“วางมาดใหญ่โตดีนี่!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่เคยเห็นบ่าวไพร่ที่ไร้มารยาทขนาดนี้มาก่อน ครั้งแรกที่พบหน้ากัน ทั้งที่ตั้งใจเรียกพบพวกนางเป็นพิเศษไม่นึกเลยว่าเพียงแค่การคำนับอวยพร แม้แต่คุกเข่าโขกศีรษะก็ไม่มี
“แม้บ่าวจะรับใช้ข้างกายสะใภ้ใหญ่ แต่มีสถานะดีมาตลอด เว้นเสียแต่ว่าจะได้เข้าเฝ้าขุนนาง มิฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเจ้าค่ะ” แม่นมฉินมองทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างเย็นชาและไม่คิดจะยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย ตอนที่จงเสวี่ยฉิงมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดปีนั้น นางมักจะพาจงเสวี่ยฉิงเข้าวังอยู่เนืองๆ และแม้แต่ไทเฮาองค์ปัจจุบันก็เคยเข้าเฝ้ามาแล้ว ซึ่งทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยตกใจ
“สถานะดี สถานะดีตัวดีน่ะสิ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่คาดคิดว่ายังจะมีลูกไม้เช่นนี้ จึงถลึงตาจ้องเซียงหลิงที่ยืนอยู่ข้างหลังแม่นมฉินแล้วเอ่ยว่า “คนที่หมายปองจะอยู่จนแก่เฒ่านี้ก็มีสถานะดีเช่นกันสินะ!”
“ก่อนที่ฮูหยินของข้าจะเสียชีวิตได้ฉีกสัญญาขายตัวของข้าแล้ว ข้าก็มีสถานะดีด้วยเจ้าค่ะ” เซียงหลิงตอบด้วยน้ำเสียงทั้งที่ไม่นุ่มนวลและไม่แข็งกระด้าง รอยยิ้มบนใบหน้ามิได้เปลี่ยนไปเลย
“ดีนัก! ไหนๆ พวกเจ้าก็ไม่ใช่ทาสที่ขายตัว ข้าจึงทำโทษอะไรกับพวกเจ้าไม่ได้ จะได้ไม่มีคนจับจุดอ่อนได้” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่คาดคิดว่าจะเป็นผลอย่างนี้ นางต้องการจะเล่นงานแม่นมสองคนที่ต้องสงสัยว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเคารพและรักใคร่นั้นแท้จริงแล้วมีสถานะอิสระ หากคิดทำร้ายกลับกันความผิดก็จะตกมาที่ตัวนางเอง อย่างไรก็ตาม นางยิ้มอย่างเย็นเยียบ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องไม่รู้แน่ว่า คนที่จะเข้าไปรับใช้ในจวนชั้นในได้นั้น ไม่ใช่บ่าวในเรือนเบี้ยของตระกูลซั่งกวน แต่เป็นคนชราที่ขายตัวมาหลายปี เช่นซั่งกวนจิ่นแม้จะไม่ได้ขายตัว แต่เขาก็เป็นลูกหลานห่างๆ ของตระกูลซั่งกวน ดังนั้นการมีสถานะดีจึงเป็นมูลเหตุที่พวกนางต้องออกจากตระกูลซั่งกวน
“ไม่ทราบว่าบ่าวทำผิดอะไร ทำให้ฮูหยินใหญ่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนี้ ทั้งยังทำให้สะใภ้ใหญ่ของข้าคุกเข่าอยู่ตั้งนานเจ้าคะ?” แม่นมฉินมีน้ำโหมากเมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์คุกเข่าอยู่บนพื้น กระนั้นนางรู้ดีว่า ด้วยผิวพรรณที่อ่อนนุ่มของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ผ่านไปสักครู่หนึ่ง หัวเข่าจะต้องเขียวคล้ำแน่
“พวกเจ้าทำผิดอะไร? คนที่ผิดคือข้า!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยิ้มอย่างเย็นยะเยือกแล้วพูดว่า “ข้าไม่ดีที่จัดการพวกเจ้าที่ปฏิบัติงานหละหลวมไม่ได้ ปล่อยให้สะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนมีข่าวลือมาพัวพัน และไม่สามารถส่งพวกเจ้าให้ทางการลงโทษได้จริง แต่ที่นี่เป็นตระกูลซั่งกวน จะไม่ปล่อยคนที่ทำให้ข้าโกรธลอยนวลไปได้! ส่งคนมา ‘เชิญ’ พวกนางออกจากตระกูลซั่งกวนเดี๋ยวนี้ อย่าให้เข้ามาในจวนเด็ดขาด!”
แม่นมฉินผงะไปชั่วขณะ โดยไม่รอให้นางตอบโต้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์กัดฟันกรอด โขกศีรษะเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่ได้โปรดใจเย็น! แม่นมทั้งสองล้วนเป็นผู้สูงวัยที่เลี้ยงดูหลานสะใภ้จนเติบโตขึ้น ทั้งคู่เป็นคนที่อยู่เคียงข้างหลานสะใภ้อย่างแยกไม่ออก และขอให้ฮูหยินใหญ่อนุญาตให้หลานสะใภ้เก็บพวกนางไว้เถิดเจ้าค่ะ!”
“ช่างเป็นหลานสะใภ้ที่กตัญญูนัก” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างบึ้งตึง ยิ่งนางเอาใจใส่แม่นมสองคนนี้มากเท่าใด นางก็จัดการได้สะใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าจงใจอยู่หรือเปล่า! ให้แม่นมสองคนที่มีสถานะดีมาดูแลสาวใช้ เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นกลับไม่สามารถลงโทษได้ จะขับไล่พวกนางออกไปเป็นการเจตนาทำให้เจ้าอึดอัดใจ…ส่งคนมา ไล่พวกนางไปในชั่วข้ามคืนเดี๋ยวนี้!”
“ท่านย่า!” ซั่งกวนอิงพูดอย่างเหลืออด ครั้นเห็นพี่สะใภ้ดูเสียใจและตื่นตระหนก หากปราศจากคำแนะนำของพี่ใหญ่ เขาก็ทนนิ่งดูดายไม่ได้
“ทำไม? เจ้าอยากทำให้ข้าโกรธเหมือนกับนางหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองหลานชายที่ไม่ใส่ใจคนนี้อย่างไม่แยแสพลางกล่าวว่า “ตระกูลซั่งกวนไม่เคยมีบ่าวไพร่หน้าไหนมีสถานะดี นี่เป็นกฎมาหลายปีแล้ว ถ้าพวกบ่าวไพร่มีสถานะดีกันหมด ไม่ใช่ว่าทุกคนจะดื้อด้านเหมือนพวกนาง เห็นเจ้านายก็มีท่าทีหยิ่งจองหองหรือ? หากมีสถานะดีกันถ้วนหน้า ทรัพย์สินของตระกูลจะถูกทาสที่สมควรตายพวกนี้โลภลักเอาไป จะไล่ตามกลับคืนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ตระกูลซั่งกวนยังจะมีหน้ามีตาอย่างทุกวันนี้ได้หรือไม่?”
ซั่งกวนอิงลูบจมูกไปมาแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ ดูเหมือนตระกูลจะมีกฎข้อนี้! ถ้าแม่นมทั้งสองไม่มีสัญญาขายตัว ท่านย่าเชิญพวกนางออกจากจวนก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“ในเมื่อมีกฎของตระกูลเช่นนี้ หลานสะใภ้จึงไม่มีอะไรจะพูดเจ้าค่ะ” ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เต็มไปด้วยความเศร้าโศกระคนโกรธเกรี้ยว มองทั่วป๋าซู่เยวี่ยซึ่งสายตากระหยิ่มยิ้มย่องแล้วพูดว่า “แค่อยากจะขอให้ฮูหยินใหญ่แสดงความเมตตา ยามนี้พลบค่ำแล้ว จะส่งพวกนางออกจากจวนหลังรุ่งสางวันพรุ่งนี้นะเจ้าคะ”
“ให้เวลาพวกนางเก็บสมบัติติดตัวใช่ไหม?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างเฉยเมย “ไม่มีทาง ถ้าพวกนางไม่เขียนสัญญาขายตัวเดี๋ยวนี้ก็ไสหัวออกจากตระกูลซั่งกวนทันที มี่เอ๋อร์เจ้าเป็นคนฉลาด เลือกเส้นทางให้พวกนางหน่อยจะเป็นไร?”
“ท่านย่า…” ซั่งกวนอิงทั้งว้าวุ่นและกังวล ถึงบอกว่าก่อนหน้านี้เคยเชื่อว่านางจะมาสงบข่าวลือ จะมาว่ากล่าวดูสักหน่อย ตอนนี้แม้จะไม่เชื่อเลย ก็เห็นได้ชัดว่านางฉวยโอกาสขณะที่พ่อและพี่ชายไม่อยู่มาหาเรื่องพี่สะใภ้ ทำให้พี่สะใภ้ลำบากใจ
“อิงเอ๋อร์ เจ้ายังเป็นเด็ก ไม่มีที่ให้เจ้าพูดที่นี่! อวี่ไข่พาน้องชายออกไป!” บัดนี้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเสียใจที่เรียกซั่งกวนอิงมามากกว่า ไม่สนใจก็ไม่สลักสำคัญ ให้เขารู้ว่านางจับจุดอ่อนได้จริงๆ ก็พอ เรื่องที่เหลือก็ยังไม่ถึงตาที่เขาจะพูดมาก
“ขอรับ ท่านย่า!” อวี่ไข่รอคำพูดประโยคนี้ รีบพาซั่งกวนอิงที่ต่อต้านออกไปอย่างสุดแรงเกิด ความสิ้นหวังจางๆ นั้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ มองทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ค่อนข้างน่าสะพรึงกลัว แล้วมองใบหน้าระรื่นของทั่วป๋าฉินซินอีกครั้ง ก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่ต้องให้คนประคอง แล้วพูดขึงขังว่า “หลานสะใภ้ทราบดีว่าควรจะทำอย่างไรเจ้าค่ะ! จื่อหลัว เก็บของ เราไปกันเถอะ!”
ทั่วป๋าฉินซินเฝ้าดูเยี่ยนมี่เอ๋อร์จนตรอกจากไปแบบนี้อย่างมีความสุข ถ้านางไปเช่นนี้คงจะดี แม้ตระกูลทั่วป๋าจะมีอิทธิพลน้อยมากในลี่โจว แต่ก็ง่ายมากที่จะฆ่าใครสักคน
“มี่เอ๋อร์ไปไหนกลางดึก? มีคนรออยู่ข้างนอกแล้วหรือไม่กระมัง” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยทำเป็นทองไม่รู้ร้อนมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่อยู่ในอารามตกตะลึงพรึงเพริดระคนสิ้นหวังซึ่งหาได้ยาก นางไม่ใช่ดูราวกับมีแผนในใจและมั่นใจเสมอไปหรอกหรือ? จะตื่นตระหนกและหวาดกลัวได้อย่างไร?
“จื่อหลัว นำกระดาษและพู่กันมา ข้าจะเขียนสัญญาขายตัว!” แม่นมฉินมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ตะลึงงันอย่างทุกข์ใจ ถึงอย่างไรนางยังเป็นเด็กตัวเท่าเมี่ยง ไม่ได้คาดคิดว่าจิตใจมนุษย์จะโฉดชั่ว หากออกจากตระกูลซั่งกวนในเวลานี้ก็เท่ากับว่าพวกนางถ้าไม่ถูกนักฆ่าที่ฮูหยินใหญ่จัดเตรียมไว้ก่อนแล้วสังหาร ก็จะมีความผิดที่ไม่มีวันลบล้างได้ นางต้องช่วยมี่เอ๋อร์ จะไม่ปล่อยให้นางตกอยู่ในอันตรายด้วยสาเหตุของตัวเอง
เซียงหลิงลังเลเล็กน้อยครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ไม่ แม่นม ป้าเซียง การให้พวกเจ้าหักโหมทำงานหนักอยู่ข้างกายมี่เอ๋อร์มาตลอด มันเป็นเรื่องไม่สบายใจสำหรับมี่เอ๋อร์ ถ้าทำให้พวกท่านไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะมี่เอ๋อร์อีก มี่เอ๋อร์จะยิ่งอับอายจนแทรกแผ่นดินหนี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จับมือใครคนหนึ่งไว้ด้วยมือข้างเดียว กล่าวจากใจจริงว่า “ต่อให้จะทำให้สามีเข้าใจผิดเพราะเรื่องนี้ จะไม่มีวันได้รับการให้อภัยจากสามี มี่เอ๋อร์ก็จะไม่ปล่อยให้พวกท่านถูกกลั่นแกล้งแต่อย่างใด!”
“ช่างเป็นฉากแห่งความรักและความชอบธรรมอย่างสุดซึ้ง!” ทั่วป๋าฉินซินมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างสาแก่ใจ ปราศจากความเมตตากรุณาที่ยอมลดศักดิ์ศรีก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นนางก็อยากเห็นแม่นมสองคนนี้เขียนสัญญาขายตัว เมื่อขอให้ท่านย่าลงโทษ เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมีสีหน้าเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออย่างไรนะ จะทำให้ตัวเองสดชื่นขึ้นแน่นอนสินะ! นางจึงพูดห้วนๆ ว่า “แต่ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้เคยคิดไหม ยามกลางคืนมืดมิดและลมแรงนี้ กอปรกับงานประลองยุทธ์ก็จวนเจียนใกล้เข้ามา ผู้คนจากยุทธภพจะมาที่นี่จากทุกสารทิศ ถ้าเจอคนสติฟั่นเฟือนในระหว่างทาง พวกเจ้าที่เป็นกลุ่มหญิงอ่อนแอจะทำอย่างไรได้เล่า!”
“ต่อให้จะตายข้างนอกก็ไม่จำเป็นต้องให้ลูกผู้น้องทั่วป๋าคิดให้เปลืองสมอง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองทั่วป๋าฉินซินอย่างนิ่งเฉย นัยน์ตาเต็มไปด้วยสีเลือด จู่ๆ ก็คลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ถ้าข้าตาย ก็ไม่ทราบว่าสามีจะแต่งงานกับเจ้าในฐานะภรรยาไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณหนูทั่วป๋าผู้สง่างามจะเป็นภรรยาพ่อหม้ายเมียตาย เมื่ออยู่ต่อหน้าป้ายวิญญาณของข้าก็เรียกได้แค่อนุภรรยาเท่านั้น ทั้งยังต้องคุกเข่าคารวะเป็นการใหญ่ คิดๆ ดูแล้วก็น่าสนุกดี!”
“เจ้า…” ทั่วป๋าฉินซินไม่ได้คาดคิดว่าจะมาถึงขนาดนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังพูดทำร้ายตัวเองได้ จึงอยากจะอวดบารมี แต่แล้วก็ยอมแพ้ นางไม่ขัดจังหวะ วางท่าดูว่านางจะจัดการต่อไปอย่างไร
“สะใภ้ใหญ่…” เซียงหลิงจับมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ แล้วพูดด้วยความจริงใจว่า “ให้เราเขียนสัญญาขายตัวเถอะ! ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว ถ้ามีอะไรที่ไม่คาดคิดบนท้องถนน เราจะอธิบายกับคุณหนูฉิงได้อย่างไร! จื่อหลัว ยังไม่หยิบกระดาษกับพู่กันมาอีก!”
แม่นมฉินให้เซียงหลิงประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ร่ำไห้อย่างไร้สุ้มเสียงไว้ โบกมือจรดปลายพู่กันเขียนสัญญาขายตัว กัดนิ้วกดลายนิ้วมือของนาง แล้วโอบเยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้ามาในอ้อมแขนของนาง เซียงหลิงก็หยุดเล็กน้อย เลียนแบบเขียนสัญญาขายตัวจากแม่นมฉินเช่นกัน แล้วพิมพ์ลายนิ้วมือ
“ไหนหยิบสัญญาขายตัวมาให้ข้าดูสิ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งดวงตาทั้งคู่แดงฉานปูดบวม ขบริมฝีปากจนแตก เลือดสดไหลตามคางลงมา จึงสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ยามรู้ว่าหลานชายยอมแต่งงานกับลูกสาวพ่อค้า มากกว่าจะแต่งกับลูกสาวคนโตของตระกูลทั่วป๋านั้น ความแค้นที่กลบฝังในที่สุดก็มีวี่แววจะได้ล้างแค้น ตอนนี้แค่รอดูว่านางจะตายอย่างไร!
“ฮูหยินใหญ่ไม่ต้องร้อนใจ!” แม่นมฉินพับสัญญาขายตัวอย่างไม่รีบร้อน วางไว้ในอ้อมแขนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เผยยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “ฮูหยินใหญ่อย่าลืม เราเป็นแม่นมที่เป็นสินเดิมของสะใภ้ใหญ่ ต่อให้จะลงนามในสัญญาขายตัว เจ้านายก็มีเพียงสะใภ้ใหญ่ และไม่ใช่ตระกูลซั่งกวน สัญญานี้จึงต้องให้สะใภ้ใหญ่ของเราเก็บรักษาไว้ที่นี่เท่านั้น!”
“นังทาสต่ำช้า!” ขณะนี้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยอยากจะเอาของที่อยู่ในมือโยนทิ้งไปทันที พลันลุกขึ้นยืน ชี้นิ้วไปที่แม่นมฉิน แล้วตัวสั่นก่นด่าว่า “ยังไม่เอานังทาสเฒ่าคนนี้ลากออกไปโบยหนักๆ ห้าสิบไม้อีก!”
หลังจากห้าสิบไม้ แม่นมฉินยังพอมีชีวิตรอดก็ไม่เลว! เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างดุเดือดพลางกล่าวว่า “ฮูหยินใหญ่ ข้าคิดว่าท่านไม่ควรลืมว่า เมื่ออาจารย์เฉาได้พบกับแม่นมฉินก็ต้องยืนพินอบพิเทาด้วยความเคารพอยู่ด้านข้าง ถ้าไม่ใช่เพราะข้าขาดแม่นมไม่ได้ คงต้องรับแม่นมไปเลี้ยงดูจนสิ้นอายุขัยที่เซิ่งจิงแล้วเป็นแน่! ถ้านางรู้ว่าแม่นมฉินที่นางเคารพเหมือนมารดาจะถูกท่านปฏิบัติเช่นนี้ ไม่ทราบว่านางจะทำอย่างไรล่ะเจ้าค่ะ?”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยหยุดนิ่ง แม้จะไม่ค่อยชัดเจนว่าแม่นมฉินกับเฉาซื่ออี๋เกี่ยวข้องอะไรกันแน่ แต่ก็รู้เรื่องที่เฉาซื่ออี๋พบแม่นมฉินที่ทางเข้าเรือนมีคู่ก็รีบวิ่งไปหา แม้เฉาซื่ออี๋จะไม่ใช่บุคคลที่ล่วงเกินอะไรไม่ได้ กระนั้นนางก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่มีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง หากเกลียดตัวเองในเรื่องนี้เข้า ตราบใดที่ต่อความยาวสาวความยืด ชื่อเสียงของนางเองกับคุณหนูทุกคนในตระกูลทั่วป๋าจะต้องตกอยู่ในภาวะลำบากแปดเปื้อนมีจุดด่างพร้อย
“ท่านย่า อาจารย์เฉาจะรู้จักทาสตัวแสบแบบนี้ได้อย่างไร?” แม้ทั่วป๋าฉินซินจะสนุกไปแล้ว แต่ยังอยากเห็นท่าทางที่น่าสังเวชของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อีก นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้น จึงร้องเรียกอย่างเป็นกังวล
“ที่แท้ลูกผู้น้องทั่วป๋ายังไม่รู้ว่าทำไมจิงอิ๋ง หลิงหลงและแม้แต่หลิงลี่ของลุงจิ่นนั้นอาจารย์เฉาถึงพาไปอบรมสั่งสอนที่เซิ่งจิงได้หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองทั่วป๋าฉินซินอย่างประชดประชันพลางกล่าวว่า “ข้ายังคิดว่าฮูหยินใหญ่ได้บอกเจ้าแล้วเสียอีก เป็นเพราะครั้งหนึ่งแม่นมฉินเคยช่วยชีวิตอาจารย์เฉาไว้ ดังนั้นอาจารย์เฉาจึงซาบซึ้งในบุญคุณและเพียรพยายามตอบแทนบุญคุณเสมอ นั่นคือเหตุผลที่ไม่กลัวหนทางไกลจึงดั้นด้นมาที่ลี่โจว มาถึงตระกูลซั่งกวน จนได้พบกับแม่นมฉินสักครา ถึงขั้นทำผิดกฎ พาพวกหลิงหลงทั้งสามกลับไปที่เซิ่งจิง เพื่อสอนสั่งเป็นการส่วนตัว”
“ท่านย่า?” หัวใจของทั่วป๋าฉินซินราวกับถูกอัสนีบาตฟาดเปรี้ยง มองทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างเหลือเชื่อ เรื่องสำคัญเช่นนี้เหตุใดถึงไม่เตือนนางเล่า? สถานะของอาจารย์เฉาเป็นเช่นไร ถ้านางบอกว่าตนดีสักคำ ควรค่ากว่าที่คนอื่นยกย่องเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่กลับกัน ถ้านางบอกว่าตนไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นตัวเอง พี่น้องของตนหรือแม้กระทั่งต่อไปตนมีลูกสาวก็จะถูกคนชี้นิ้วว่า คุณหนูจากตระกูลหลินในหลูโจวไม่ใช่ว่าโดนอาจารย์เฉาเอ็ดมาคำหนึ่งว่า ‘ไม้ผุมิอาจแกะสลักได้ นั่นคือสอนแล้วไม่จำ’ ต้องประสบเคราะห์ร้ายถึงขั้นถอนหมั้นเลยหรือ?
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้สึกได้ทันควันว่าคนตรงหน้าเป็นเผือกร้อนในมือ เม่นมีหนามแหลมคม เริ่มลงมือยากขึ้นได้อย่างไร!
“ท่านย่า…” อวี่ไข่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดมาตลอด เมื่อเห็นทั่วป๋าซู่เยวี่ยลำบากใจ ทั่วป๋าฉินซินกลับเอาแต่เห็นแก่ตัว จึงแสร้งทำเป็นเหมือนเพิ่งกลับมาทันที เดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ในเมื่อสองแม่นมเขียนสัญญาขายตัวแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นทาสของตระกูลซั่งกวน ท่านไม่จำเป็นต้องเร่งรีบสอนกฎให้พวกนางในเวลานี้ มันดึกมากแล้ว ท่านควรพักผ่อนให้เพียงพอ รอพรุ่งนี้ค่อยจัดการเถิดขอรับ!”
“ก็ดี!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้ทีจึงยอมผ่อนปรนแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ค่อยกลับมาเล่นงานทาสตัวแสบพวกนี้! มี่เอ๋อร์ เจ้าพิจารณาตัวเองให้ดีสักหน่อย ทำไมปัญหาบานปลายมาถึงจุดนี้ แล้วเราค่อยคุยกันพรุ่งนี้!”
ครั้นดูทั่วป๋าซู่เยวี่ยและคนอื่นๆ เขย่งเท้าวางก้ามเดินออกไปอย่างน่าลำพองใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทรุดยวบลงไปในอ้อมแขนของแม่นมฉิน แล้วกัดฟันพูดว่า “จื่อหลัว เก็บของ ออกจากจวนพรุ่งนี้เช้า!”
“มี่เอ๋อร์!” แม่นมฉินไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะใช้อารมณ์จัดการปัญหาขนาดนี้
“แม่นม เราทนไม่ได้อีกแล้ว! พรุ่งนี้พวกนางจะคิดหาวิธีทรมานพวกเราแน่ แทนที่จะทนทุกข์อยู่ที่นี่ มิสู้จากไปยังจะดีเสียกว่า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยิบสัญญาขายตัวสองแผ่นออกมา มอบให้แม่นมฉินพลางกล่าวว่า “ท่านพี่ได้กำชับไว้แล้วก่อนจะออกไป บอกว่าถ้าพวกนางมากลั่นแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า สามารถไปหลบสถานการณ์ล่อแหลมที่เรือนสดับวายุได้ชั่วคราว สัญญาขายตัวนี้ไร้ประโยชน์ ฉีกมันให้ขาดเถอะ ข้าเห็นแล้วรู้สึกอึดอัดใจนัก”
“ในเมื่อท่านเขยได้เตรียมการไว้แล้ว เช่นนั้นเราเก็บข้าวของออกเดินทางในวันพรุ่งนี้นะเจ้าคะ!” แม่นมฉินค่อนข้างโล่งใจอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นข้อตกลงของซั่งกวนเจวี๋ย จึงไม่นับว่าใช้อารมณ์จัดการปัญหา แล้วสั่งการทันทีว่า “นอกจากของสำคัญที่สุดแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องสนใจ! ยังมีอีก ให้ลู่หลัวตามไปด้วย ฮูหยินใหญ่รู้ว่านางเป็นคนของท่าน ถ้าไม่พบเราอาจจะระบายโทสะก็ได้ พานโกรธนางก็เป็นเรื่องปกติ อีกอย่าง ท่านควรเก็บสัญญาขายตัวนี้ไว้ก่อน…”
“แม่นม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสัญญาขายตัวที่แม่นมฉินยัดกลับเข้าไปในอกเสื้อของนางด้วยสีหน้าสับสน
“ในเรือนนี้มีคนคอยเป็นหูเป็นตาที่ฮูหยินใหญ่ส่งมา ถ้ารู้ว่าท่านฉีกสัญญาขายตัวนี้ นางจะกลับมาขับไล่ข้ากับเซียง
หลิงออกไปได้ทันที หากให้เขียนสัญญาขายตัวอีกมันจะไม่ง่ายขนาดนั้นนะเจ้าคะ!” แม่นมฉินคิดอย่างละเอียดรอบคอบมากแล้วพูดว่า “ถ้าท่านทนไม่ได้ที่เห็นแม่นมแก่เฒ่าจะกลายเป็นทาสล่ะก็ เมื่อไปถึงเรือนสดับวายุจะฉีกทิ้งก็ยังไม่สายเกินไป ที่นั่นเป็นทรัพย์สินในนามของท่าน ต่อให้ฮูหยินใหญ่คิดจะก้าวก่ายก็อยู่ไกลเกินเอื้อมแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าเชื่อแม่นม!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า “ทั้งหมดต้องโทษมี่เอ๋อร์ที่ทำให้ผิดหวัง จึงทำให้แม่นมกับป้าเซียงได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้!”
“ลูกเอ๋ย จะตำหนิเจ้าได้อย่างไรเล่า?” แม่นมฉินเช็ดน้ำตาให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างทุกข์ใจพลางกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าน่าผิดหวัง แต่เป็นฮูหยินใหญ่ที่ไม่ได้มองให้ทะลุปรุโปร่ง เอาแต่คิดจะทำร้ายท่าน จะให้ทั่วป๋าฉินซินเข้ามาแทนที่เท่านั้นเอง นางไม่อยากคิดว่า ต่อให้ไม่มีท่าน ท่านเขยก็ไม่เต็มใจแต่งกับคนเจ้าปัญหาเช่นนั้น ดังนั้นจึงโทษท่านไม่ได้ ทำได้เพียงตำหนิคนที่มีเจตนาร้ายจนคาดเดาไม่ได้เจ้าค่ะ”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า คนที่มีเจตนาร้ายจนคาดเดาไม่ได้ ใช่แล้ว! ใจคนหนังท้องกั้น รู้หน้าไม่รู้ใจ แม้แต่คนที่ดูใกล้ชิดที่สุดก็วางแผนลอบทำร้ายกันจนได้ ยิ่งไปกว่านั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังแสดงท่าทีไม่ชอบตัวเองอยู่ตลอดเวลาอีก
“จื่อหลัว ม่านเหอ พวกเจ้ารีบมาช่วยพยุงสะใภ้ใหญ่กลับห้องไปพักผ่อนเร็วเข้า นางวิ่งไปมาเช่นนี้ก็หมดแรงแล้ว เราจะออกเดินทางแต่เช้าในวันพรุ่งนี้ ต้องพักผ่อนให้ดี!” แม่นมฉินให้จื่อหลัวช่วยประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นชั้นบน
“ข้าอยากให้แม่นมอยู่เป็นเพื่อนข้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดด้วยท่าทางออดอ้อนที่หาดูได้ยากว่า “แม่นมก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว จะวิ่งไปมาอีกไม่ได้ ปล่อยให้จื่อหลัวและคนอื่นๆ เก็บข้าวของก็พอ”
“ได้…ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะ” แม่นมฉินมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยความรักแล้วพูดกับเซียงหลิงว่า “เซียงหลิง เจ้ากลับไปเก็บสัมภาระให้เร็วหน่อย เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้”
“เจ้าค่ะ!” เซียงหลิงยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินไปทันที เยี่ยนมี่เอ๋อร์ร่าเริงขึ้น คลี่รอยยิ้มออก กลับไปที่ห้องพร้อมกับแม่นมฉิน
————–