บทที่1000 ภาพหลอนหรือ
“เธอลากฉันทำไม”
ผู้ชายส่วนสูงร้อยแปดสิบ ยังทำท่าทางออดอ้อนอยู่ตรงนั้น มองไปทางเย่โม่เซิน
“ฉันยังไม่ได้บอกลาพี่น้องที่แสนดีของฉันเลย จากกันวันนี้ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกตอนไหน ชายชราบ้าที่บ้านฉันก็ยิ่งควบคุมฉันแน่นหนามากด้วย ฉันอยากไปหาพวกเธอที่ประเทศจีนคิดว่าก็คงลำบาก ยู่ฉือ ถึงแม้จะเป็นพี่น้องกันได้ไม่นาน แต่นายไม่อาลัยอาวรณ์ฉันเลยสักนิดเลยเหรอ”
เย่โม่เซินเงยหน้าขึ้น สองเขาด้วยสายตาเย็นชาทีหนึ่ง
“ไม่มี ไสหัวไป”
เฉียวจื้อ “ให้ตาย มิตรภาพจบสิ้น มิตรภาพจบสิ้นจริงๆแล้ว ฉันจะบอกนายนะยู่ฉือ ถ้าไม่ได้เห็นแก่หน้าพี่สะใภ้ ฉันคงตัดความสัมพันธ์กับนายไปแล้ว”
หานมู่จื่อดึงแขนของเย่โม่เซิน แล้วส่งยิ้มไปทางเฉียวจื้อ
“เขาล้อเล่นกับคุณเอง เขาจะต้องจดจำคุณไปตลอดแน่ เฉียวจื้อ หลัวหลัว ลุงหยู พวกเราไปก่อนนะคะ ฉันเชื่อว่าพวกเราจะต้องได้เจอกันอีกเร็วๆนี้แน่”
“หึหึ”
เฉียวจื้อเบือนหน้าไปอีกทาง หานมู่จื่อเห็นว่าขอบตาเขาแดงขึ้นมา ในใจก็รู้สึกหวั่นไหวตามไปด้วย
ที่จริงเฉียวจื้อคนนี้ ก็เป็นคนดีเลยทีเดียว
เย่โม่เซินเองก็เหมือนจะสังเกตเห็นเหมือนกัน ใบหน้าที่เดิมทีเย็นชาของเขาวูบไหวในเสี้ยววินาที เขามองเฉียวจื้ออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เปิดปากทองคำนั้นขึ้น
“เฉียวจื้อ”
เฉียวจื้อที่ถูกเขาเรียกชื่อกระตุกวูบ แล้วหันไปมองเย่โม่เซินอย่างตื่นเต้นดีใจ “ยู่ฉือ ?”
“ช่วงเวลาที่ผ่านมา ขอบใจมาก”
พูดจบ ไม่รอให้เฉียวจื้อได้สติกลับมา เย่โม่เซินก็หันหลังเดินจากไปทันที
หานมู่จื่อกับคนที่เหลือต่างก็ยิ้มตาม จากนั้นก็ตามเข้าไป
ส่วนเฉียวจื้อยังแข็งทื่ออยู่ที่เดิม รู้สึกว่าตัวเองตอนนี้กำลังเห็นภาพหลอน ไม่อย่างนั้นเขาจะได้ยินคำว่าขอบคุณออกมาจากปากของยู่ฉือได้อย่างไร
“ตื่นตื่น”
เสียงของหลัวลี่ผ่านเข้ามา เฉียวจื้อถึงได้ได้สติกลับมา แต่ว่าเมื่อครู่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ได้จากไปแล้ว เฉียวจื้ออุทานออกมาทีหนึ่ง อยากจะตามเข้าไป แต่กลับถูกหลัวลี่ลากเอาไว้ “คุณจะตามไปทำไม พวกเขาจะเข้าไปในด่านตรวจแล้ว”
เฉียวจื้อมองไปทางหลัวลี่ “เมื่อกี้เธอได้ยินหรือเปล่า ยู่ฉือพูดขอบคุณฉัน ใช่ไหม ?”
หลัวลี่มองดูท่าทางของเขา แล้วก็อดกลอกตามองบนไม่ได้ ก่อนพยักหน้า “อืม ก็พูดจริงๆแหละ แล้วคุณจะตื่นเต้นไปทำไม”
เขาก็ต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว คนเย็นชาอย่างยู่ฉือ กลับยอมเปิดปากทองคำนั้นพูดขอบคุณเขา จู่ๆเฉียวจื้อก็รู้สึกว่าการเป็นพี่น้องกับเขามาตั้งนานนั้นคุ้มค่าแล้ว!
เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ถูกสิ……
ทำไมเขาถึงได้ลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไปได้
“ให้ตาย วันนี้เดิมทีฉันจะมาดูหน้าลูกของยู่ฉือกับพี่สะใภ้ แล้วเด็กล่ะ ทำไมฉันถึงไม่เห็นแม้แต่เงาเลย ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลัวลี่ก็มองไปทางเงาของพวกเขาที่เดินจากไป ก็พบว่าทางนั้นไม่มีเงาของเด็กน้อยเหมือนกัน มีเพียงผู้ใหญ่ไม่กี่คนเท่านั้น
“แปลกจัง เมื่อกี้เด็กคนนั้นก็ยังอยู่ข้างๆพวกเขานี่นา ทำไม……จู่ๆถึงหายไปแบบไร้เงาแบบนี้ได้”
“เธอเห็นแล้วเหรอ ทำไมฉันไม่เห็น”
หลัวลี่พยักหน้า “เห็นแล้วสิ หน้าตาเหมือนประธานยู่ฉือมากเลย ทำไมคุณถึงไม่เห็น”
ไม่มีเหตุผลเลย หลัวลี่ขมวดคิ้วแล้วมองไปทางกลุ่มที่จากไป ในใจก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ตอนนี้ข้างกายของพวกเขาไม่มีเด็กน้อยเดินตามเลย แต่เมื่อครู่เธอเห็นแล้วจริงๆ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ก่อนหน้านี้เฉียวจื้อบอกว่ามองไม่เห็น เธอรู้สึกว่าเพราะในสายตาของเฉียวจื้อคงมีแต่เซียวซู่ ดังนั้นก็เลยไม่ได้สังเกตเห็นเด็กที่ตัวเล็กและน่ารักคนนั้น
แต่ตอนนี้ เธอก็เริ่มสงสัยว่าตัวเองจะมองผิดไปด้วยหรือเปล่า
หยูโปที่อยู่ข้างๆพอได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนแล้ว ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็มองไปทางที่หานมู่จื่อกับเย่โม่เซินเดินจากไป จ้องอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติไป
จู่ๆ เขาก็อุทานออกมาคำหนึ่ง “นี่ นี่คุณหลานชายน้อยหายไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้เลยนี่นา แล้วคนล่ะ ?”
เฉียวจื้อ “เคยเห็นจริงๆเหรอ”
หลัวลี่โล่งอก ดูท่าว่าคงไม่ใช่เธอคนเดียวเท่านั้นที่เห็น ถ้าทุกคนไม่เห็น มีแต่เธอคนเดียวที่เห็น คืนนี้เธอคงกลัวจนนอนไม่หลับแน่
“ก็ต้องเห็นแน่นอนอยู่แล้วสิ ฉันยังเอาของขวัญที่นายท่านยู่ฉือเตรียมไว้ยื่นให้เขากับมือเลย หายไปไม่เห็นเงาภายในพริบตาแบบนี้ได้ยังไง ไม่ได้ไม่ได้ ฉันจะต้องรีบไปบอกพวกเขา”
หลัวลี่กลับดึงแขนหยูโปเอาไว้ “คุณลุงหยู คุณอย่าเพิ่งรีบร้อนไปค่ะ ฉันคิดว่าคงไม่ได้มีแต่พวกเราหรอกค่ะที่ค้นพบปัญหานี้ เด็กน้อยอาจจะเดินนำไปข้างหน้าแล้วถูกผู้ใหญ่บังอยู่ก็เป็นไปได้ คุณเห็นไหมว่าพวกมู่จื่อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น น่าจะไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ”
“ไม่ได้ไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ!” หยูโปควักโทรศัพท์ออกมา อีกด้านกดโทรศัพท์อีกด้านก็เดินไปทางที่พวกเย่โม่เซินเดินจากไป
เฉียวจื้อกับหลัวลี่เห็นท่าทางเขารีบร้อนมาก ก็นั่งดูดายต่อไปไม่ได้ เลยเดินขึ้นไปลากเขาออกไว้ “ลุงหยู คุณอายุมากแล้ว คงตามพวกเขาไม่ทันหรอก คุณรออยู่ตรงนี้ดีกว่า เดี๋ยวผมจะไปถามให้เอง”
หยูโปครุ่นคิดก่อนพยักหน้า “ก็ได้ครับ คุณต้องรีบหน่อยนะครับ ถามให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นเกิดเด็กหายไป……จะต้องแย่แน่”
“ไม่มีปัญหาครับ”
เฉียวจื้อกับหลัวลี่สบตากันทีหนึ่ง ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามขึ้นไป
หยูโปยืนรอที่เดิมอย่างร้อนรน เขาอยากจะโทรหาเย่โม่เซิน แต่สายของอีกฝ่ายกลับขึ้นเป็นสายไม่ว่าง เฉียวจื้อกับหลัวลี่ก็เข้าไปหาพวกเขาแล้ว หยูโปก็เลยทำได้แค่ยืนรออยู่ที่เดิม
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังของเขา
“คุณลุงหยู”
เสียงนี้ฟังแล้วคุ้นเคยมาก หยูโปหันหลังไปตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็เห็นเสี่ยวหมี่โต้วยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง
“เสี่ยวหมี่โต้ว ?”
ยูโปตกใจจนเผลอเสียงดังขึ้นหลายระดับ “คุณ ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ครับ แดดดี้กับหม่ามี๊ของคุณเข้าด่านตรวจไปแล้ว เมื่อกี้คุณวิ่งไปไหนมา รีบไปเถอะครับ อย่ามัวแต่มายืนอยู่ตรงนี้เลย ผมจะรีบพาคุณไปหาแดดดี้กับหม่ามี๊ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะขึ้นเครื่องไม่ทันเอานะครับ”
พูดจบ หยูโปก็เข้าไปลากแขนของเสี่ยวหมี่โต้วแล้วเดินไปอีกทางอย่างรีบร้อน ใครจะรู้ว่าเสี่ยวหมี่โต้วกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ “คุณลุงหยู คุณเดินผิดทางแล้วครับ พวกเราต้องไปทางนี้”
เหมือนจะเป็นห่วงว่าหยูโปจะไม่รู้ทาง ดังนั้นเสี่ยวหมี่โต้วก็เลยชี้นิ้วไปทางด้านนอกสนามบิน หยูโปชะงักไป ยังไม่ทันได้สติกลับมาว่าเสี่ยวหมี่โต้วหมายความว่าอะไร เลยเอาแต่พูดว่า “เสี่ยวหมี่โต้ว คุณชี้ผิดทางแล้ว นั่นเป็นนอกสนามบิน ด่านตรวจไม่ใช่ทางนี้นะครับ”
“ก็ใช่ไงครับ” เสี่ยวหมี่โต้วพยักหน้า “ต้องไปนอกสนามบิน คุณลุงหยู ผมเอากระเป๋า ไปใส่ในรถของคุณลุงแล้ว”
หยูโป “……”
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่า มีบางอย่างไม่ปกติยิ่งกว่าเดิม
เสี่ยวหมี่โต้วฉลาดหลักแหลมมาตลอด ทำไมตอนนี้จู่ๆถึงได้เอากระเป๋าไปไว้บนรถของเขาได้ นี่มันคือ ?
หยูโปมองดูเสี่ยวหมี่โต้วด้วยสีหน้างงงวย
“คุณลุงหยู ผมตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณตาทวดที่นี่”
“……อะไรนะ ?”
“หม่ามี๊กับแดดดี้เองก็รับปากแล้วครับ ตอนนี้พวกเรากลับบ้านคุณตาทวดกันเถอะครับ”
หยูโปถูกคำพูดของเขาทำให้ตะลึงยังไม่ทันได้สติกลับมา เดิมทีวันนี้เขามาเพื่อส่งเขา จากนั้นค่อยกลับไป ใครจะไปรู้ว่าเสี่ยวหมี่โต้วกลับ……