เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 102 สามีภรรยาเปิดใจคุยกัน

“มี่เอ๋อร์ ขอโทษด้วย สัญญาว่าจะไปดูพวกเขาย้ายที่ปลูกดอกถานฮวากับเจ้า แต่เดินไปได้ครึ่งทางก็ไม่ได้กลับมา!” โดยไม่สนใจสายตาที่มองอย่างคาดหวังของหญิงสาวทั้งสาม ซั่งกวนเจวี๋ยสุภาพมากให้สาวใช้ไปส่งทั้งสามกลับเรือนทางใต้ พวกนางยังคงอาศัยอยู่ในสถานที่ที่พักอยู่ก่อนหน้านี้ ซั่งกวนเจวี๋ยเองก็พาเยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินทอดน่องกลับไปที่เรือนมีคู่อย่างช้าๆ

“จะจบลงด้วยคำพูดง่ายๆ แค่นี้เองใช่ไหม? ไม่มีของขวัญมาขอโทษหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหล่ตามองเขา แสร้งทำเป็นโกรธขึ้ง แต่แววตาโล่งใจและอ่อนโยน

“อุ๊ย ข้าลืมของขวัญขอโทษไปได้อย่างไรกันเล่า!” ซั่งกวนเจวี๋ยจงใจตบหัวแล้วพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ไม่อย่างนั้นเอาแบบนี้เถอะ ข้าจะไปเตรียมของขวัญให้ รอจนกว่าของขวัญจะพร้อม แล้วค่อยกลับมาขอโทษมี่เอ๋อร์?”

“ท่านพี่แน่ใจว่าเหตุการณ์อย่าง ‘นกกระเรียนเหลืองพอไปแล้วจะไม่มีวันหวนกลับ’ จะไม่เกิดขึ้นจริงๆ หรือ?” เยี่ยนมี่

เอ๋อร์มองเขาอย่างไม่เชื่อใจ อดยกมุมปากขึ้นไม่ได้ ไม่ได้คาดหวังว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะมีด้านอารมณ์ขันเช่นนี้ เท่าที่จำได้เขามักจะสุขุมคัมภีรภาพมาก

“มันก็พูดยาก…” ซั่งกวนเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างหนักพลางกล่าวว่า “มี่เอ๋อร์ เจ้าไม่รู้ว่าข้างุ่มง่ามมากกับการส่งของขวัญ ต้องใช้เวลาคิดนาน มักจะไปเจอทางตันบ่อยๆ แล้วก็ออกมาไม่ได้ เฮ้อ เจ้าคิดว่าข้าจะไปเตรียมของขวัญให้เจ้าได้ไหมเล่า?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา แสร้งทำเป็นเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงที่หางตา ริมฝีปากสั่นเทาเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า “ข้ารู้ว่าท่านพี่ไม่จริงใจจะให้ของขวัญ…หรอก…”

“เจ้ายิ้มยังจะดูดีกว่า!” ซั่งกวนเจวี๋ยเฝ้าดูเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่แกล้งงอนอย่างกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว ท่าทางที่ยิ้มละไมก็มีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลได้ปลื้ม นางยิ้มทีไรสวยงามมากเหลือเกินจริงๆ งามจนเขาต้องการจะเก็บซ่อนนางไว้ แล้วไว้ดูเชยชมคนเดียวเท่านั้น

“ท่านพี่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเขาที่มีท่าทีตกอยู่ในภวังค์ จึงร้องออกมาอย่างเขินอาย นี่อยู่บนถนน ยังมีแม่นมสาวใช้มองดูอยู่รอบตัว

ซั่งกวนเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ เมื่อรู้ว่านางเป็นคนหน้าบาง นางย่อมทนไม่ได้ที่จะคุยกันอย่างสนิทสนมแบบนั้นต่อหน้าธารกำนัล ซึ่งต่างจากผู้หญิงเหล่านั้น เมื่อพบกันครั้งแรกก็เรียกว่า ‘คุณชายจอมยุทธ์ซั่งกวน’ พูดได้ไม่กี่คำ ก็เรียกว่า ‘พี่ใหญ่ซั่งกวน’ พอคุ้นเคยกันหน่อยจะกลายเป็น ‘พี่ใหญ่เจวี๋ย’ หรือ ‘พี่เจวี๋ย’ ดึงระยะห่างของทั้งสองคนอย่างสุดชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นคุ้นหน้าคุ้นตากันมาตลอด หากอารมณ์ไม่ดีจริงๆ จะหาใครสักคนมาสับเปลี่ยนการแต่งงานนี้ เพื่อให้ตระกูลเยี่ยนและท่านแม่พิจารณาการแต่งงานครั้งนี้อย่างรอบคอบมากขึ้น แล้วจะไม่ปล่อยให้พวกนางมาพัวพัน ให้พวกนางมีโอกาสตามมาถึงลี่โจว ในท้ายที่สุดก็มาอยู่ที่ขั้นตอนนี้

“มี่เอ๋อร์ ข้าอยากจะคุยกับเจ้าตามลำพัง” ขณะที่เข้าใกล้เรือนมีคู่ จู่ๆ ซั่งกวนเจวี๋ยก็โพล่งมาคำหนึ่งที่ทำลายบรรยากาศจนหมด สีหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์หมองลงเล็กน้อย รอยยิ้มหวานที่มุมปากก็มลายหายไปทันที พยักหน้า ไม่พูดอันใด

จื่อหลัวและคนอื่นๆ รู้กาลเทศะก็เดินหลบไปเอง

“ไปที่เรือนไร้เดี่ยวเถอะ” ซั่งกวนเจวี๋ยพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าไปในเรือนของเขา ลู่หลัวต้อนรับเขาด้วยความประหลาดใจ แต่ไปสบตากับม่านเหลียนที่อยู่ข้างหลังซั่งกวนเจวี๋ย ไม่ได้พูดทักทาย เพียงแต่ทำความเคารพและถอยออกไป

“ลู่หลัวเก่งมาก” ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นความสามารถของลู่หลัวอย่างชัดเจนแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “แม้จะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ แต่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และผูกมิตรได้ดีกับทุกคนรอบตัวโดยเร็วที่สุด มี่เอ๋อร์สอนได้ดีจริงๆ”

“จื่อหลัวกับลู่หลัวคอยอยู่เคียงข้างข้ามาตั้งแต่ตอนอายุเจ็ดแปดขวบ ตอนนั้นท่านแม่เลือกสาวใช้หกคนมาอยู่ข้างกายข้า คนมีจิตใจมั่นคงที่สุดคือจื่อหลัว คนที่คล่องแคล่วที่สุดกลับเป็นลู่หลัว พวกนางล้วนเป็นลูกของครอบครัวที่แร้นแค้น เพราะฐานะทางบ้านจึงต้องขายตัวเป็นทาส ขอให้แม่นมฉินฝึกฝนอย่างเข้มงวดอยู่สักพักหนึ่งจึงส่งมา คนอื่นๆ อีกหลายคนถูกคัดออกเพราะเหตุนี้ มีเพียงพวกนางที่อยู่เคียงข้างข้ามาตลอด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย มองซั่งกวนเจวี๋ยแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “พวกนางต่างเคยบอกว่า จะอยู่เคียงข้างข้าไปตลอดชีวิต ถ้าสามีมีความคิดอะไรล่ะก็…”

“มี่เอ๋อร์ หยุด!” ซั่งกวนเจวี๋ยผงะ ไม่คิดว่าเขาพูดเพียงประโยคเดียวไปเรื่อยเปื่อย จะทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าคิดไปถึงขั้นไหนแล้ว เขารู้สึกผิดหวังและกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อยแล้วพูดว่า “มี่เอ๋อร์ ข้าแค่ชมนางธรรมดา แล้วบอกว่าเจ้าฝึกสอนคนได้ดีเท่านั้นเอง ไม่มีความคิดอื่นใด ต่อให้ข้าจะรับอนุภรรยา ก็จะไม่ใช่สาวใช้ข้างกายเจ้า”

“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางกล่าวว่า “ข้าหมายความว่าถ้าท่านพี่คิดว่าพวกนางยังคงมีระเบียบวินัยอยู่มาก ถ้ามีสาวใช้ตัวน้อยเข้ามาในอนาคต จะส่งให้พวกนางฝึกอบรมก็ได้ อันที่จริงจื่อหลัวกับลู่หลัวไม่ค่อยเก่งเท่าใด พวกนางไม่มีประสบการณ์มากพอ แต่แม่นมจ้าวเก่งมากในด้านนี้ แม้จะไม่เก่งเท่าแม่นมฉิน แต่ก็เก่งเช่นกัน”

พูดอ้อมค้อมได้ดี บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ายังคิดว่ามี่เอ๋อร์จะยอมปล่อยให้พวกนางมาเป็นอนุภรรยาให้ข้าเสียอีก”

“ถ้าท่านพี่พึงใจพวกนางก็ย่อมเป็นโชควาสนาของพวกนาง มี่เอ๋อร์ไม่มีอะไรที่ไม่เต็มใจ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ พลางกล่าวว่า “พวกนางและเซียงเสวี่ยทั้งสี่คนเป็นสาวใช้สินสอดของมี่เอ๋อร์ ตราบใดที่ท่านพี่สนใจ ทำพิธีเปิดหน้าก็นำเข้าห้องได้ทันที ไม่ต้องกังวลว่าใครจะพูดอะไรให้ระคายหู พวกนางยังรู้ว่าจะมีวันแบบนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่คบค้าสมาคมกับใครมากนัก แต่จะไม่ทำให้ท่านพี่เสียหน้า”

“ข้าไม่คิดจะรับอนุภรรยา” ซั่งกวนเจวี๋ยทอดถอนใจ คิดว่าหลังจากได้ผ่านเรื่องของชุยอวี่เฟยแล้ว ก็เข้าใจว่านางมีอคติมากแค่ไหนที่เขาจะรับอนุภรรยา ไม่คาดคิดว่านางยังคงอยู่ในท่าทีที่ไม่เจ็บปวดและผ่อนปรนเช่นนี้

“จริงหรือ?” ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่องประกายระยิบระยับ เมื่อพูดออกมาถึงได้รู้ว่าตนเสียกิริยา ก้มใบหน้าที่แดงระเรื่อลง และไม่ยอมเงยหน้าขึ้นอีกเลย

“ยัยเด็กปากกับใจไม่ตรงกัน” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกขบขันกับปฏิกิริยาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “จริงสิ ข้ารู้มานานแล้วว่า สามีภรรยาที่ปราศจากความสุข มีผู้หญิงในบ้านมากก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป และไม่คิดจะมีภรรยาน้อย มิฉะนั้นข้าจะไม่ออกตัวให้ท่านแม่ดูแลทั้งสามคนที่เรียกว่าหญิงงามคนสนิท และแต่งรับอนุภรรยาเข้าเรือนมาก่อนโดยตรง”

“เอ่อ? ท่านพี่พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อาจจะรู้เหตุผลอยู่บ้าง ไม่ใช่เพราะไม่ชอบภรรยาของตนที่ไม่เคยผ่านประตูวิวาห์ จึงจงใจเรียกหญิงงามคนสนิทไม่กี่คนออกมา เพื่อให้ตนหรือตระกูลเยี่ยนรู้ว่ารับมือยากจะได้ล่าถอยไป เสนอตัวถอนหมั้นเอง ต่อให้จะไม่ถอนหมั้น ก็จะแสดงอำนาจ แต่ที่เขาพูดอย่างนี้หมายความว่าเสียใจกับแนวทางที่ไร้เดียงสานี้แล้วใช่ไหม?

“มี่เอ๋อร์เข้าใจแล้วมิใช่หรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่แสร้งทำเป็นโง่ ความไม่เชื่อและความแปลกใจในดวงตาของนางเห็นได้ชัดว่า นางดูมีพลังและเจตนาแกล้งโง่ด้วยซ้ำซึ่งดูน่ามองยิ่งนัก

“มี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจเลยสักนิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของซั่งกวนเจวี๋ย เล่นกับมุมชายเสื้อของซั่งกวนเจวี๋ยแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ใช่หญิงงามคนสนิทและไม่ได้ตั้งใจจะรับพวกนางไว้ล่ะก็ แล้วให้พวกนางอยู่ในตระกูลซั่งกวนถึงครึ่งปีได้อย่างไร? พวกนางอาศัยอยู่ในตระกูลซั่งกวนโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้ ยังจะมีชื่อเสียงเกียรติยศอะไรได้อีก?”

“นั่นเป็นเพราะข้าไม่รู้ว่ามี่เอ๋อร์เป็นภรรยาผู้แสนดีแบบนี้ แค่ต่อต้านธรรมดาเท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่เพราะมี่เอ๋อร์เป็นสาเหตุ ควรรู้ไว้ว่า ในช่วงเวลานั้นไม่ค่อยมีกรณีสัญญาการแต่งงานตั้งแต่เด็กอย่างนี้ ส่วนใหญ่จะรู้จักกัน มีความรักความเข้าใจกันในระดับหนึ่งก่อนถึงจะมีสัญญาหมั้นหมาย ความตั้งใจเดิมที่จะทำเรื่องนี้ คือทำให้การแต่งงานครั้งนี้พลิกผัน และทำให้ท่านแม่ลำบากขึ้น ตอนนี้ข้าไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้มาขัดขวางเรา จึงต้องคุยกับมี่เอ๋อร์ให้ชัดเจน ไม่ให้เจ้าทำสิ่งที่ผิดพลาดได้” ซั่งกวนเจวี๋ยมองใบหน้างามที่น่าอิจฉาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ หัวใจเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและกระหยิ่มยิ้มย่องของชายชาตรี

“สำหรับชื่อเสียงเกียรติยศ มี่เอ๋อร์ สิ่งหนึ่งที่ต้องอธิบายก็คือ ต่อให้ตอนนั้นข้าจะอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ ก็คิดหาเหตุผลจะกำจัดการแต่งงานนี้ แต่ข้าก็รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงไม่ได้มองว่าพวกนางเป็นหญิงงามคนสนิทและคิดจะแต่งเข้ามาในอนาคต ข้ารู้จักพวกนางที่งานประลองยุทธ์เมื่อปีก่อน ทว่าในยามนั้นพูดไม่ถึงสิบคำ ถือว่าเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว นึกไม่ถึงว่าในงานประลองยุทธ์เมื่อปีกลายจะได้พบกันอีกครา พวกนางเป็นผู้หญิง เป็นฝ่ายเริ่มพูดคุยกับเราก่อนหากเพิกเฉยก็ดูจะไม่ดี ส่วนมาถึงลี่โจวนั้น พวกนางตามมาเอง ข้าไม่ได้พูดเชื้อเชิญแม้แต่คำเดียว ข้าไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของพวกนาง” สิ่งที่ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้พูดก็คือ แม้จะรู้สึกดีๆ กับพวกนาง แต่โดนพวกนางเป็นฝ่ายรุกตามถึงประตูบ้านเช่นนี้ ไม่สงวนท่าทีแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ในใจของเขาในเวลานั้น ตอนนี้ก็อยู่ด้วยเช่นกัน เพียงแต่บัดนี้เขาเชื่อฟังข้อเสนอแนะของซั่งกวนฮ่าวแล้ว คือการฝังคนที่ไม่มีทางตัดใจได้ไว้ในหัวใจเท่านั้นเอง นางเป็นคนรักอิสระและสง่างามมาก บางทีอาจจะไม่สนใจคนอย่างตัวเขาเลย มิฉะนั้นจะไม่ถามแม้กระทั่งชื่อของตัวเขาเอง นับประสาอะไรกับการวิ่งไล่ตามผู้ชาย

งานประลองยุทธ์เมื่อปีกลาย? เยี่ยนมี่เอ๋อร์อิงแอบศีรษะในอ้อมแขนของซั่งกวนเจวี๋ย เพื่อที่เขาจะได้ไม่เห็นอารมณ์ที่ผันผวนในดวงตาของตน นางต้องการจะทำตามสัญญา ยังต้องการจะถามซั่งกวนเจวี๋ยว่าเกิดความรู้สึกชายหญิงกับตนหรือไม่ หลังจากได้พบโฉมหน้าที่แท้จริงอีกครั้ง นางก็เกิดความรักที่คลุมเครือกับซั่งกวนเจวี๋ย แต่ในเวลานั้นไม่ชัดเจนนัก หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าเกิดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นโดยไม่รู้ตัวแล้ว แต่เมื่อเดือนแปดปีที่แล้วท่านป้าสุขภาพย่ำแย่มากพอดี นางไม่กล้าจะจากไปแม้แต่ก้าวเดียวเลย!

“มี่เอ๋อร์…” ซั่งกวนเจวี๋ยลองร้องเรียกอีกครา เมื่อไม่เห็นนางขยับเขยื้อนเป็นเวลานาน

“แต่เหตุใดพวกนางถึงกลับมาที่จวนอีกเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดงึมงำว่า “ถ้าท่านพี่ไม่มีความรู้สึกดีๆ กับพวกนาง ผู้หญิงไม่กี่คนก็จะไม่ทำเช่นนั้น…” ไร้ยางอายสินะ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์จำต้องละเว้นคำพูดสุดท้าย การพูดออกมามันอาจไม่ได้ผลเท่ากับการไม่พูด

“หากบอกว่ายังมีความรู้สึกดีๆ อยู่ แต่ไม่ได้ลึกซึ้งถึงขนาดที่อยากให้พวกนางแต่งเข้ามา มี่เอ๋อร์ เจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าแม้พวกนางจะไม่มีความสวยงาม ความเข้าอกเข้าใจ ความอ่อนโยนเอื้ออาทรและรู้จักกาลเทศะ แต่ต่างก็มีจริตมารยาของผู้หญิง ตราบใดที่เป็นผู้ชาย เมื่อไม่เคยเห็นด้านที่ไม่ดีของพวกนาง ก็จะประทับใจในตัวพวกนาง นี่เป็นเพียงความรู้สึกง่ายๆ เท่านั้น สำหรับที่พวกนางเข้ามาในจวน นั่นเป็นความเห็นของฮูหยินใหญ่ ส่วนที่ว่าเพื่ออะไรนั้น มี่เอ๋อร์อาจจะเดาได้อยู่ในใจแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยฝืนยิ้มพูดว่า “เดิมทีข้าคิดจะส่งพวกนางออกไป ในขณะที่พวกนางยังอยู่ในเรือนหิมะสุขใจ แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างในครอบครัวหลังงานแต่ง ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็ถูกท่านย่าชิงตัดหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง ไปรับกลับมา ข้าไม่อาจส่งพวกนางไปได้ทันทีหรอก”

“ถ้าอย่างนั้น พวกนางก็เป็นแค่แขกธรรมดา ไม่ใช่หญิงงามคนสนิทของเจ้า” ใบหน้าเล็กๆ ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ซบถูกับหน้าอกของซั่งกวนเจวี๋ย นางชอบช่วงเวลาแบบนี้มาก

“แค่แขกเท่านั้น ข้าจะค่อยๆ บอกให้พวกนางรู้ว่าเราสนิทกันมากเพียงใด ไม่มีที่ว่างให้พวกนางเข้าไปแทรกแซงได้ ให้พวกนางรู้ว่ารับมือยากจะได้ถอยหนี แล้วส่งพวกนางออกไป แค่อยากให้มี่เอ๋อร์น้อยใจที่อยู่ร่วมกับพวกนาง ยิ่งมี่เอ๋อร์น้อยใจก็จะได้จัดการพวกนาง” ซั่งกวนเจวี๋ยมีแผนในใจอยู่แล้ว

“ข้าไม่ได้น้อยใจ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดด้วยรอยยิ้มกริ่มว่า “พวกนางเป็นแขก ข้าจะปฏิบัติอย่างสุภาพ” ตราบใดที่พวกนางไม่ยั่วยุ ข้าจะไม่คิดริเริ่มจัดการพวกนาง แต่พวกนางมีความอดทนแบบนั้นหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกสงสัยไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปที่เรือนมีคู่กันเถอะ” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกโล่งใจยิ่งนักที่เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนเข้าใจง่ายเช่นนี้ การมีภรรยาที่ฉลาดสุขุมและอ่อนโยนช่างดีมากทีเดียว ฉะนั้นจึงแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ คิดแล้วหัวเราะพลางกล่าวว่า “การดื่มชาผู่เอ๋อร์ที่จื่ออวิ๋นชงสักถ้วยหลังอาหารเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง มี่เอ๋อร์ ช่างโชคดีนักที่สาวใช้ข้างกายเจ้าล้วนได้รับการฝึกอบรมมาโดยเฉพาะและเชี่ยวชาญในงานฝีมือเป็นพิเศษ ข้าไม่อาจทนกับสาวใช้ที่เก่งรอบด้านแบบนั้นได้”

“ทำไมรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เมื่อนึกถึงสาวใช้เก่งรอบด้านที่สือหย่าฉีโอ้อวด

“ทำได้ทุกอย่าง สะเพร่าทุกเรื่อง ซึ่งหมายความว่าทำอะไรไม่เป็นเลย!” ซั่งกวนเจวี๋ยเคยได้สัมผัสกับรสมือการชงชาของสาวใช้ผู้เก่งรอบด้านคนนั้น และรู้สึกตกใจอย่างมาก

——————-

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset