฟกช้ำบนมือขาวๆของเธอ เมื่อกี้เขาออกแรงมากไปหน่อย
เซียวซู่ขยับริมฝีปาก อยากจะพูดอะไรหน่อย เสี่ยวเหยียนกลับแค่นเสียงขึ้น หันหลังเดิน กลับ
สายตาเธอยังคงมองไปที่ห้องของหานชิง แต่ว่าในห้องนั้นไม่มีใคร เซียวซู่ทั้งโกรธทั้ง ปวดใจ เดินหน้าเข้าไปขวางเธอไว้
“อย่าไปเลย เขาไม่ได้อยู่ในห้อง”
“หลีกไป”
“ไปแล้วได้อะไร ฉันจะหลอกเธอหรือไง อย่าว่าแต่เขาไม่อยู่ห้องแล้วไม่มีเสียงขานรับเลย ต่อให้เขาอยู่ก็ไม่ออกมาเจอเธอหรอก คิดเองเออเองก็ต้องมีขอบเขตใช่ไหมล่ะ”
เสี่ยวเหยียนชะงัก แต่ก็ตอบเซียวซู่กลับอย่างมั่นใจ“เซียวซู่ นายคิดว่านายเป็นใคร ดื่มกับฉันแค่สองครั้งแล้วคิดว่ามีสิทธิมายุ่งกับฉันงั้นหรือ จะบอกอะไรให้……ว๊าย……”
จากนั้นเธอก็พูดไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อ เพราะว่าจู่ๆเซียวซู่ก็กดเธอลงบนกำแพงที่เย็น เฉียบ นัยน์ตาวูบมืด ริมฝีปากเกิดความรู้สึกอบอุ่น