“ได้ยินข่าวกันหรือไม่? ที่สะใภ้ใหญ่ลงมืออย่างเหี้ยมโหดกับสหายของคุณชายรองพวกนั้นก่อนจะส่งออกจากจวนไป?” พวกสาวใช้ยังคงชอบที่จะซุบซิบนินทาเรื่องของเจ้านาย และเรื่องครั้งนี้ก็ทำให้พวกนางคึกครื้นและสนุกปากเป็นอย่างมาก
“จะไม่รู้ได้อย่างไร?” สาวใช้คนแรกกล่าวทั้งกระโดดโลดเต้น “พวกเจ้าคงไม่รู้ ลงมืออย่างหนำใจเชียวล่ะ! คุณชายพวกนั้นอยู่เรือนเหนือไม่ถึงห้าวันก็ทำเอาเหล่าสาวใช้พากันเกลียดชัง! แต่ละคนล้วนเป็นพวกลามกบ้ากาม ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณชายรองจึงคบค้าสมาคมกับคนเช่นนี้ได้ ข้ามีญาติผู้น้องที่ทำงานที่เรือนเหนือคนหนึ่ง หลังจากรู้เรื่องนี้ก็แทบที่จะไปโขกศีรษะขอบคุณต่อหน้าสะใภ้ใหญ่แล้ว!”
“พวกเจ้าคงจะไม่เห็นว่าตอนที่คุณชายหน้าไม่อายพวกนั้นถูกคนของพ่อบ้านส่งกลับเรือนเหนือไปมีสภาพทุลักทุเลถึงขนาดไหน…” สาวใช้คนที่สองกล่าวอย่างออกรส “พากันตัวสั่นงันงก เลอะแป้งไปทั่วทั้งตัว เดินไปน้ำสกปรกก็ไหลย้อยเป็นทาง ทำเอาพวกสาวใช้ที่รับผิดชอบทำความสะอาดทั้งด่าไปหัวเราะไป คึกคักเป็นที่สุด!”
“สมน้ำหน้า! รนหาที่ตายเองจริงๆ! เป็นเพียงลูกอนุภรรยาเท่านั้นกลับกล้าเหิมเกริมไม่เกรงกลัวอะไร ไม่คิดเสียบ้างว่าที่นี่คือตระกูลซั่งกวน ไม่ใช่ที่ที่พวกเขาจะมาทำตัวเป็นอันธพาลได้! พวกเจ้าน่าจะไม่รู้ พอพวกเขาเห็นสะใภ้ใหญ่ก็คิดอกุศล ข้ามีน้องสาวทำงานอยู่ที่เรือนมีคู่คนหนึ่ง นางบอกว่าพวกเขาถือเครื่องประดับติดไม้ติดมือไปเอาใจสะใภ้ใหญ่ ผลลัพธ์สะใภ้ใหญ่กลับเรียกคนมาจัดการ!” สาวใช้คนที่สามกล่าวอย่างโมโห “น่าเสียดายที่สะใภ้ใหญ่ลงมือเบาไปหน่อย ไม่ได้ตีขาพวกเขาให้ขาดเสีย!”
“ข้าว่าพวกเจ้าถูกสะใภ้ใหญ่หลอกลวงเอาเสียแล้ว!” สาวใช้คนที่สี่มองสาวใช้พวกนั้นอย่างเรียบเย็น แสดงท่าทีแปลกแยกออกไป “พวกเจ้าลองคิดดู คุณชายพวกนั้นกินอิ่มนอนหลับแล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำอย่างนั้นรึ? เหตุใดพวกเขาจึงต้องวิ่งหน้าตั้งไปเรือนมีคู่ทั้งยังเอาเครื่องประดับเพชรนิลจินดาไปด้วย? ข้าว่านะ คงต้องมีอะไรมากกว่านั้น!”
“ความงามล่มเมืองของสะใภ้ใหญ่ ไม่ว่าใครต่างก็รู้ทั่วกันทั้งนั้น!” สาวใช้ตัวน้อยตอบกลับอย่างใสซื่อ บางคนก็เห็นด้วยทั้งบางคนก็มีท่าทีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
“โง่นัก! เจ้าไม่ลองคิดดูบ้าง สะใภ้ใหญ่ในตอนงานชมดอกบัวล้วนสวมผ้าคลุมปิดหน้า กล่าวว่าหน้าตาสะสวย แต่มีกี่คนที่เคยเห็นกัน คุณชายพวกนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เคยพบสะใภ้ใหญ่มาก่อน นี่ก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว!” สาวใช้คนที่สี่ใช้นิ้วโป้งจิ้มหน้าผากสาวใช้คนนั้นไปอย่างแรง
“จริงด้วย!” สาวใช้ตัวน้อยเมื่อถูกชี้ทางก็พยักหน้า ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะเคยพบสะใภ้ใหญ่มาก่อนเช่นกัน?
“หากพวกเขาเพียงแค่เคยได้ยินมาล่ะ?” สาวใช้คนที่สามโต้แย้ง “แต่ไหนแต่ไรสะใภ้ใหญ่ก็ไม่ใช่ประเภทที่จะเข้าไปยุ่งย่ามกับผู้คน แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาเคยพบสะใภ้ใหญ่?”
“ข้าต้องรู้สิ!” สาวใช้คนที่สี่กวาดสายตามองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง “ก็ก่อนวันที่คุณชายพวกนั้นจะถูกตี ฮูหยินใหญ่รู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง สะใภ้ใหญ่จึงเข้าไปเยี่ยมเยือน ทั้งอยู่กับฮูหยินใหญ่จนถึงเวลาอาหารเที่ยง ฮูหยินใหญ่รั้งตัวนางให้ทานข้าวด้วยกัน แต่นางกลับปฏิเสธผู้อาวุโสอย่างไม่ไว้หน้า ทั้งยังไล่เกี้ยวที่คอยอยู่ไป ก่อนจะค่อยๆ พาพวกสาวใช้เดินกลับไป ผลปรากฏว่าระหว่างทางได้พบเข้ากับคุณชายสำมะเลเทเมาพวกนั้น เวลานั้นก็ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง แต่พอเช้าตรู่ของวันที่สอง ก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นทันที ข้าว่า คุณชายพวกนี้ต้องถูกยั่วยวนอะไรแน่ๆ จึงได้ไปหาถึงหน้าประตูขนาดนั้น!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” สาวใช้คนที่ห้าร้องเสียงหลงอย่างตกใจ อย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ “คุณชายใหญ่ดีต่อสะใภ้ใหญ่ถึงเพียงนั้น นางจะทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน ย่อมเป็นเจ้าที่พูดจาเหลวไหล!”
“พวกเจ้าไม่ลองคิดดูบ้าง แม้ว่าคุณชายพวกนั้นจะเป็นพวกไม่มีความสามารถอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่อาจโง่งมได้ถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง! รู้ว่าที่นี่คือตระกูลซั่งกวนยังกล้าไปถึงเรือนมีคู่ มีชีวิตอยู่พอแล้วจึงรนหาที่ตายอย่างนั้นรึ?” สาวใช้คนที่สี่กล่าวเสียงเย็น “อีกอย่าง สะใภ้ใหญ่ยังเป็นคนที่เก่งกาจคนหนึ่ง! พวกคุณหนูหวงทั้งสามพำนักอยู่ที่เรือนใต้มากว่าครึ่งปี คนที่แม้จะข้ามปีก็ยังรั้งอยู่ในตระกูลซั่งกวนไม่ไปไหนอย่างพวกนาง พอสะใภ้ใหญ่เข้าตระกูลมา พวกนางกลับยอมไปแต่โดยดี ทั้งอนุภรรยาอู๋ที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องภายในมาหลายปี สะใภ้ใหญ่แทบไม่ได้ปริปากอันใดก็รับช่วงต่ออนุภรรยาอู๋ได้อย่างสบายๆ ตอนแรกอนุภรรยาอู๋ถูกกักบริเวณ ยามนี้ยิ่งไม่รู้ว่าจะถูกจัดการไปถึงขั้นไหนแล้ว หากคุณชายพวกนั้นล่วงเกินนางจริงๆ นางย่อมสามารถจัดการได้อย่างเงียบเชียบ จะเคลื่อนไหวใหญ่โตออกมาเช่นนี้ไปทำไม? ข้าว่า เป็นนางที่จงใจ!”
“ยังมีอะไรที่ต้องจงใจ?” สาวใช้คนที่สามกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “น้องสาวของข้าผู้นั้นก็บอกแล้ว แม้สะใภ้ใหญ่จะเป็นมิตรอ่อนโยน แต่ก็เป็นคนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น เดิมทีไม่มีเรื่องอันใดก็ล้วนไม่ออกจากเรือนมีคู่ หากไม่ใช่ว่าคุณชายพวกนั้นเข้ามาหาถึงประตูโต้งๆ ทั้งยังพูดจาไม่เข้าหู สะใภ้ใหญ่ก็คงจะไม่โกรธถึงขนาดนี้หรอก”
“ก็นี่ไม่ใช่รึ? พวกเจ้าลองคิดดู ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น หากสะใภ้ไม่ได้จงใจทำให้คนที่ใช้เงินเป็นเบี้ยพวกนั้นเข้าใจผิด แล้วคุณชายเหล่านั้นจะกล้ามาถึงหน้าประตูได้อย่างไร?” สาวใช้คนที่สี่กล่าวเสียงแข็ง “ปกติก็เป็นเรื่องต่ำต้อยไร้ที่เทียบอยู่แล้ว เรื่องเช่นนี้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ก็เพื่อทำให้ผู้คนกล่าวว่านางนั้นปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบเกณฑ์ ไม่ยอมแม้แต่จะพูดคุยกับผู้ชายคนใดมิใช่รึ? ข้าว่ายิ่งซ่อนเร้นกลับยิ่งเด่นชัด ใครจะรู้ว่าลับหลังนางอาจจะคิดทำอะไรก็ได้?”
จู่ๆ พวกสาวใช้ก็พากันนิ่งเงียบ บางคนก็รีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที ทั้งยังพร้อมใจกันเว้นระยะห่างออกมาจากสาวใช้คนที่สี่โดยไม่ได้นัดหมาย ไม่พูดอันใดกับนางอีก นี่เห็นได้ชัดว่านางคิดจะพูดยุยงให้เกิดปัญหา หากให้เจ้านายหรือพ่อบ้านล่วงรู้เข้า ตัวเองอาจจะถูกร่างแหไปด้วยซ้ำ…
———————————-
“ผลลัพธ์ไม่เป็นดั่งที่หวังเลย!” อวี่ไข่มองหญิงรับใช้ตรงหน้าอย่างเยียบเย็น “เหตุใดพวกสาวใช้จึงคล้ายกับไม่ค่อยเชื่อข่าวลือนี้? เพราะพวกเจ้าพยายามไม่พอใช่หรือไม่?”
“คุณชาย!” หญิงรับใช้กล่าวอย่างใจเย็น “พวกสาวใช้ในจวนล้วนแต่เป็นพวกปากมากอยู่บ้าง แต่พวกนางก็รู้จักสังเกตเช่นกันเจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่นั้นเป็นที่รักของนายท่านและฮูหยิน เป็นที่โปรดปราณของคุณชายใหญ่ ทั้งได้เริ่มดูแลเรื่องภายในตระกูลแล้ว หากคำพูดไม่มีมูลเหตุพวกนี้เข้าถึงหูสะใภ้ใหญ่ ถูกโบยและไล่ออกจากจวนก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ พวกสาวใช้ยังจะกล้าเอาไปพูดสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ? หากไม่ใช่ว่าบ่าวติดตามอยู่ข้างกายอนุภรรยาอู๋มานาน เมื่ออนุภรรยาอู๋ล้มจึงไม่เป็นผลดี มิเช่นนั้นก็คงไม่กล้าร่วมกับท่านปล่อยข่าวลือสาดเทเสียหายเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ!”
“ข่าวลือย่อมถูกหยุดยั้งด้วยคนมีปัญญา ดูท่าพวกสาวใช้ตระกูลซั่งกวนล้วนเป็นคนฉลาดอยู่บ้าง!” อวี่ไข่คาดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ก็คล้ายกับนึกไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะใช้วิธีที่รุนแรงจัดการกับคุณชายพวกนั้น นอกจากสร้างเหตุการณ์บังเอิญครั้งนั้น แม้แต่โอกาสพบหน้าก็ไม่มีให้พวกเขาอีก เขาไม่รู้ว่าแผนต่อไปของตนจะเกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้อีกหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ตัวเองก็คงกลายเป็นที่ขบขันแล้วจริงๆ
“ฮูหยินใหญ่และคุณชายมีอะไรอยากจะกำชับอีกหรือไม่เจ้าคะ?” หญิงคนใช้ก็รู้ว่าเรื่องนี้ทำได้ไม่ดีพอ แต่นางก็ไร้หนทางเช่นกัน การที่สะใภ้ใหญ่จะดูแลเรื่องภายในตระกูลนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ใครจะกล้าเอาตัวเข้าไปอยู่ในมือนาง พวกที่ปล่อยข่าวลือนั้นก็ล้วนทำเพราะจนใจ พวกนางล้วนมีจุดอ่อนอยู่ในกำมืออนุภรรยาอู๋ หากไม่ทำตามก็มีเพียงทางตายเท่านั้น มิเช่นนั้นก็คงไม่มีคนกล้าทำแล้ว
“อวี่ไข่ เจ้าว่าควรทำอย่างไร?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ ทั้งยังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่บ้าง ดีที่ฉินซินถูกเชิญไปชมดอกไม้ที่เรือนมีคู่ มิเช่นนั้นยังไม่รู้ว่าจะกล่าวคำพูดระคายหูอะไรออกมาให้ได้ยินอีก?
“เจ้าไปก่อนเถิด!” อวี่ไข่ในยามนี้หงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก หรือควรจะเปลี่ยนวิธีดี? แต่พี่ใหญ่ออกไปหกวันแล้ว ตอนนี้เป็นวันที่สิบสามเข้าไปแล้ว งานประลองยุทธ์จะจัดขึ้นในวันที่สามเดือนแปด พี่ใหญ่ก็คงกลับมาในเดือนเจ็ดเป็นแน่แท้ หากเปลี่ยนวิธี ก็คงไม่มีเวลาจัดการอะไรใหม่แล้ว อย่างนั้นควรจะทำอย่างไรดีล่ะ?
เมื่อเห็นหญิงคนใช้จากไป อนุภรรยาหนิงก็กล่าวอย่างกังวล “นี่จะทำอย่างไรดี? แผนที่วางไว้ล้วนไม่เป็นไปตามที่คาด ไม่อย่างนั้นลองเปลี่ยนวิธีดูดีหรือไม่?”
“เปลี่ยนไม่ได้!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยบอกปัดคำแนะนำของอนุภรรยาหนิงทันที “หากจู่ๆ ก็เปลี่ยนวิธี ไม่เพียงแต่ความพยายามก่อนหน้าทั้งหมดจะเสียเปล่า แต่แผนในภายหลังก็จะตายในกลางคันด้วย หากเตรียมแผนใหม่ก็ย่อมไม่ทัน พวกเราทำได้เพียงทำต่อไปเท่านั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่สนใจอันใด ถึงขนาดไม่ถามออกมาสักคำก็ทุบตีพวกไม่เอาไหนนั่นชุดใหญ่ทั้งส่งออกไปจากจวน เช่นนั้นข้าก็สามารถโยนความผิดแล้วสั่งตีนางให้ตายอย่างไม่สนใจอันใดได้เช่นกัน!”
ใช่แล้ว! อวี่ไข่ตาเป็นประกาย ยามนี้ท่านย่าเป็นใหญ่ที่สุดในตระกูล หากท่านย่าโยนความผิดให้นางตรงๆ นางก็ย่อมไร้ทางที่จะโต้แย้ง แม้จะเป็นแผนหยาบๆ ง่ายๆ ก็ไม่เป็นไร ขอแค่เพียงได้ผลก็พอแล้ว! เพียงแต่ยังคงมีบางเรื่องที่ต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน ไม่อาจบุ่มบ่ามได้
“ท่านย่า พวกเรายังคงยึดตามแผนเดิมที่วางไว้ แล้วก็ไม่ต้องสนใจแล้วว่าข่าวลือจะกระจายออกไปหรือไม่ ปรักปรำนางเรื่องที่ไม่รักษาเกียรติของสตรี ยักคิ้วหลิ่วตาให้ผู้ชายได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” อวี่ไข่อยากเห็นเป็นอย่างมากว่า ในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าตนเองแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่จะมีท่าทีเช่นไร ยังจะแสดงสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่สนใจอะไรเช่นเคยได้หรือไม่?
น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้รู้ถึงแผนการของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อส่งตัวทั่วป๋าฉินซินและพิงถิงที่เข้ามาชมดอกไม้ไปแล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ให้สาวใช้ทิ้งเครื่องชาที่ทั่วป๋าฉินซินใช้ไปอย่างไม่คิดสนใจอันใด ยิ่งไปกว่านั้นยังให้คนมาทำความสะอาดที่ที่นางเคยนั่งจนหมดจด อีกทั้งยังกำชับต่อหน้าสาวใช้ที่ทั้งไว้ใจได้และไว้ใจไม่ได้ด้วย คาดว่าไม่ถึงพรุ่งนี้ ฮูหยินใหญ่ก็คงจะล่วงรู้ถึงเรื่องนี้แล้วกระมัง? ไม่รู้ว่านางจะโกรธขึ้นหน้าจนหายใจไม่ทันหรือไม่?
“สะใภ้ใหญ่ นี่เป็นของที่คุณหนูพิงถิงฉวยโอกาสยัดใส่มือข้าตอนที่ทุกคนไม่ทันได้สนใจเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวส่งกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย แม้ว่านางจะปฏิบัติตัวดีกับพิงถิง แต่ก็คาดไม่ถึงว่าจะได้ผลรวดเร็วถึงเพียงนี้ อย่างไรครั้งนี้คนที่นางต้องรับมือด้วยนับว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดของนาง!
“ข้าดูหน่อย!” เซียงเสวี่ยแย่งกระดาษก้อนนั้นไปเปิดออก กวาดสายตาอ่านตัวหนังสือสิบแถวนั้นจบอย่างรวดเร็ว ใบหน้าก็โกรธจนเขียวคล้ำขึ้นมา กล่าวอย่างโมโห “นังแก่หนังเหนียวนี่ คาดไม่ถึงว่าจะโหดเหี้ยมเช่นนี้! สะใภ้ใหญ่ ท่านต้องโต้กลับอย่างดุเดือดเช่นกันนะเจ้าคะ จัดการพวกเขาให้ราบคาบในครั้งเดียว ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดอีกเลย!”
“ไหนข้าดูซิ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับกระดาษนั้นมาอย่างขบขัน หลังจากอ่านเสร็จก็ไม่ได้โมโหเฉกเช่นเซียงเสวี่ย แต่แฝงไปด้วยความผิดหวังเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าอวี่ไข่จะเลือกใช้วิธีล้าสมัยขนาดนี้ แม้จะกล่าวว่าทุกก้าวล้วนวางแผนอย่างยอดเยี่ยม แต่วิธีเช่นนี้กลับด้อยชั้นอยู่จริงๆ นางกระตุกยิ้มพลางส่งกระดาษให้จื่อหลัว จื่อหลัวอ่านเสร็จก็ยิ้มเช่นกัน
“พวกท่านยังยิ้มได้อยู่อีก!” เซียงเสวี่ยแทบจะเป็นบ้าแล้ว
“เซียงเสวี่ย วิธีตื้นๆ เช่นนี้ด้อยชั้นเป็นที่สุด อีกทั้งยังมีช่องโหว่มากมาย ก็ต้องขอบคุณพวกเขาที่คิดแผนการเช่นนี้ออกมาได้!” จื่อหลัวยังคิดว่าจะเป็นแผนที่เหนือชั้นอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เป็นการใส่ร้ายสะใภ้ใหญ่เรื่องลักลอบมีความสัมพันธ์กับชายอื่นก็เท่านั้น
“มีช่องโหว่มากมาย?” เซียงเสวี่ยเพียงเห็นว่าต้องทำเรื่องอย่างระวังระมัดทุกย่างก้าวเท่านั้น
“อย่างแรก ที่นี่คือภายในตระกูลซั่งกวน แม้ว่าสะใภ้ใหญ่จะคิดลักลอบมีสัมพันธ์กับคนอื่น คนผู้นั้นจะสามารถเข้ามาข้างในได้อย่างนั้นรึ? เห็นได้ชัดว่าไม่อาจเกิดขึ้นได้! อย่างที่สอง สะใภ้ใหญ่แทบไม่ก้าวออกจากประตูไปไหน แล้วจะรู้จักผู้ชายเกเรเช่นนั้นได้อย่างไร?” จื่อหลัวกล่าวทั้งยิ้มๆ “ข้าว่าสมองของพวกเขาคงจะเลอะเลือนอยู่บ้าง คาดไม่ถึงว่าจะนำวิธีที่เคยใช้เมื่อแปดร้อยปีก่อนมาวางแผนเรื่องเช่นนี้!”
“แต่ข้ากังวลว่าพวกเขาจะไม่ให้โอกาสใดใดสะใภ้ใหญ่ในการแก้ต่าง แต่โยนความผิดมาให้อย่างตรงๆ!” เซียงเสวี่ยกล่าวอย่างกังวล “ความผิดหากถูกตัดสินแล้ว ปีศาจยายแก่พวกนั้นย่อมคิดวิธีลงโทษด้วยกฎสกุล โบยสะใภ้ใหญ่อย่างตรงๆ หรือถึงกระทั่งตีจนตาย ถึงเวลานั้นแล้วพวกเราจะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ?”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์นิ่งไปเล็กน้อย จริงด้วย ตัวเองสามารถตีคนพวกนั้นอย่างตรงๆ โดยไม่สืบสาวราวเหตุอะไร ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็สามารถสั่งโบยตัวเองจนตายได้เช่นกัน แม้จะกล่าวว่าฝีมือของตนเองแทบไม่ต้องกังวลปัญหานี้ แต่ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องเปิดเผยธาตุแท้น่ะสิ! ยิ่งไปกว่านั้น นางได้มั่นใจแล้วว่าตัวเองตั้งครรภ์อยู่ ไม่อาจจะปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรมากระทบตนเองได้ ดูท่าอย่างไรก็คงต้องคิดวางแผนดีๆ เสียหน่อยแล้ว…
———————-