แม้ว่าอยากจะ ‘รังแก’ เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก แต่เมื่อนึกไปถึงความลำบากของทั้งวัน ทั้งกายและใจของนางต้องแบกรับการทดสอบและความกดดันต่างๆ นานา ซั่งกวนเจวี๋ยจึงทำได้เพียงกอดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ในอ้อมอก ล่วงสู่นิทราอย่างไร้ซึ่งกังวล เมื่อตื่นนอนขึ้นมาอีกวัน คนทั้งสองก็ล้วนรู้สึกอิ่มเอมกระปรี้เปร่าขึ้นมา
ยามเช้าของเรือนพำนักกลางหุบเขานับว่าสดชื่นเป็นอย่างมาก ดวงอาทิตย์ที่เริ่มเคลื่อนสู่ท้องฟ้าสาดแสงแรกระยิบระยับผ่านหมอกหนาในยามเช้า ทำให้อากาศที่เย็นชื้นอยู่เล็กน้อยเย็นสบายขึ้นมาเป็นพิเศษ พาเอากลิ่นของดินโคลน ต้นไม้ใบหญ้า รวมถึงน้ำค้าง เข้าสู่ปอดด้วยความสดชื่น แลกเปลี่ยนอากาศเสียในร่างกายออกมา ทำให้คนตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสบายกายสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
ภายใต้แสงรุ่งอรุณที่สาดส่อง หลังจากร่วมกินอาหารเช้ากับผู้อาวุโสที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีไม่กี่คนแล้ว ในที่สุดคนกลุ่มนั้นก็พากันเดินทางออกไปจากเรือนพำนักอวี้ฉิง กลับมาถึงตระกูลซั่งกวนด้วยความเปรมปรีดิ์ ผู้ที่มาต้อนรับพวกเขาก็คือหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าข้านั้นตาดี จึงเลือกมี่เอ๋อร์ที่เพียบพร้อมมาให้เจวี๋ยเอ๋อร์และตระกูลซั่งกวน!” ในยามที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อนั่งลงในห้องโถงหลักของเรือนนภาก็ยังไม่หุบยิ้ม นั่นทำให้แม่ลูกหนิงซินรู้สึกขัดหูขัดตาไม่หยอก เห็นได้ชัดว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยคาด การณ์ไว้ตั้งนานแล้วว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนั้น รีบแจ้งกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อล่วงหน้า กล่าวว่าร่างกายของตนเองไม่ค่อยดี จะไม่เข้ามาต้อนรับพวกเขา ทั้งไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาเข้ามาทักทายเช่นกัน
“มี่เอ๋อร์นั้นประพฤติดีมาโดยตลอด แต่เรื่องที่สามารถทำให้เหล่าผู้อาวุโสชื่นชอบได้ถึงเช่นนี้ยังนับว่าเหนือความคาดหมายของข้า!” ซั่งกวนฮ่าวยิ้มทั้งพยักหน้า แทบไม่ได้สนใจผู้คนที่รู้สึกไม่ชอบใจแม้แต่น้อย
“ข้าว่าควรจะทยอยนำเรื่องต่างๆ ในจวนมอบหมายให้มี่เอ๋อร์เป็นคนดูแลได้แล้ว เอาแต่สร้างความเหน็ดเหนื่อยให้น่งอวิ๋นอยู่เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร!” เห็นได้ชัดว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออยากจะดึงตัวอนุภรรยาออกมาทั้งเดี๋ยวนั้น ไม่ให้นางได้มีอำนาจควบคุมอันใดอีก
“บ่าวไม่รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย!” อนุภรรยาอู๋ทำได้เพียงกัดฟันกล่าวอย่างชิงชัง แต่ก็ไม่กล้าพูดว่าจะไม่วางมือเช่นกัน บ่าวที่ใช้ในจวนก็ล้วนแล้วแต่เป็นบ่าวเรือนเบี้ยของตระกูลซั่งกวน ส่วนมากต่างก็รู้ถึงเรื่องนี้ ทั้งเบื้องหลังความนัยของเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน…ถึงแม้จะไม่รู้ ก็จะถูกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อให้คนป่าวประกาศอยู่ดี บ่าวใช้พวกนี้คุ้นชินที่จะแล่นเรือไปตามลม พวกบ่าวที่ยังคงมีอคติหรือดูแคลนเยี่ยนมี่เอ๋อร์เหล่านั้นย่อมเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แม้ว่าจะไม่อาจพูดได้อย่างเต็มปากว่าสะใภ้ใหญ่ผู้นี้เป็นคนดี แต่ก็ย่อมไม่อาจพูดว่านางไม่ดีหรือพูดเสียหายอะไรออกมาแน่นอน
“ใครห่วงว่าเจ้าจะเหนื่อยหรือไม่เหนื่อยกัน? แค่พูดตามมารยาทเท่านั้น เจ้าก็คิดไปเองแล้วว่าตัวเองนั้นยอดเยี่ยมเหนือผู้ใดแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อชำเลืองมองอนุภรรยาอู๋อย่างไม่พอใจ กล่าวอย่างเยือกเย็น “สิ่งที่ข้ากังวลก็คือชื่อเสียงของตระกูลซั่งกวนต่างหาก ก่อนหน้านี้ที่มี่เอ๋อร์ยังไม่เข้าตระกูล ฮูหยินใหญ่และข้าไม่พร้อมที่จะดูแลจัดการ จำใจต้องให้เจ้ามาดูแลเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง ทำให้คนที่รู้เรื่องขบขันไปเสียแล้ว ยามนี้มี่เอ๋อร์ได้เข้าตระกูลมา ทั้งยังเข้ากราบไหว้บรรพบุรุษที่ศาลบรรพชนแล้ว ตามหลักก็ควรให้มี่เอ๋อร์ดูแลเรื่องภายในตระกูลได้แล้ว ไม่อาจทำให้ผู้อื่นคิดไปได้ว่ามี่เอ๋อร์ไม่มีความสามารถจะจัดการงานบ้านงานเรือน นายท่าน ท่านว่ามีเหตุผลหรือไม่?”
อนุภรรยาอู๋กัดฟันจนฟันแทบจะหักอยู่รอมร่อ ก้มหน้าต่ำ เผยท่าทีที่น่าสงสารยิ่ง ซั่งกวนเจวี๋ยประกายสายตาเหยียดหยามและรังเกียจผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางเช่นนั้นทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างกระตุกในใจเล็กน้อย ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นท่าทางที่จงใจแสร้งทำเป็นอ่อนแอเช่นนี้จนชินแล้ว ย่อมไม่พอใจอย่างถึงที่สุด หลังจากนี้ตัวเองต้องจำไว้ให้ดี อย่าได้ให้เขาเกิดท่าทีเช่นนี้ออกมาเด็ดขาด
“เจ้าพูดไม่ผิด!” ซั่งกวนฮ่าวพยักหน้า กล่าวทั้งยิ้มๆ “แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ต้องจำเป็นต้องรีบ รอสักพักแล้วค่อยว่ากันเถิด!”
อนุภรรยาอู๋ดีใจขึ้นมา แม้จะพูดว่าเรื่องนี้ไม่เร็วก็ช้าต้องอยู่ในกำมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่สำหรับนาง สามารถถ่วงเวลาออกไปได้หนึ่งวันก็นับเป็นเรื่องดี ทั้งยังสามารถให้นางเตรียมจัดการอะไรบางอย่างได้
“ทำไมล่ะ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่พอใจ อยากจะให้วันนี้มาถึงโดยเร็ว ทำให้อนุภรรยาอู๋ไม่อาจควบคุมเรื่องอะไรได้ซะเดี๋ยวนี้
“งานชมดอกบัวในเดือนหกยังมีเรื่องต้องให้จัดการอีกมากมาย เรื่องนี้ก็ให้มี่เอ๋อร์เป็นคนดูแลเสีย!” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวทั้งเผยยิ้ม “แม้จะพูดว่างานชมดอกบัวในปีนี้อาจจะเงียบเหงากว่าปีที่แล้วไปบ้าง แต่ก็พูดยากอยู่เหมือนกัน มี่เอ๋อร์ต้องควบคุมดูแลเรื่องเช่นนั้น ย่อมไม่อาจมีเวลาปลีกตัวไปจัดการเรื่องอย่างอื่น จะเหนื่อยเอาได้!”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อครุ่นคิดอย่างละเอียด แม้ว่างานชมดอกบัวจะเป็นงานที่คุ้นชิน ทั้งยังมีขั้นตอนที่ตายตัว แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องรับมือกับเรื่องทั้งหมดทั้งมวล ทั้งการจะสามารถทำให้งานดำเนินอย่างราบรื่นยังคงจำเป็นต้องใช้เวลาและความพยายามเป็นอย่างมาก เทียบกับการดึงตัวอนุภรรยาอู๋ออกมาให้เร็วที่สุดแล้ว มี่เอ๋อร์สามารถสร้างความเชื่อมั่นหยั่งลึกในตระกูลซั่งกวนย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า งานชมดอกบัวก็เป็นโอกาสที่ยากจะได้รับถึงเพียงนี้ แม้ว่าจะไม่เต็มใจเท่าไร แต่หลังจากชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบทั้งสองอย่างแล้ว หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ยังคงพยักหน้า เห็นด้วยกับการจัดการและการตัดสินใจของซั่งกวนฮ่าว
อนุภรรยาอู๋ไม่ได้มีความคิดเห็นใดหรือไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้ แม้ว่านางจะมีส่วนร่วมในงานชมดอกบัวของทุกปี แต่ผู้ควบคุมที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นซั่งกวนจิ่น เรื่องที่นางสามารถสอดมือได้นั้นมีไม่มาก ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากกับนาง เทียบกับงานภายในตระกูลก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมายถึงขนาดนั้น แต่ว่าในใจของนางก็ได้เตรียมรับมือกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากขึ้นไปอีก รอจนงานชมดอกบัวสิ้นสุดแล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็จะสอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในตระกูล เวลานั้นนางควรจะจัดการอย่างไร? ยังมีอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่เดิมทีก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากซั่งกวนเจวี๋ย ยามนี้สองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวอย่างกับอะไรดี นางยังจะสามารถฝืนดิ้นรนออกจากโชคชะตาของเมียบ่าวได้หรือไม่ ให้ซั่งกวนเจวี๋ยได้ตระหนักถึงการมีอยู่ของนาง? อนุภรรยาอู๋หลุบตาต่ำ ปิดบังแววตาที่เต็มไปด้วยแผนการเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาสำคัญที่จะต้องละทิ้งความแค้นทั้งหมดกับคนเหล่านั้น ร่วมมือต่อกรกับเรื่องราวนี้อย่างจริงจังเสียแล้ว!
งานชมดอกบัว? เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอาแต่ฟังอย่างเงียบเชียบ งานชมดอกบัวนั้นนางมีความประทับใจอยู่บ้าง นั่นล้วนเป็นเพราะหลิงหลงเปิดเผยให้นางฟังอย่างบังเอิญ งานชมสิบสองบุปผานั้นมีมานานแล้ว ผู้ที่เข้าร่วมก็ล้วนแต่เป็นหญิงสาวตระกูลเก่าแก่ที่สูงส่งและบุตรีของขุนนางที่มีอำนาจในราชสำนัก คนทั่วไปแม้ว่าจะรับรู้ แต่ก็ไม่มีโอกาสให้เข้าชม หนึ่งฤดูของทุกเดือนจะมีเทพธิดาแห่งดอกไม้ หนึ่งครั้งของทุกเดือนจะมีงานชมบุปผา งานชมสิบสองบุปผานี้ แทนที่จะพูดว่ามาชื่นชมดอกไม้ มิสู้กล่าวว่าเพื่อให้สตรีตระกูลสูงส่งที่เข้าพิธีปักปิ่นแล้วได้มีโอกาสแสดงตัว ให้ชื่อเสียงของนางได้ประจักษ์ระหว่างตระกูลเก่าแก่ไปทั่ว เพื่อวางรากฐานในการแต่งงานมากกว่า
งานชมสิบสองบุปผานี้แบ่งเป็นงานชมดอกเหมยของตระกูลเสียนหยางอิ๋ง งานชมดอกกล้วยไม้ของตระกูลไคหยางหวัง งานชมดอกท้อของตระกูลฉีแห่งอวิ๋นโจว งานชมดอกสาลี่ของตระกูลฮั่วแห่งหยางโจว งานชมดอกโบตั๋นของตระกูลหลี่แห่งลั่วหยาง งานชมดอกบัวของตระกูลซั่งกวนแห่งลี่โจว งานชมดอกฉัตรทองของตระกูลจ้าวแห่งอี้โจว งามชมดอกกุ้ยฮวาของตระกูลชุยแห่งจือหยาง งานชมดอกเบญจมาศของตระกูลหวงฝู่แห่งฝูโจว งานชมดอกฝูหลงของตระกูลมู่หรงแห่งโยวโจว งานชมดอกสุ่ยซาน[1]ของตระกูลทั่วป๋าแห่งเหยี่ยนโจว และงานชมดอกฉาฮวา[2]ของตระกูลหยางเชื้อพระวงศ์แห่งเซิ่งจิง
งานชมบุปผาของทุกครั้งล้วนมีสาวงามมารวมตัว สตรีตระกูลสูงส่ง คุณหนูตระกูลเก่าแก่ที่มีชาติกำเนิดขาวสะอาด จอมยุทธ์หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นสิบสาวงามแห่งยุทธภพ ทั้งสาวงามที่ยังไม่ได้ออกเรือนในตระกูลขุนนางของเซิ่งจิง…พวกนางล้วนแต่คว้าโอกาสนี้ เพื่อช่วงชิงอนาคตที่ดีให้กับตนเอง
ในทางกลับกัน เมื่อมีหญิงงามโดดเด่นมากมาย ลูกหลานตระกูลเก่าแก่ ชายหนุ่มรูปงามมากความสามารถ จอมยุทธ์แห่งยุทธภพ ลูกผู้ลากมากดีที่ทำตัวเสเพล…ก็ปะปนกันไปเช่นกัน บางคนก็ปรารถนาภรรยาที่รักชอบพอกัน มีฐานะทัดเทียมกัน บางคนก็อยากจะหาอนุภรรยาที่รูปลักษณ์โดดเด่น ตระกูลธรรมดา บางคนก็มาเพียงชมสาวงาม หรือพบเจอหญิงสาวที่อยู่คนเดียว ไม่สนว่าฐานะจะเป็นเช่นไร ก็เกี้ยวพานหยอกล้อไปทั่ว และแน่นอนว่าย่อมมีจอมยุทธ์ที่สวมบทมาเป็น ‘วีรบุรุษช่วยหญิงงาม’ ด้วยเช่นกัน
งานชมดอกบัวในปีนี้ทุกคนล้วนแต่มีลางสังหรณ์ รู้สึกว่าจะไม่ได้คึกคักดั่งเช่นปีก่อน แม้ว่าจะไม่อาจลดมาตรฐานลงได้ แต่เมื่อคนที่มาลดน้อยลงไปมาก กลับกัน ปัญหาต่างๆ ก็จะน้อยลงไปเช่นกัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เคยควบคุมงานใหญ่เช่นนี้มาก่อน ครั้งแรกได้เจอกับสถานการณ์เช่นนี้จึงนับว่าโชคดี นางย่อมสามารถดูแลออกมาได้ดีเป็นแน่ ในยามที่จะจัดงานขึ้นปีหน้าก็คงจะชำนาญลู่ทางแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อหรือซั่งกวนฮ่าวก็ล้วนหวังให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์สามารถมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ทั้งสามารถรับผิดชอบงานในปีนี้ได้
“งานชมดอกบัวก็นับว่าเป็นงานใหญ่ที่สำคัญงานหนึ่งของตระกูลซั่งกวนในทุกปี ย่อมไม่ใช่เพียงการมาเที่ยวชมดอกไม้ก็แล้วเสร็จไป สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือจากงานชุมนุมที่ยากจะมีโอกาสเช่นนี้ ต้องดูว่าแต่ละตระกูลนั้นมีคนที่ใบหน้าค่าตาไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้นบ้างหรือไม่ ผู้ที่เก่งกาจในนั้นจะสามารถพาการเปลี่ยนแปลงมาได้หรือเปล่า” ซั่งกวนฮ่าวมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่นิ่งเงียบไป รู้สึกชื่นชมนางที่สามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ตกใจ แม้จะไม่รู้ว่านางวางแผนอะไรแล้วหรือไม่ แต่เมื่อไม่ได้ถามจ้อกแจ้กจอแจ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนๆ นี้ถูกอบรมเลี้ยงดูมาแตกต่างจากคนอื่น
“หลายปีมานี้งานชมดอกบัวล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของน้องจิ่นทั้งสิ้น แม่ของเจ้าและน่งอวิ๋นต่างก็ช่วยน้องจิ่นแบ่งรับผิดชอบงานแต่ละส่วนไป ปีนี้ให้น้องจิ่นมอบให้เจ้าเป็นคนดูแล มีตรงไหนไม่เข้าใจ ถามเขาไปตรงๆ ก็พอแล้ว เยวี่ยเอ้อ ถึงเวลานั้นอย่างไรก็ออกหน้าจัดการอะไรเล็กน้อย ส่วนน่งอวิ๋นวางมือเสีย ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น” ซั่งกวนฮ่าวแจกแจงหน้าที่อย่างละเอียด
“เข้าใจแล้ว!” ไม่ว่าความเกลียดชังในใจจะมีเท่าไร อนุภรรยาอู๋ก็ยังคงรับคำสั่งอย่างนอบน้อม แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยคัดค้านการตัดสินใจใดต่อหน้าซั่งกวนฮ่าวทั้งนั้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนลุงจิ่นแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังไม่ทันพูดอะไร ซั่งกวนเจวี๋ยก็เผยยิ้มกล่าวกับซั่งกวนจิ่นที่ตามอยู่ด้านหลังพวกเขามาโดยตลอด ความเอาใจใส่เช่นนั้นทำให้สองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวยิ้มให้แก่กัน
“เป็นเรื่องที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” ซั่งกวนจิ่นตอบกลับอย่างเรียบง่ายหนึ่งประโยค ไม่ช่วยได้หรือ? อย่าพูดเลยว่าเพราะรู้สึกดีกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาอย่างช้านาน เพียงแค่เรื่องบุญคุณที่นางพาตัวหลิงลี่ เด็กคนนั้นไปเรียนที่สำนักดรุณีในเซิ่งจิงกับคุณหนูทั้งสองได้ ก็ต้องตอบแทนน้ำใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้มากที่สุดแล้ว เพียงแต่ในช่วงเวลาสิบวันสั้นๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็สามารถจัดการเรื่องราวต่างๆ ในครัวได้เป็นอย่างดี เวลาครึ่งเดือนก็ดูแลคลังสินค้าได้แล้ว เช่นนั้นการรับช่วงต่องานชมดอกบัวก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร จุดนี้เขายังคงเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก
“เจวี๋ยเอ๋อร์อย่าได้กังวล งานชมดอกบัวนั้นมีขั้นตอนที่ตายตัวอยู่แล้ว ขอเพียงแค่มี่เอ๋อร์เข้าใจในความสัมพันธ์ของตระกูลต่างๆ ระมัดระวังพวกที่ชอบก่อเรื่องทะเลาะวิวาท หรือให้ความสำคัญกับคนหน้าใหม่ที่ปรากฏตัวก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนขนาดนั้น!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างรวบรัด “แต่ไหนแต่ไรมี่เอ๋อร์ก็เป็นคนที่ไม่เคยทำให้ใครหนักใจ ทั้งยังสามารถเข้าอกเข้าใจคนอื่น ไม่อาจเกิดปัญหาใดอย่างแน่นอน”
“จริงสิ! งานชมดอกบัวทุกปีล้วนมีบันทึกอยู่ หลังจากข้ากลับไปจะนำบันทึกพวกนั้นไปให้สะใภ้ใหญ่ดู คุณชายใหญ่วางใจได้” ซั่งกวนจิ่นนั้นยินดีที่ได้เอาภาระออกไปจากตัว ตัวเขาก็มีเรื่องมากมายที่ต้องทำอยู่แล้ว สามารถผ่อนคลายได้เล็กน้อยก็นับเป็นเรื่องดี
“ข้าก็ยังไม่วางใจอยู่ดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยจงใจถอนหายใจออกมา กล่าวมองไปทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “ลุงจิ่นอย่าได้ถูกท่าทีที่ดูหลักแหลมของนางหลอกเอาเชียว เดิมทีนางก็มีนิสัยเด็กๆ ไร้เดียงสาทั้งยังมึนๆ เบลอๆ ทำอะไรไม่ถูกไปอยู่บ้าง ใครจะรู้ว่าบางทีจู่ๆ อาจจะสะเพร่า ทำเสียเรื่องเอาได้! เฮ้อ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้คนวางใจไม่ลงจริงๆ…”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้ออดหัวเราะออกมาไม่ได้ กล่าวทั้งยิ้มๆ “มี่เอ๋อร์มึนๆ เบลอๆ ทำอะไรไม่ถูกตรงไหนกัน ข้าว่าเจ้าเองที่ใส่ร้ายผู้อื่นเสียมากกว่า มี่เอ๋อร์ อย่าได้เอาแต่ตามใจเขาไปทุกเรื่อง ยามที่ควรสั่งสอนก็อย่าได้ใจอ่อน หากต้องการความช่วยเหลือก็เรียกออกมา ข้าจะหนุนหลังให้เจ้าเอง!”
ในยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยจงใจกล่าวโทษนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็หน้าแดงไปตั้งนานแล้ว ได้ยินคำพูดของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ยิ่งเขินอายมากขึ้นไปอีก กลอกตามองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างหงุดหงิด นี่เขาเอาอะไรมาพูดกัน
เห็นท่าทีของสองสามีภรรยาที่หยอกล้อและสนิทสนมกัน ซั่งกวนฮ่าวและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ส่งสายตาชื่นใจให้แก่กัน คล้อยหลังจู่ๆ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็นึกถึงปัญหาที่สำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้…ถ้าหากยามนี้หลานของนางอยู่ในท้องของมี่เอ๋อร์แล้วจะทำอย่างไรเล่า? ไม่อาจทำให้มี่เอ๋อร์เหนื่อยได้เชียว!
“ไอหยา…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อร้องออกมา “พรุ่งนี้ให้ท่านหมอมาจับชีพจรให้มี่เอ๋อร์ หากมี่เอ๋อร์มีเด็กก็ไม่อาจปล่อยให้ทำงานหนักได้!”
“ท่านแม่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ร้องเรียกออกมาอย่างเขินอาย นางและซั่งกวนเจวี๋ยเพิ่งจะร่วมห้องเคียงหมอนไม่พ้นสามสี่วันดี จะท้องเร็วถึงขนาดนั้นได้อย่างไร? และแม้ว่าจะมี ก็ย่อมมองไม่ออกอย่างแน่นอน!
“อย่าได้อายไป นี่เป็นเรื่องใหญ่!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเห็นได้ชัดว่าไม่ทันได้ดึงสติกลับมา คิดเพียงว่านางนั้นเขินอาย
“แค่กๆ…” หลังจากซั่งกวนฮ่าวรับรู้ถึงสายตาขอความช่วยเหลือจากลูกชายที่ส่งมา ก็ไม่ดูเรื่องสนุกนี้อีก กระแอมไอขึ้นมาสองครั้ง “เยวี่ยเอ้อ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบ เจวี๋ยเอ๋อร์เพิ่งจะร่วมห้องกัน รอสักระยะหนึ่งค่อยให้หมอเข้าจวนมาตรวจชีพจร ยามนี้ยังไม่ถึงเวลา!”
“อย่างนั้นหรือ…” ในที่สุดหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็คิดขึ้นมาได้ว่าเรื่องนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป ถอนหายใจอย่างผิดหวังออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้คนเขินอายออกมาอีกแล้ว…
——————————–
[1] ดอกสุ่ยซาน คือ ดอกดารารัตน์
[2] ดอกฉาฮวา คือ ดอกคามิเลีย ดอกไม้เมืองหนาวที่มีรูปร่างคล้ายดอกกุหลาบ มีหลากหลายสีทั้งแดง ขาว ชมพู
Related