บทที่990 กอดนอนก็ไม่ได้เหรอ
หานมู่จื่อคิดอยากจะหันตัวกลับ พอได้ยินเสียงเสี่ยวเหยียนก็ชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับไป
เธอเดินกลับไปที่ประตูอีกครั้ง คิดอยากจะเคาะประตู แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเสี่ยวเหยียนบอกว่าอยากอยู่คนเดียว แล้วก็นึกถึงคำพูดที่เย่โม่เซินพูดกับตัวเองก่อนหน้า
ท้ายที่สุด หานมู่จื่อก็ยอมรามือ
บางที เสี่ยวเหยียนอาจจะต้องการอยู่เงียบๆคนเดียวก็ได้ จากนั้นปรับสภาพจิตใจตัวเองจากนั้นพรุ่งนี้คงจะมีคำตอบ
ในชีวิตคนเราหลายครั้ง ต่อให้วางมือไม่ลง ก็ต้องวางมือ
ถ้าการรักชอบหานชิงต้องทำให้เสี่ยวเหยียนต้องเจ็บปวด แล้วสูญเสียตัวตนไป ถ้าอย่างนั้น……ให้เธอดูให้ชัดๆวันนี้ จากนั้นก็ให้ตายใจ สำหรับเสี่ยวเหยียนอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
คิดมาถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็พูดเสียงค่อยขึ้นมา“ก็ได้ งั้นเธออยู่เงียบๆคนเดียวแล้วกัน รอเธอคิดได้แล้วค่อยส่งข้อความหาฉันนะ ฉันกลับไปพักผ่อนก่อน”
ในตอนที่หานมู่จื่อกลับห้อง ทั้งไปกลับรวมสิบนาที
เธอคิดว่าป่านนี้เย่โม่เซินคงจะยังไม่หลับ คิดไม่ถึงว่าพอเธอกลับมาถึง เย่โม่เซินจะหลับ สนิท แถมกรนเสียงดังด้วย
ในตอนที่เธอเดินไปหา เย่โม่เซินไม่รู้ด้วยซ้ำ
ดูท่า ช่วงนี้เขาจะเหนื่อยจัด
หลังจากหานมู่จื่อไปอาบน้ำ จึงค่อยๆปีนขึ้นเตียง เพราะกลัวเสียงจะไปรบกวนเย่โม่เซิน ก็เลยซุกอยู่อีกมุม พอเอนไปได้สักพัก เธอก็รู้สึกถึงความอบอุ่นอยู่ที่เอว ในตอนที่เธอยังไม่ทันรู้ตัวก็มีมือมาโอบเข้าแล้ว
หานมู่จื่อใจเต้น กำลังจะหันไปเสียงแหบพร่าก็ดังลอดมา
“ก็ไม่หัดพิงเข้ามาหน่อยเล่า ถ้ากลางคืนหนาวจะทำไง”
“คุณ คุณหลับแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไม……”
หรือว่าเมื่อกี้แกล้งหลับ แต่ว่า เสียงกรนนิ่งขนาดนั้น อีกอย่าง……
ที่จริงเย่โม่เซินหลับไปแล้ว เพียงแต่เขาตื่นเพราะเสียงอาบน้ำที่ดังมาจากห้องน้ำ เดิมทีเขาผู้ซึ่งกำลังง่วงงุน หลังจากที่ได้ฟังเสียงน้ำแล้ว ก็คึกคักขึ้นมาทันที ยิ่งคิดยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้
จนกระทั่งหานมู่จื่ออาบน้ำออกมาเสร็จแล้ว เธอยังคงพกพาความชุ่มชื้นหลังการอาบน้ำ ออกมาด้วย เย่โม่เซินหลับตานอนเอนอยู่ คาดหวังว่าเธอจะพิงเข้าไป
ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนี้นอนคุดคู้ห่างเขาออกไปมาก
เย่โม่เซินรออยู่พักหนึ่ง เธอก็ยังไม่เขยิบเข้ามา
เธอก็เลยเข้าไปโอบกอดเสียเลย
“หลับไปแล้วแต่ตื่นขึ้นมาใหม่”
น้ำเสียงของเขาราวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล หรือเป็นเพราะเขานอนกอดตนเองอยู่ หานมู่จื่อรู้สึก ได้ถึงลมหายใจหอบถี่ที่แผ่ซ่านมาจากทรวงอก หลังใจที่ไออุ่นแผ่วอยู่ข้างหู ก็รู้สึกคันเล็กน้อย
หานมู่จื่อรู้สึกว่าพัฒนาไปแบบนี้แปลกๆไปหน่อย เธอใช้มือยัน แล้วก็ได้ยินเสียงเย่โม่เซินแค่นออกมาอย่างเซ็ง
“ต่างคนต่างนอน คุณอย่าซี๊ซั๊วขยับนะ”
เธอกำชับเสียงเบา
เย่โม่เซินไม่ได้ตอบรับอะไร มือยังคงโอบเอวเธอไว้ พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“นอนกอดก็ไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้”
หานมู่จื่อปฏิเสธเขา“อยู่ท่านี้ตลอดฉันรู้สึกไม่สบาย”
สิ้นเสียง คนที่อยู่ด้านหลังก็หัวเราะเบาๆขึ้นมา“งั้นก็เปลี่ยนท่าสิ”
เปลี่ยนท่างั้นเหรอ
หานมู่จื่อยังไม่ทันรู้ตัวขึ้นมา ก็โดนเย่โม่เซินดึงไปเปลี่ยนท่าเสียแล้ว
เธอพลิกตัว ตอนนี้แหละเธอประจันหน้าเข้าให้กับเย่โม่เซิน
“……”
“แล้วท่านี้ล่ะเป็นไง”
เขาเบียดเข้ามา ปลายจมูกเขาประชิดเข้ากับปลายจมูกเธอ ในตอนที่พูดลมหายใจของเขาก็ได้พ่นรดใบหน้าของเธอ
ในห้องมีไฟเพียงแค่ดวงเดียว ไฟนั้นค่อนข้างสลัว แต่ระยะห่างเพียงเท่านี้ทำให้หานมู่จื่อ มองเห็นฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน เดิมทีเย่โม่เซินเป็นคนหล่อมาก ภายใต้แสงสลัว ดวงตายังเป็นประกาย โครงหน้าเน้นออกมาเด่นชัด ปกติเขามีวงคิ้วที่คมกริบอยู่แล้ว แต่ว่า ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน
เย่โม่เซินแบบนี้ ทำให้หานมู่จื่อใจเต้น
อย่างไม่รู้ตัว เธอรู้สึกว่าตัวเองคอแห้งขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าสบตาเขา ได้แต่พูดออกมาอย่างเหือดแห้ง“ไม่ ไม่ได้……”
เย่โม่เซินขึ้นหน้าสองสามก้าว จนริมฝีปากแทบประชิด
“อะไรไม่ได้”
หานมู่จื่อรู้สึกว่าหน้าอกเธอชนเข้ากับหน้าอกของเขา เธอได้แต่ยืนมือไปค้ำเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“สภาพคุณยังไม่ดี ไม่ได้”
เย่โม่เซินหลับตาลง ค่อยๆบรรจงจุมพิตลงที่ปลายจมูกของเธอ
“ถ้าคุณยังปฏิเสธผมอีก สภาพผมจะแย่กว่านี้”
ก่อนหน้าเขารู้สึกง่วงงุน แต่ว่าทั้งกายและใจเขาคิดถึงแต่เธอ อย่างไรเสียไม่ได้เจอเธอมาเป็นอาทิตย์ พอกลับมาทั้งคู่ก็ไม่ได้ทำอะไร ก็ได้แค่กอดกันนอนธรรมดา
หยกหอมอยู่ในอ้อมแขน ถ้าเขาไม่ทำอะไรบ้าง ก็จะรู้สึกผิดต่อสภาพความเป็นชายของ ตนเอง
หานมู่จื่อกัดริมฝีปาก หลับตาลง“ไม่ได้จริงๆ ครรภ์ยังไม่นิ่ง คุณอยากจะส่งฉันเข้าโรงพยาบาลกลางดึกหรือไง”
ฟังมาถึงตรงนี้ เย่โม่เซินตัวแข็งทื่อ
จริงสิ ลูก……เธอกำลังตั้งครรภ์ อีกอย่างก่อนหน้าที่เกือบจะแท้งก็เพราะเขาคุมตัวเองไม่อยู่ ถ้าตอนนี้เขายังทำต่อ……
คิดมาถึงตรงนี้ เย่โม่เซินเม้มปาก แววตาเป็นประกาย
เขากอดหานมู่จื่อไว้แน่น แม้ว่าจะกอดแน่น แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น
หานมู่จื่อถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกในอ้อมแขนของเขา ดูท่าเขาคงฟังเธอบ้าง
แม้ว่าเธอเองก็คิดถึงเขามากเช่นกัน แต่ว่า……เธอหวังว่าก่อนที่ลูกจะคลอดออกมา คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรอีก
บางที เย่โม่เซินต้องเป็นพระสักเจ็ดเดือน
คิดมาถึงตรงนี้ หานมู่จื่ออดขันไม่ได้ ตัวเธอสั่นเทาเล็กน้อยในอ้อมแขนของเขา
เย่โม่เซินคิดว่าตัวเองทำให้เธอรู้สึกเซ็ง จึงผ่อนมือออก ปรากฏว่าก้มหน้ามองเห็นเธออมยิ้มอยู่ ในตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นดวงตามีแต่รอยยิ้ม
“?”
นี่คือ……กำลังหัวเราะเขา
เย่โม่เซินหรี่ตาลงอย่างอันตราย“น่าขำมากหรือไง”
“แล้วไม่น่าขันหรือไงล่ะคะ คุณต้องเป็นพระตั้งเจ็ดเดือนแหน่ะ”
เจ็ดเดือน……
เย่โม่เซินแววตาลุ่มลึก ดูท่าก่อนคลอดเธอคงไม่ให้เขาแตะต้องตัวเธอเลยสินะ แต่เพื่อ ความปลอดภัยของลูก เขาก็ไม่คิดจะทำอะไรอยู่แล้ว
อย่างมากก็แค่อดทนเจ็ดเดือน ถึงเวลาค่อยชดเชยเป็นสองเท่า
แล้วตอนนี้ล่ะ
เธอยังจะมาขำอีก แบบนี้……เรื่องก็คงจะไม่เหมือนเก่า
“หึ”เย่โม่เซินบีบคางเธอเบาๆ พิงเข้าไป“เป็นพระเจ็ดเดือนเหรอ มู่จื่อ คุณไม่รู้จักผู้ชายเสียแล้ว”
หานมู่จื่อกระพริบตาปริบๆ ขนตายาวงอนราวกับพัดทั้งสองข้างราวกับกวาดเข้าไปในใจ ของเย่โม่เซิน
“หรือว่าคุณจะหาผู้หญิงคนอื่น”
“……”
หาผู้หญิงคนอื่นอย่างนั้นเหรอ
พอฟังคำนี้ เย่โม่เซินรู้สึกสำลัก มุมปากอดยิ้มขึ้นไม่ได้
เห็นอยู่ว่าเขาพูดจากำกวม แล้วจะให้เธอฟังเป็นความหมายไหนล่ะ เธอเลยรู้สึกว่าเขาจะหาผู้หญิงคนอื่น
เย่โม่เซินหรี่ตาลง แววตาคมเข้มจ้องเขม็งไปที่ปากอันแดงอิ่มของเธอ
“ว่าไง ในสายตาคุณ ผมเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงที่ไหนก็ขึ้นคร่อมได้อย่างนั้นเหรอ”