“มี่เอ๋อร์ ทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมเสียแล้ว!” หลังจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อส่งแม่สามีลูกสะใภ้คู่นั้นกลับไปแล้ว ก็รั้งตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ข้างกาย กระนั้นพวกนางก็ไม่ได้อยู่กันในเรือน แต่อยู่ในสวนดอกไม้ของเรือนนภารองแทน หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถึงขนาดไล่สาวใช้และแม่นมข้างกายของตัวเองออกไปจนหมด ก่อนจะนั่งทั้งอย่างนั้นกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ม้าหินหน้าพุ่มดอกโบตั๋น
“มี่เอ๋อร์ไม่รู้สึกไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมอะไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ เดิมทีนางก็ไม่ได้คาดหวังมากอยู่แล้ว เกิดเรื่องเช่นนี้ จึงทำให้ผิดหวังต่อหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเล็กน้อยเท่านั้น แต่จากเรื่องนี้กลับได้รู้ถึงความห่วงใยและใส่ใจของซั่งกวนเจวี๋ยที่มีต่อตน ทั้งหลิงหลงและจิงอิ๋งที่ปกป้องและคอยเป็นห่วงเป็นใย นั่นนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างคาดไม่ถึง จึงได้ทำให้ความผิดหวังที่มีต่อหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเจือจางลงไป
“เรื่องนี้ต้องโทษข้าที่ไม่ได้ใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง หากเวลานั้นข้าคิดสักหน่อย ปรึกษากับนายท่านก่อน ก็คงไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดกับเจ้าตรงๆ ทั้งคงไม่อาจทำให้โศกเศร้าเสียใจได้!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอธิบาย ซั่งกวนฮ่าวได้ย้ำกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า ให้นางพูดเรื่องนี้กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้ดี อย่าได้ให้เรื่องนี้มากระทบความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในอนาคต และนางก็คิดที่จะอธิบายให้เยี่ยนมี่เอ๋อรเข้าใจดีๆ เช่นกัน
“แท้จริงแล้ว เหตุผลที่ข้าเสียใจก็มีอยู่อย่างเดียว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สามารถรับรู้ความจริงใจของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้ ก็ตัดสินใจจะทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเห็นถึงความจริงใจของนางบ้างเช่นกัน กล่าวด้วยแฝงความรู้สึกเสียใจเล็กน้อย “ข้าไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าข้างกายของสามีจะมีเพียงข้าอยู่คอยดูแลคนเดียว โดยทั่วไปตระกูลที่ร่ำรวยต่างก็มีความคิดที่แต่งตั้งตำแหน่งอนุภรรยาทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นฐานะของสามียังเป็นเช่นนี้อีก! เพียงแค่ ข้านึกไม่ถึงว่าวันนี้จะมาเร็วถึงเพียงนี้ ทั้งยังคาดไม่ถึงอีกว่าคนที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดจะเป็นท่าน ในใจของมี่เอ๋อร์ ท่านไม่ได้เป็นเพียงแม่สามี แต่ยังเป็นคนที่ผูกพันใกล้ชิดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่สุดในตระกูลซั่งกวนแห่งนี้ หรือบางทีอาจจะมีวันหนึ่งที่มี่เอ๋อร์รู้สึกว่าสามีมีความสนิทสนมลึกซึ้งมากกว่า แต่ยามนี้ในใจของมี่เอ๋อร์ ท่านจึงจะนับว่าเป็นคนที่สำคัญและใกล้ชิดที่สุด ข้ามักจะคิดอยู่เสมอว่า ไม่ว่าจะมีเรื่องอันใด ท่านล้วนย่อมปกป้องข้าโดยไม่มีเงื่อนไขอันใดทั้งนั้น ดังนั้น ข้าจึงได้เสียใจเช่นนี้!”
“เด็กที่น่าสงสารของข้า ล้วนเป็นแม่ที่ไม่ดี ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องเสียใจ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตบหลังมือเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างปวดใจ ก่อนจะมองดวงตาที่หายบวมแล้วของนางอีกครั้ง “แม่รับปากเจ้าว่าหลังจากนี้จะไม่มีเรื่องเช่นนี้อีก!”
“อื้อ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบรับอย่างแง่งอนเล็กน้อย ในหัวนั้นคิดไปอย่างรวดเร็ว นางไม่อาจเชื่อคำพูดของหวงฝู่เยวี่ย เอ้อได้จริงๆ แค่จากข่าวของหลิงหลงและจิงอิ๋งที่ถูกเปิดเผยออกมาก็สามารถตัดสินชี้ขาดได้แล้ว หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมีนิสัยที่ดื้อด้าน คำสัญญาของนางจะรักษาไว้ได้นานเท่าไหร่กันเชียว?
“มี่เอ๋อร์ เมื่อวานข้าคิดหนักเป็นอย่างมาก ข้าคิดว่า หากก่อนหน้านี้ข้าได้สัญญากับเจ้าว่าจะไม่แทรกแซงเรื่องรับอนุภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ย ก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเป็นแน่!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถอนหายใจ “เมื่อคืนข้ายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด ยังนึกไปถึงเรื่องที่นายท่านรับอนุภรรยาในปีนั้นขึ้นมา เวลานั้นเจวี๋ยเอ๋อร์อายุสองปีกว่า ได้หย่านมแล้ว นอกจากทุกวันก่อนจะเข้านอนจะมีคนอุ้มเขามาให้ข้าดู เวลาอื่นๆ ข้าก็ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เจวี๋ยเอ๋อร์แล้ว นี่ก็เป็นธรรมเนียมของตระกูลเก่าแก่ ไม่อาจให้ลูกชายของภรรยาเอกถูกเลี้ยงดูในมือของผู้หญิงได้ แม้กระทั่งอิงเอ๋อร์ก็เช่นกัน ข้าท้องเจวี๋ยเอ๋อร์ในยามที่เพิ่งแต่งงานมาใหม่ๆ เวลานั้นทุกคนล้วนแต่พูดว่าข้ามีวาสนาดี ภรรยาเอกที่เพิ่งแต่งเข้ามาก็ตั้งครรภ์แล้วหมายความว่าตำแหน่งในอนาคตก็จะยิ่งมั่นคงขึ้นไปอีก สามารถมีลูกชายได้ในครั้งเดียว ทำให้ข้าสามารถนั่งในตำแหน่งสะใภ้ตระกูลซั่งกวนได้อย่างไม่สั่นคลอน”
“เดิมทีท่านแม่ก็เป็นคนที่มีวาสนาดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวชื่นชม นี่เป็นความจริง ลองมองจากตระกูลใหญ่แต่ละตระกูล ผู้นำตระกูลคนไหนที่ไม่มีอนุภรรยาเจ็ดแปดบ้าน บางคนนั้นก็อยู่กับภรรยาเอกอย่างปรองดอง บางคนก็รักษาความสัมพันธ์กับภรรยาเอกอย่างให้เกียรติดั่งแขกที่มาเยือน แม้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่ได้สัมผัสมักคุ้นกับฮูหยินพวกนั้นเท่าไร แต่ก็ยังคงสามารถมองถึงเบื้องลึกเบื้องหลังออก ล้วนไม่ได้รับความรักและเอาใจใส่จากสามี แม้แต่ใบหน้าของนายหญิงของตระกูลก็ยังยากที่จะปกปิดความขมขื่น แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือความมืดมนแฝงอยู่บ้าง เพียงแต่ฮูหยินชุยคล้ายว่ายังคงได้รับความโปรดปรานอยู่ มิเช่นนั้นก็คงไม่กล้าเหิมเกริม ทั้งหลังจากก่อเรื่องเสร็จ ก็คงไม่มีคนมาจัดการเก็บกวาดให้เช่นนี้
“แต่ว่า หลังจากเจวี๋ยเอ๋อร์กำเนิด ในเวลาสองปีกว่าข้าก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด ยามนั้นก็มีข่าวลือออกมา กล่าวว่าในยามที่ข้าให้กำเนิดเจวี๋ยเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บภายใน ภายหลังจะไม่สามารถมีบุตรได้แล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อนึกถึงเวลานั้นก็ยังคงรู้สึกเสียใจ “ข้าจำได้อย่างชัดเจน นั่นเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงคืนหนึ่ง หนิงซินแต่งตัวอย่างสวยหยาดเยิ้มถูกส่งมาที่พักของข้า ยามนั้นข้ายังพักอยู่เรือนนั้นที่เจ้าอาศัย มีชื่อว่าเรือนนภารองเช่นกัน ข้าแทบจะตั้งสติไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แม่นมหนิงบอกว่าเป็นความต้องการของฮูหยินใหญ่ เวลานั้นข้าจวนเจียนที่จะแตกสลาย หลังจากแต่งงานนายท่านก็ปฏิบัติตัวดีกับข้ามาโดยตลอด ในยามที่ข้าท้องเจวี๋ยเอ๋อร์ นายท่านก็ไม่มีความคิดที่จะรับเมียบ่าวแม้แต่น้อย ท่านป้าคนนั้นของข้าพยายามส่งคนมาให้นายท่านครั้งแล้วครั้งเล่าก็ล้วนถูกปฏิเสธทั้งหมด ข้าคิดมาโดยตลอดว่า พวกเราจะสามารถเป็นคู่รักที่ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขดั่งที่ในหนังสือนั้นเขียนไว้ แต่การมาของหนิงซินก็ทำลายฝันนั้นของข้า ทั้งยังย้ำเตือนความเป็นจริงที่โหดร้ายอย่างหนึ่งให้กับข้า นั่นก็คือตระกูลซั่งกวนสามารถมีลูกจากภรรยาเอกเพียงคนเดียวได้ แต่ไม่อาจมีลูกเพียงคนเดียวได้ และข้าก็ไม่สามารถให้กำเนิดอีกแล้ว”
“ข้านั้นพาหนิงซิงไปส่งที่ห้องนายท่านด้วยรอยยิ้ม เวลานั้นนายท่านตกตะลึงเป็นอย่างมาก ยามนั้นเขาถามออกมาหนึ่งประโยค ภายหลังข้ามาพบน้องฉิงจึงค่อยเข้าใจ เวลานั้นที่นายท่านถามว่า ‘นี่เป็นการตัดสินใจของเจ้า?’ ข้าคิดว่านายท่านถามว่าข้านั้นยินยอมหรือเป็นฮูหยินใหญ่ที่บีบบังคับ ข้าจึงพยักหน้าไป คืนนั้นนายท่านก็รั้งตัวอยู่กับหนิงซิน ส่วนข้าไม่ได้นอนทั้งคืน กระทั่งแม้แต่ดวงตาก็ไม่ได้ปิดลงไปด้วยซ้ำ เพียงแค่ข้าหลับตาก็เห็นภาพนายท่านและหนิงซินกอดรัดเกี่ยวพันกัน…หนิงซินถูกรับไว้ในฐานะเมียบ่าว นายท่านไม่ให้นางรั้งตัวรับใช้อยู่ข้างกายข้า กล่าวว่าไม่อยากให้นางทำเงอะงะซุ่มซ่ามกระตุ้นโทสะข้า เวลานั้นข้าคิดว่านายท่าน ทำเพราะเอ็นดูนาง จึงเสียใจเป็นอย่างมาก ครึ่งปีหนิงซินก็เผยแพร่ข่าวดีออกมา แต่นายท่านไปห้องนางรวมๆ กันได้สามสี่ครั้งเท่านั้น ข่าวลือที่ว่าข้าไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้อีก นับวันก็ยิ่งแพร่กระจายมากขึ้น ในยามที่ข้ารับหนิงซินเป็นอนุภรรยา เพราะว่าฟังคำแนะนำของแม่นม คิดอยากจะจัดการส่งสวีเอ๋อร์ไป กลับกลายเป็นว่าน่งอวิ๋นได้ประโยชน์แทน หลังจากนั้น นายท่านก็คล้ายกับนับวันก็ยิ่งห่างข้าออกไปเรื่อยๆ”
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อนั้นคล้ายกับจะจมดิ่งลึกในอดีตที่แสนเจ็บปวด ยากที่จะดึงตัวออกมาอยู่บ้าง
“ข้าผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำผิดไปตรงไหน! มีหนิงซิน ภายหลังก็มีน่งอวิ๋น ทั้งยังหวังชิ่นเซียนตามมาอีก ในยามที่ข้าเหนื่อยล้าที่สุดอับจนหนทางที่สุดก็กลับไปยังตระกูลหวงฝู่ ขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่และพี่ชาย ระบายความทุกข์ใจและความเสียใจของข้า แต่พวกเขากลับกล่อมให้ข้าว่าควรต้องใจกว้าง ข้าไม่เข้าใจแม้แต่น้อย เหตุใดตระกูลของข้าจึงได้ลำเอียงขนาดนั้น เกลี่ยกล่อมให้ข้ามีเมตตาต่อคนอื่น แต่กลับไม่คิดปลอบประโลมข้าที่เหนื่อยล้าไปทั้งกายใจ” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยิ้มอย่างขมขื่น “เวลานั้นข้าแทบจะมีใจเพรียกหาความตาย ข้ารู้สึกว่าตัวเองได้ถูกคนทั้งหมดทอดทิ้งไปหมดแล้ว แต่ว่า ข้าไม่อาจตายได้ ในท้องของข้านั้นยังมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่!”
“ท่านแม่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กอดนางอย่างปลอบใจเบาๆ มอบความอบอุ่นให้กับนางเล็กน้อย เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะมีช่วงเวลาที่เจ็บปวดและสิ้นหวังถึงขนาดนั้นเช่นกัน
“และก็เป็นในระหว่างทางจากฝูโจวกลับไปลี่โจว เพื่อที่จะขจัดความอัดอั้นตันใจและความเจ็บปวดของข้า ในยามที่ผ่านยงโจว สวีเอ๋อร์ก็แนะนำให้ข้าไปวัดชิงสุ่ย ที่นั่น ข้าก็ได้พบกับน้องฉิงที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเผยใบหน้านึกเรื่องราวถึงอดีต “ยามนั้นข้ามองจนตะลึง คาดไม่ถึงว่าใต้หล้ายังจะมีหญิงสาวที่งดงามได้ถึงเพียงนี้ กลับเป็นสวีเอ๋อร์ที่จำแม่นมข้างกายของน้องฉิงได้”
“ที่แท้ท่านแม่ก็พบเจอกับท่านที่วัดชิงสุ่ยในยงโจวนี่เอง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พลันกระจ่างแจ้ง “ข้าไม่เข้าใจมาโดยตลอด ท่านแม่นั้นออกจากจวนน้อยครั้ง เหตุใดจึงพบกับท่านได้ ยามนี้ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว!”
“ยงโจวและอู๋โจวอยู่ใกล้กัน ตระกูลเยี่ยนก็มีกิจการที่ยงโจวเช่นกัน น้องฉิงนั้นร่วมทางไปกับพ่อของเจ้า” หวงฝู่เยวี่เอ้อ กล่าวยิ้มๆ “ข้ามักจะรู้สึกว่าน้องฉิงเป็นดาวนำโชคของข้า ครั้งแรกที่ได้พบกับน้องฉิง ข้าสามารถสลัดตัวเองพ้นจากบ่วงที่ผูกมัด ถีบตัวเองออกจากแสงสว่างที่โดดเด่นของพวกพี่ๆ ทำให้คนใต้หล้านี้เห็นถึงตัวข้า ทั้งยังได้รับความสุขที่แม้แต่จะคิดก็ล้วนไม่กล้าคิดมาก่อน ครั้งที่สอง ยามที่ข้ารู้สึกตกต่ำด้อยค่าในชีวิต ก็เป็นน้องฉิงที่ช่วยดึงข้าออกมา ทำให้ข้าได้รับชีวิตใหม่ มี่เอ๋อร์ ข้าไม่กล้าจินตนาการเลยว่า หากไม่ได้รับการชี้นำจากน้องฉิง ข้าจะเจอกับภาวะคลอดยากอีกครั้งหรือไม่ อาจจะ…”
“ท่านแม่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปัดคำที่นางอยากจะพูดออกมากลับไป
“เมื่อคืน เรื่องเหล่านั้นเอาแต่วนเวียนในใจข้า ครุ่นคิดถึงการกระทำของข้า ก็รู้สึกว่าตัวเองเดิมทีก็แทบไม่มีหน้ามาพบเจ้า!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างละอายใจ “ข้าอยากที่จะให้เจ้ามาเป็นลูกสะใภ้ของข้าด้วยใจจริง เป็นเพราะข้าเชื่อมั่นว่าเจ้าย่อมเป็นภรรยาที่ดี เป็นลูกสะใภ้ที่ดีอย่างแน่นอน ภายหลังก็ยังจะเป็นแม่ที่ดีได้ แต่ไม่ได้มีความหมายที่จะวางเจ้าไว้ข้างกาย ดูแลเจ้าอย่างดี แต่ขอเพียงแค่ยังมีข้า ก็ไม่อาจจะปล่อยให้เจ้าถูกรังแกใดๆ ได้ แต่ความเป็นจริง คนที่รังแกเจ้าเป็นคนแรกกลับเป็นข้า ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ!”
“ท่านแม่ ข้าไม่เก็บไปคิดจริงจังอยู่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สามารถมองออกถึงสำนึกผิดอย่างจริงใจของหวงฝู๋เยวี่ยเอ้อได้ และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รับปากนางด้วยสัตย์จริงเช่นกัน
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กใจกว้าง แต่ไม่อาจเพราะว่าเจ้าเป็นคนใจกว้าง ข้าก็สามารถรู้สึกสบายจนมองข้ามสิ่งที่ทำร้ายเจ้าไป มี่เอ๋อร์ ข้าไม่กล้ารับประกันว่าชั่วชีวิตนี้ของเจวี๋ยเอ๋อร์จะไม่รับอนุภรรยา ไม่รับเมียบ่าว แต่ข้าอยากให้เจ้ามั่นใจ ข้าไม่อาจสนับสนุนให้เจวี๋ยเอ๋อร์รับผู้หญิงคนอื่น ทั้งไม่อาจส่งคนไปยังห้องของเจวี๋ยเอ๋อร์แน่ นี่เป็นคำสัญญาที่ข้ามอบให้เจ้าโดยไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดไป” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านแม่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า ร้องเรียกอย่างซาบซึ้งใจ แทบจะพูดไม่ออก เพียงแต่โอบกอดหวงฝู่เยวี่ยเอ้อแน่นขึ้นไปอีก หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ตบหลังนางอย่างเข้าใจ รับรู้ความรู้สึกได้โดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ยังมีความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ อย่างใดกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ หลังจากได้ฟังคำสัญญานี้ของนางแล้ว ความไม่พอใจพวกนั้น พริบตาเดียวก็ล่องลอยเลือนหายไป ถึงขนาดที่ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกขอบคุณแม่สามีและลูกสะใภ้ตระกูลชุยขึ้นมา หากไม่เป็นเช่นนี้ ก็คงไม่อาจทำให้ได้รับคำสัญญาจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อตรงๆ เช่นนี้ได้ เปรียบเทียบกันแล้ว แม้แต่เรื่องที่นางหยั่งเชิงพวกซั่งกวนเจวี๋ยต่อความรู้สึกที่มีต่อนางก็ล้วนกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นคาดการณ์มาก่อนแล้วว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออาจจะกล่าวขอโทษ แสดงท่าทีที่ดี ทั้งยังอาจจะมอบของขวัญให้นางเล็กน้อย แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะให้สัญญาและรับปากนางเช่นนี้ ทำให้นางคล้ายกับได้กินยาที่ทำให้รู้สึกสงบใจลงไป นางไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะเป็นฝ่ายรับอนุภรรยาในระยะเวลาอันสั้นนี้ และในภายหลังก็ยิ่งไม่กังวล…หากว่าปีสองปีนี้ล้วนไม่ได้จับซั่งกวนเจวี๋ยอยู่หมัดได้ ทำให้เขาหลงใหลอาลัยอาวรณ์ไม่ได้ล่ะก็ สิ่งที่นางต้องทำนั้นไม่ใช่ให้ซั่งกวนเจวี๋ยมาชอบนาง แต่ควรจะตรึกตรองดีๆ ว่าตัวเองมีตรงไหนที่ไม่ดี สิ่งที่นางกังวลก็คือการแทรกแซงของผู้อาวุโส ผู้ใหญ่มอบของให้ย่อมไม่กล้าปฏิเสธ ผู้อาวุโสของตระกูลเก่าแก่ล้วนแต่คาดหวังให้ข้างกายของผู้นำตระกูลมีคนที่ตัวเองสามารถเชื่อใจได้คนหนึ่ง ตระกูลซั่งกวนก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกโชคดีเป็นอย่างมากก็คือ ตระกูลซั่งกวนปฏิบัติเรียบง่ายต่อคนในบ้าน มีเพียงผู้อาวุโสสามคนที่สามารถทำเรื่องเรื่องนี้ได้ คนอื่นๆ ล้วนไม่ควรค่าที่ต้องเป็นกังวล
ซั่งกวนฮ่าวไม่อาจแทรกแซงเรื่องนี้อย่างง่ายดายแน่นอน คนผู้นั้นรู้จักเคารพความคิดของลูกชายเป็นอย่างมาก ไม่อาจทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้ ทั้งยังเป็นเรื่องที่ล่วงเกินต่อลูกสะใภ้ ส่วนหวงฝู่เยวี่ยเอ้อนั้น แม้ว่าจะดีต่อตน แต่เอาแน่เอานอนกับความหูเบาของนางไม่ได้ นางถึงขนาดรับอนุภรรยาเพื่อสามีมาแล้ว แล้วเหตุใดจะรับอนุภรรยาให้ลูกชายไม่ได้เล่า? แต่ยามนี้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นฝ่ายเอ่ยปากละทิ้งอำนาจเช่นนี้ไป เช่นนั้นนางก็เพียงต้องเตรียมการป้องกันกับฮูหยินใหญ่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเท่านั้นก็พอแล้ว แต่ว่า…
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่พิงหวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกกังวลอยู่บ้าง เดิมทีคิดที่จะให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อและทั่วป๋าซู๋เยวี่ยต่อสู้กันสักฉาก แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับทำเช่นนี้อย่างกะทันหัน หากยังวางหลุมพรางให้นางก็จะเหมือนกับไม่เห็นใจคนอื่นเกินไป อย่างไรก็ถอยออกมาดูสถานการณ์ ค่อยลงมือจัดการตามนั้นเถิด! ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะใช้เล่ห์กลอย่างไรกัน? นางนั้นตั้งตารอคอยอยู่บ้าง…
———————————————–