เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 165 กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ

“สะใภ้ใหญ่ นี่ท่าน?” จื่อหลัวแทบจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เก็บสัมภาระออกมา แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยรู้ว่าข้างกายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมีของแปลกๆ เช่นนี้อยู่ จึงมองอย่างตื่นตะลึง “ข้าจะออกไปไม่กี่วัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองจื่อหลัวอย่างเรียบนิ่ง “จะต้องมีคนสวมรอยเป็นข้าอยู่ที่นี่ เจ้าและเซียงเสวี่ยต้องผสมโรงกันให้ดี อย่าให้ใครจับผิดได้!” “อะ อะ อะ อะไรนะเจ้าคะ?” จื่อหลัวอ้าปากค้างด้วยความตกใจ คาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดเช่นนี้ออกมา นางจะออกไป? ไปที่ไหนกัน? “เจ้าน่าจะรู้แล้ว ข้ามีหลายอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ความลับเมื่อก่อนที่เจ้าไม่เคยได้รับรู้?” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้จื่อหลัวฉุกคิดถึงเรื่องคืนวันนั้น ยาเดือดพล่านที่สาดกระเซ็นออกมา ก็ผงกศีรษะด้วยความตะลึงงัน “ตอนที่ท่านป้ามีชีวิตอยู่เคยสอนวรยุทธ์ให้ข้าอยู่บ้าง…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองท่าทีของจื่อหลัวที่นิ่งอึ้งไป กล่าวอย่างราบเรียบ “แม้จะไม่ถึงกับไร้เทียบเทียม แต่เมื่อเทียบกับคนส่วนมากแล้วก็ยังนับว่าสูงกว่า ดังนั้นความปลอดภัยของข้าย่อมไม่เป็นปัญหาแน่!” “เช่นนั้นใครจะมาสวมรอยเป็นท่านล่ะเจ้าคะ?” จื่อหลัวรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังฟังเรื่องเหลือเชื่ออยู่ก็มิปาน กระนั้นก็ยังตัดสินใจจะทำตามคำสั่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นี่กลายเป็นสัญชาตญาณและความเคยชินไปแล้ว “เซียงเสวี่ยจะพาคนเข้ามา ถึงเวลานั้นเจ้าจะต้องสกัดม่านเหอไว้ให้ได้ ให้พวกเราได้มีเวลาสลับตัวกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบง่าย ในยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยพูดถึงเรื่องจะออกจากจวน นางก็ได้นึกถึงกลยุทธ์สับเปลี่ยนตัวออกมา เพียงทำได้แต่หาโอกาสที่เหมาะสมออกจากจวนอยู่ตลอด…ในตระกูลซั่งกวนไม่ได้เข้าออกอย่างง่ายดายถึงขนาดนั้น ทั้งยังมีเรื่องซับซ้อนมากมาย ยากที่จะจัดการเรื่องเช่นนี้ “เซียงเสวี่ย? เช่นนั้นหมายความว่านางจงใจกลิ้งลงมาจากบันไดเพื่อทำพวกแป้งชาดตกแตกหรือเจ้าคะ?” จื่อหลัวนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ทันที มิน่าเล่าเซียงเสวี่ยจึงพูดประมาณว่าพวกแป้งชาดนั้นให้นางเป็นคนเก็บเองก็พอแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาช่วย ผลลัพธ์จึงร่วงออกจากตะกร้าเช่นนั้น “ใช่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้ว่าคงปิดบังจื่อหลัวที่ละเอียดรอบคอบไม่ได้ เผยยิ้มบางพลางกล่าว “เซียงเสวี่ยเป็นคนที่ป้าโม่ตั้งใจจัดการให้อยู่ข้างกายข้าเป็นพิเศษ ทั้งยังมีอีกคนหนึ่งที่อยู่ในลี่โจวมาโดยตลอด เซียงเสวี่ยจะไปรับนางเข้ามาแทนที่ข้า ขอเพียงแค่ให้นางหลบเลี่ยงกับการพบปะคนมากๆ ก็พอแล้ว” “ท่านไม่ได้กล่าวว่าจะคัดลอกคัมภีร์หรอกหรือ? หากแม่นมพบว่าลายมือแปลกๆ ไปล่ะเจ้าคะ?” จื่อหลัวกังวลใจเป็นอย่างมาก เยี่ยนมี่เอ๋อร์มักจะคัดลอกคัมภีร์ในทุกปี และแม่นมฉินกับป้าเซียงก็มักจะเอาคัมภีร์ที่คัดลอกเสร็จแล้วไปดูกัน “คัมภีร์ปีที่ผ่านๆ มา ส่วนมากก็มาจากการคัดลอกของนาง ตั้งแต่นางยังเล็กก็ได้เลียนแบบลายมือข้าแล้ว พวกแม่นมแยกไม่ออกหรอก!” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำเอาจื่อหลัวตกใจจนเสียหลักถอยหลังไปหลายก้าว ปีที่ผ่านๆ มา? หรือว่าคนที่ตั้งอกตกใจสวดมนต์ไหว้พระอยู่ในอารามหลายปีที่ผ่านมานั้นจะไม่ใช่คุณหนู? “เจ้าเดาถูกแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าจื่อหลัวกำลังสงสัยอะไรอยู่ คำตอบของนางทำให้จื่อหลัวเวียนหัวอยู่พักใหญ่ “คุณชายใหญ่บอกว่า เร็วที่สุดคงสิบหกสิบเจ็ดวัน อย่างช้าที่สุดก็คงยี่สิบวัน เขาย่อมจะตามกลับมาแน่ วันนี้เป็นวันที่เก้า ข้าจะอยู่ด้านนอกห้าวัน จากนั้นก็จะกลับมา หากช่วงเวลานี้มีความเคลื่อนไหวอะไรก็อย่าได้เอามารบกวนข้า เข้าใจหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะเห็นเป็นอย่างมากว่าน้ำด้านนอกนั้นขุ่นมากเท่าใดกันแน่ ทั้งคิดจะฉวยโอกาสทำเรื่องอะไรบางอย่างด้วย “เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวที่นิ่งอึ้งทำได้เพียงรับคำสั่ง “ให้ลู่หลัวควบคุมคนให้ดี นอกจากม่านเหอและลู่หลัวแล้ว อย่าได้ให้ใครติดต่อกับพ่อบ้านและสาวใช้ที่นี่ให้มาก ยิ่งไม่ต้องให้พวกนางสืบข่าวจากที่นี่ว่ามีสถานการณ์เช่นไร โดยเฉพาะเยี่ยนชูที่อยู่ข้างกายป้าเซียง ต้องจับตาดูให้ดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบเย็น “หรือว่าเยี่ยนชูมีอะไร…บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวไม่ทันจะพูดจบก็ถูกสายตาเยือกเย็นของเยี่ยนมี่เอ๋อร์สะกดไว้จนจำต้องกลืนลงไป เยี่ยนชูเข้าตระกูลเยี่ยนมานานกว่านางและลู่หลัวเสียอีก อยู่ข้างกายเซียงหลิงมาโดยตลอด เดิมทีก็ไม่ค่อยพูด ทั้งคบค้าสมาคมกับคนอื่นน้อยครั้ง “เมื่อวานแม่นมฉินพูดอะไรกับเจ้า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นว่าแม้นางจะไม่ได้เข้าใจมาก แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่นางจะสอดปากได้ ก็ไม่ถามอะไรให้มากความอย่างเชื่อฟัง จึงผ่อนคลายลง กล่าวถามออกไป เมื่อวานแม่นมฉินพาจื่อหลัวไปพูดคุยกันเพียงลำพัง นางไม่มีเวลาจึงไม่ได้ซักถามมาตลอด “แม่นมฉินไม่เข้าใจถึงการกระทำครั้งนี้ของสะใภ้ใหญ่อยู่บ้างเจ้าค่ะ กล่าวว่าตั้งแต่ตอนที่สหายเกเรของคุณชายอวี่ไข่ปรากฏตัว สะใภ้ใหญ่ก็ควรจะมีการเตรียมพร้อม เหตุใดครั้งนี้กลับไม่มี แม้แต่ตอนที่ข่าวลือแพร่สะพัดก็ล้วนทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เอาแต่รอจนฮูหยินใหญ่กรีฑาทัพมากล่าวโทษ นางอยากถามว่าสะใภ้ใหญ่ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ ป้าเซียงก็อยู่ในเหตุการณ์เช่นกันเจ้าค่ะ” จื่อหลัวมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่จู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเป็นกังวล “เจ้าตอบไปว่าอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าในใจเป็นความรู้สึกอย่างไร หรือว่า… “บ่าวกล่าวคล้อยตามคำพูดของแม่นมฉินไปเจ้าค่ะ กล่าวว่าตั้งแต่คุณชายใหญ่ออกจากจวนไป สะใภ้ใหญ่ก็เอาแต่จิตใจว้าวุ่น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่อยากทำ ทั้งอารมณ์ก็ไม่ดีอยู่บ้าง เรื่องข่าวลือก็ไม่กล้าเอาไปบอกท่าน ดังนั้นจึงได้มีเรื่องอย่างเมื่อวานเกิดขึ้น!” จื่อหลัวมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าเหตุใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงเริ่มสนใจการกระทำของแม่นมฉิน ไม่ใช่ว่านางไว้วางใจแม่นมฉินมาโดยตลอดหรอกหรือ? “เจ้าทำได้ดีมาก วันหลังหากแม่นมถามขึ้นมาอีก เจ้าก็บอกว่าข้านอนไม่หลับ จิตใจว้าวุ่น แต่หลังจากไหว้พระสวดมนต์ก็ดีขึ้นมาบ้าง กระนั้นก็ไม่อยากให้ใครมารบกวน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กำชับอย่างละเอียด เมื่อคืนจู่ๆ นางก็พบช่องโหว่นี้ จึงได้กังวลใจไปพักใหญ่ “เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวพยักหน้า กลับเห็นว่าจู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็หยัดกายขึ้น นำของที่เก็บเรียบร้อยแล้ววางไว้ด้านหลังมุ้ง ไม่ทันที่นางจะได้พูด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกเสียก่อน “สะใภ้ใหญ่ พวกเรากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” ตัวเซียงเสวี่ยยังไม่ทันมาถึง ก็ตะโกนเสียงดังลั่นมาก่อน จู่ๆ จื่อหลัวก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเหตุใดเซียงเสวี่ยจึงมักสอนไม่จำ ที่แท้ไม่ใช่ว่านางชอบพูดเสียงดัง แต่เป็นความคุ้นชินของนางที่ต้องเตือนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ว่ามีคนอื่นอยู่! เยี่ยนมี่เอ๋อร์สวมผ้าคลุมหน้าอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเห็นม่านเหอและเซียงเสวี่ยพาหญิงสาวหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเข้ามา สูงมากกว่าตัวเองประมาณห้าหกเซนติเมตร บนหลังยังแบกสัมภาระใบใหญ่มาด้วย ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกแป้งชาดอะไรพวกนั้น “สะใภ้ใหญ่ นี่คือแม่นางตงอวี่ เป็นคนของร้านเครื่องแป้งเก่าแก่ของตรอกชิงอวี่เจ้าค่ะ ข้าเดินชมดูแล้ว ของในร้านล้วนแต่ทำด้วยความประณีตชดช้อยทั้งนั้น จึงเชิญนางเอาของในร้านมาอย่างละชุด ให้สะใภ้ใหญ่ได้เลือกของที่ชื่นชอบ หากจำนวนน้อยไปจะให้นางเอามาส่งวันหลังก็ได้ หรือจะให้บ่าวไปซื้อในเวลานั้นก็ได้เจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยยิ้มร่า “ท่านคงไม่รู้ ร้านเครื่องแป้งของพวกนางซ่อนตัวอยู่ลึกมาก ไม่สะดุดตาสักนิดเลยเจ้าค่ะ หากไม่ใช่เพราะพี่ม่านเหอชี้ให้ข้าดู ข้าก็ยังคงจะไม่รู้ว่ามีร้านเครื่องแป้งเช่นนี้อยู่!” “ที่แท้ก็เป็นที่ที่ม่านเหอไปบ่อยนี่เอง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายกับกล่าวทั้งขมวดคิ้วอย่างไม่ยินดีอยู่บ้าง “ที่จริงบ่าวไม่เคยไปก่อนเจ้าค่ะ” จู่ๆ ม่านเหอเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวเสียงต่ำ ก็ตกใจกล่าว “เพียงแต่เคยฟังมาจากพวกพี่น้องว่าเครื่องแป้งของพวกเขาละเอียดประณีต คุณภาพดี แต่มีปริมาณไม่มาก ใช่ว่าจะซื้อได้เสมอไปเจ้าค่ะ ยามที่ผ่านทางก็สองจิตสองใจ จึงตัดสินใจเข้าไปดูเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะโชคดี ของหลายอย่างล้วนยังมีของอยู่ เซียงเสวี่ยเห็นก็กล่าวชมเช่นกันเจ้าค่ะ!” “เอามาให้ข้าดูหน่อยเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง ม่านเหอถอนหายใจเฮือกใหญ่ กระนั้นกลับมองแม่นางที่มีนามว่าตงอวี่จัดวางขวดโหลต่างๆ ลงบนโต๊ะอย่างเคร่งเครียด กังวลว่าหากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ถูกใจ ตัวเองก็จะไม่เป็นที่โปรดปราณ และยามนี้จื่อหลัวก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สะใภ้ใหญ่ ข้าไปจัดการธุระก่อนนะเจ้าคะ! พี่ม่านเหอไปช่วยหน่อยเถิด” “ไปเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ ม่านเหอก็ออกไปกับนางอย่างรีบร้อน “ตงอวี่คารวะคุณหนูเจ้าค่ะ!” หญิงสาวที่นามว่าตงอวี่พอได้ยินเสียงของพวกนางออกไปไกลแล้ว ก็คุกเข่าลงไปทันที “บ่าวยังคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบหน้าคุณหนูแล้วเสียอีก!” “เหตุใดม่านเหอจึงหาร้านพบได้?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แปลกใจอยู่บ้าง แต่ว่าสถานการณ์เช่นนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก “คุณหนูคงไม่รู้ ร้านเครื่องแป้งของพวกเรามีชื่อเสียงในแวดวงสาวใช้ของตระกูลซั่งกวนเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ!” ตงอวี่พูดไปพลางส่องกระจกไปพลาง ก่อนจะถอดหน้ากากหนึ่งชั้นออกจากใบหน้า เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่อยู่ในอีกชุดจึงปรากฏตัวขึ้นทันที “เป็นคำสั่งของท่านป้าใช่หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจ รับหน้ากากมาก่อนจะจัดแจงไปบนหน้าอย่างแผ่วเบา ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์ไม่สะดุดตาเมื่อครู่ “เจ้าค่ะ ท่านป้ากล่าวว่าคุณหนูอาจจะได้ใช้งาน ดังนั้นจึงให้บ่าวรักษาร้านนี้ไว้ให้ดี” ตงอวี่พยักหน้า ก่อนจะกลืนยาเม็ดหนึ่งลงไป เซียงเสวี่ยรีบส่งชาให้นางหนึ่งถ้วยทันที “คุณหนู…อะแฮ่ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปลี่ยนเสื้อผ้ากับตงอวี่อย่างรวดเร็ว รวมทั้งสวมรองเท้าที่ทำมาเป็นพิเศษของตงอวี่คู่นั้นด้วย ก่อนกินยาเม็ดหนึ่งเช่นกัน “คุณหนู” เสียงของตงอวี่เปลี่ยนไปอย่างมาก เหมือนกับของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ผิดเพี้ยน นางไอเบาๆ สองครั้ง กล่าวยิ้มๆ “ดีล่ะ เสียงก็เปลี่ยนแล้วเช่นกัน ตงอวี่เป็นหญิงสาวอีกคนหนึ่งของร้านเครื่องแป้ง หลังจากคุณหนูกลับไปที่ร้าน จะมีคนพาคุณหนูไปเรือนด้านหลัง เวลานั้นคุณหนูก็สามารถเผยโฉมได้แล้วเจ้าค่ะ ตงอวี่ก็จะนับว่าปรากฏตัวอยู่ที่ร้านเครื่องแป้ง แล้วคุณหนูจะกลับมาที่นี่เมื่อใดเจ้าคะ?” “ห้าวัน!” น้ำเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเช่นกัน นางยืนขึ้นเดินไปเดินมา ให้เซียงเสวี่ยเปลี่ยนทรงผมของนางให้เป็นเหมือนตงอวี่ ทั้งมองเซียงเสวี่ยที่กำลังทำผมให้นางใหม่ “หลังจากห้าวัน เซียงเสวี่ยจะเปลี่ยนตัวข้ากลับมาที่นี่ เจ้าแต่งเป็นเซียงเสวี่ย ตอนที่ไปเอาเครื่องแป้งที่ร้านก็ค่อยเปลี่ยนตัวกลับมา เซียงเสวี่ย จื่อหลัวรู้เรื่องนี้แล้ว เจ้าแค่ร่วมมือกับนางก็พอแล้ว!” “เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” เซียงเสวี่ยเห็นผลงานของตนเอง ก็ยังคงรู้สึกพอใจ “สะใภ้ใหญ่ ให้ข้าไปส่งท่านหรือให้คนอื่นไปส่งท่านดีเจ้าคะ?” “ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปส่ง อีกเดี๋ยวบอกเกี้ยวเล็กๆ คันหนึ่งให้ไปส่งข้าก็พอแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ห่อของที่อยู่หลังมุ้งมารวมกับพวกขวดโหลพวกนั้น ก่อนจะสลับตำแหน่งที่นั่งกับตงอวี่ “คาดว่าม่านเหอคงจะไปส่งท่านกลับอยู่ดี!” เซียงเสวี่ยกล่าวด้วยยิ้มระรื่น “ท่านน่าจะไม่รู้ ตงอวี่ถูกพาเข้ามาทั้งที่ปิดตา ในยามนั้นนางตัวสั่นเป็นลูกนก คล้ายกับว่าได้ตกใจจริงๆ!” “หญิงสาวธรรมดาพบกับสถานการณ์เช่นนี้จะไม่กลัวได้รึ?” ตงอวี่ถลึงตาใส่เซียงเสวี่ยไปที ทั้งแฝงด้วยท่าทีและจริตจะก้านของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางไม่ได้เพิ่งเคยแต่งเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์แค่ครั้งสองครั้ง ย่อมต้องรู้ดีว่าจะแสดงท่าทีอย่างไร “เจ้าสงวนท่าทีให้ข้าหน่อยเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก่นว่าทั้งรอยยิ้ม ภาพเช่นนี้ไม่ได้เห็นมานานแล้ว ดูแปลกอยู่บ้างทั้งก็คุ้นตาเช่นกัน “ในยามนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เพิ่งจะถูกรังแก จำต้องออกจากจวนมา เก็บท่าทีเริงร่าเช่นนั้นกลับไปให้ข้าเสีย!” “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” ตงอวี่ค่อยๆ รักษาท่าที เปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งอย่างพอเหมาะพอควร เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงค่อยพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามา จึงกล่าวด้วยเสียงดังขึ้นมาทันที “สะใภ้ใหญ่ ท่านลองใช้ของพวกนี้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าย่อมจะรีบทำของตามคำสั่งและจำนวนที่ท่านต้องการมาส่งให้ท่านอีกครั้ง ไม่อาจทำให้ท่านผิดหวังได้อย่างแน่นอน!” “สะใภ้ใหญ่ พ่อบ้านของเรือนคอยอยู่ด้านนอก ท่านอยากจะพบสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?” ผู้ที่เข้ามาคือจื่อหลัว นางมองอย่างระมัดระวัง เมื่อไม่พบความผิดปกติอันใด ก็ถามเพิ่มอีกประโยค “ยังดูของไม่เสร็จหรือเจ้าคะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง “จื่อหลัว ให้ม่านเหอส่งข้าออกไป ที่นี่ก็มอบให้พวกเจ้าแล้วกัน!” “ท่าน ท่าน…” จื่อหลัวตกตะลึงพรึงเพริด ดูจากท่าทีคือเจ้านายของตน แต่รูปลักษณ์ ส่วนสูง และน้ำเสียงล้วนมีความแตกต่าง! “หลังจากนี้ห้าวันจำไว้ว่าให้เซียงเสวี่ยเข้ามารับของด้วย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม ตบไหล่จื่อหลัว นางรีบดึงสติที่ลอยหลุดออกไปจากร่างกลับมา สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ พาเยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินออกไป… ———————–

“สะใภ้ใหญ่ นี่ท่าน?” จื่อหลัวแทบจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เก็บสัมภาระออกมา แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยรู้ว่าข้างกายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมีของแปลกๆ เช่นนี้อยู่ จึงมองอย่างตื่นตะลึง

“ข้าจะออกไปไม่กี่วัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองจื่อหลัวอย่างเรียบนิ่ง “จะต้องมีคนสวมรอยเป็นข้าอยู่ที่นี่ เจ้าและเซียงเสวี่ยต้องผสมโรงกันให้ดี อย่าให้ใครจับผิดได้!”

“อะ อะ อะ อะไรนะเจ้าคะ?” จื่อหลัวอ้าปากค้างด้วยความตกใจ คาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดเช่นนี้ออกมา นางจะออกไป? ไปที่ไหนกัน?

“เจ้าน่าจะรู้แล้ว ข้ามีหลายอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ความลับเมื่อก่อนที่เจ้าไม่เคยได้รับรู้?” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้จื่อหลัวฉุกคิดถึงเรื่องคืนวันนั้น ยาเดือดพล่านที่สาดกระเซ็นออกมา ก็ผงกศีรษะด้วยความตะลึงงัน

“ตอนที่ท่านป้ามีชีวิตอยู่เคยสอนวรยุทธ์ให้ข้าอยู่บ้าง…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองท่าทีของจื่อหลัวที่นิ่งอึ้งไป กล่าวอย่างราบเรียบ “แม้จะไม่ถึงกับไร้เทียบเทียม แต่เมื่อเทียบกับคนส่วนมากแล้วก็ยังนับว่าสูงกว่า ดังนั้นความปลอดภัยของข้าย่อมไม่เป็นปัญหาแน่!”

“เช่นนั้นใครจะมาสวมรอยเป็นท่านล่ะเจ้าคะ?” จื่อหลัวรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังฟังเรื่องเหลือเชื่ออยู่ก็มิปาน กระนั้นก็ยังตัดสินใจจะทำตามคำสั่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นี่กลายเป็นสัญชาตญาณและความเคยชินไปแล้ว

“เซียงเสวี่ยจะพาคนเข้ามา ถึงเวลานั้นเจ้าจะต้องสกัดม่านเหอไว้ให้ได้ ให้พวกเราได้มีเวลาสลับตัวกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบง่าย ในยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยพูดถึงเรื่องจะออกจากจวน นางก็ได้นึกถึงกลยุทธ์สับเปลี่ยนตัวออกมา เพียงทำได้แต่หาโอกาสที่เหมาะสมออกจากจวนอยู่ตลอด…ในตระกูลซั่งกวนไม่ได้เข้าออกอย่างง่ายดายถึงขนาดนั้น ทั้งยังมีเรื่องซับซ้อนมากมาย ยากที่จะจัดการเรื่องเช่นนี้

“เซียงเสวี่ย? เช่นนั้นหมายความว่านางจงใจกลิ้งลงมาจากบันไดเพื่อทำพวกแป้งชาดตกแตกหรือเจ้าคะ?” จื่อหลัวนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ทันที มิน่าเล่าเซียงเสวี่ยจึงพูดประมาณว่าพวกแป้งชาดนั้นให้นางเป็นคนเก็บเองก็พอแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาช่วย ผลลัพธ์จึงร่วงออกจากตะกร้าเช่นนั้น

“ใช่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้ว่าคงปิดบังจื่อหลัวที่ละเอียดรอบคอบไม่ได้ เผยยิ้มบางพลางกล่าว “เซียงเสวี่ยเป็นคนที่ป้าโม่ตั้งใจจัดการให้อยู่ข้างกายข้าเป็นพิเศษ ทั้งยังมีอีกคนหนึ่งที่อยู่ในลี่โจวมาโดยตลอด เซียงเสวี่ยจะไปรับนางเข้ามาแทนที่ข้า ขอเพียงแค่ให้นางหลบเลี่ยงกับการพบปะคนมากๆ ก็พอแล้ว”

“ท่านไม่ได้กล่าวว่าจะคัดลอกคัมภีร์หรอกหรือ? หากแม่นมพบว่าลายมือแปลกๆ ไปล่ะเจ้าคะ?” จื่อหลัวกังวลใจเป็นอย่างมาก เยี่ยนมี่เอ๋อร์มักจะคัดลอกคัมภีร์ในทุกปี และแม่นมฉินกับป้าเซียงก็มักจะเอาคัมภีร์ที่คัดลอกเสร็จแล้วไปดูกัน

“คัมภีร์ปีที่ผ่านๆ มา ส่วนมากก็มาจากการคัดลอกของนาง ตั้งแต่นางยังเล็กก็ได้เลียนแบบลายมือข้าแล้ว พวกแม่นมแยกไม่ออกหรอก!” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำเอาจื่อหลัวตกใจจนเสียหลักถอยหลังไปหลายก้าว ปีที่ผ่านๆ มา? หรือว่าคนที่ตั้งอกตกใจสวดมนต์ไหว้พระอยู่ในอารามหลายปีที่ผ่านมานั้นจะไม่ใช่คุณหนู?

“เจ้าเดาถูกแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าจื่อหลัวกำลังสงสัยอะไรอยู่ คำตอบของนางทำให้จื่อหลัวเวียนหัวอยู่พักใหญ่

“คุณชายใหญ่บอกว่า เร็วที่สุดคงสิบหกสิบเจ็ดวัน อย่างช้าที่สุดก็คงยี่สิบวัน เขาย่อมจะตามกลับมาแน่ วันนี้เป็นวันที่เก้า ข้าจะอยู่ด้านนอกห้าวัน จากนั้นก็จะกลับมา หากช่วงเวลานี้มีความเคลื่อนไหวอะไรก็อย่าได้เอามารบกวนข้า เข้าใจหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะเห็นเป็นอย่างมากว่าน้ำด้านนอกนั้นขุ่นมากเท่าใดกันแน่ ทั้งคิดจะฉวยโอกาสทำเรื่องอะไรบางอย่างด้วย

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวที่นิ่งอึ้งทำได้เพียงรับคำสั่ง

“ให้ลู่หลัวควบคุมคนให้ดี นอกจากม่านเหอและลู่หลัวแล้ว อย่าได้ให้ใครติดต่อกับพ่อบ้านและสาวใช้ที่นี่ให้มาก ยิ่งไม่ต้องให้พวกนางสืบข่าวจากที่นี่ว่ามีสถานการณ์เช่นไร โดยเฉพาะเยี่ยนชูที่อยู่ข้างกายป้าเซียง ต้องจับตาดูให้ดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบเย็น

“หรือว่าเยี่ยนชูมีอะไร…บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวไม่ทันจะพูดจบก็ถูกสายตาเยือกเย็นของเยี่ยนมี่เอ๋อร์สะกดไว้จนจำต้องกลืนลงไป เยี่ยนชูเข้าตระกูลเยี่ยนมานานกว่านางและลู่หลัวเสียอีก อยู่ข้างกายเซียงหลิงมาโดยตลอด เดิมทีก็ไม่ค่อยพูด ทั้งคบค้าสมาคมกับคนอื่นน้อยครั้ง

“เมื่อวานแม่นมฉินพูดอะไรกับเจ้า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นว่าแม้นางจะไม่ได้เข้าใจมาก แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่นางจะสอดปากได้ ก็ไม่ถามอะไรให้มากความอย่างเชื่อฟัง จึงผ่อนคลายลง กล่าวถามออกไป เมื่อวานแม่นมฉินพาจื่อหลัวไปพูดคุยกันเพียงลำพัง นางไม่มีเวลาจึงไม่ได้ซักถามมาตลอด

“แม่นมฉินไม่เข้าใจถึงการกระทำครั้งนี้ของสะใภ้ใหญ่อยู่บ้างเจ้าค่ะ กล่าวว่าตั้งแต่ตอนที่สหายเกเรของคุณชายอวี่ไข่ปรากฏตัว สะใภ้ใหญ่ก็ควรจะมีการเตรียมพร้อม เหตุใดครั้งนี้กลับไม่มี แม้แต่ตอนที่ข่าวลือแพร่สะพัดก็ล้วนทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เอาแต่รอจนฮูหยินใหญ่กรีฑาทัพมากล่าวโทษ นางอยากถามว่าสะใภ้ใหญ่ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ ป้าเซียงก็อยู่ในเหตุการณ์เช่นกันเจ้าค่ะ” จื่อหลัวมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่จู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเป็นกังวล

“เจ้าตอบไปว่าอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าในใจเป็นความรู้สึกอย่างไร หรือว่า…

“บ่าวกล่าวคล้อยตามคำพูดของแม่นมฉินไปเจ้าค่ะ กล่าวว่าตั้งแต่คุณชายใหญ่ออกจากจวนไป สะใภ้ใหญ่ก็เอาแต่จิตใจว้าวุ่น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่อยากทำ ทั้งอารมณ์ก็ไม่ดีอยู่บ้าง เรื่องข่าวลือก็ไม่กล้าเอาไปบอกท่าน ดังนั้นจึงได้มีเรื่องอย่างเมื่อวานเกิดขึ้น!” จื่อหลัวมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าเหตุใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงเริ่มสนใจการกระทำของแม่นมฉิน ไม่ใช่ว่านางไว้วางใจแม่นมฉินมาโดยตลอดหรอกหรือ?

“เจ้าทำได้ดีมาก วันหลังหากแม่นมถามขึ้นมาอีก เจ้าก็บอกว่าข้านอนไม่หลับ จิตใจว้าวุ่น แต่หลังจากไหว้พระสวดมนต์ก็ดีขึ้นมาบ้าง กระนั้นก็ไม่อยากให้ใครมารบกวน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กำชับอย่างละเอียด เมื่อคืนจู่ๆ นางก็พบช่องโหว่นี้ จึงได้กังวลใจไปพักใหญ่

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวพยักหน้า กลับเห็นว่าจู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็หยัดกายขึ้น นำของที่เก็บเรียบร้อยแล้ววางไว้ด้านหลังมุ้ง ไม่ทันที่นางจะได้พูด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกเสียก่อน

“สะใภ้ใหญ่ พวกเรากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” ตัวเซียงเสวี่ยยังไม่ทันมาถึง ก็ตะโกนเสียงดังลั่นมาก่อน จู่ๆ จื่อหลัวก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเหตุใดเซียงเสวี่ยจึงมักสอนไม่จำ ที่แท้ไม่ใช่ว่านางชอบพูดเสียงดัง แต่เป็นความคุ้นชินของนางที่ต้องเตือนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ว่ามีคนอื่นอยู่!

เยี่ยนมี่เอ๋อร์สวมผ้าคลุมหน้าอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเห็นม่านเหอและเซียงเสวี่ยพาหญิงสาวหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเข้ามา สูงมากกว่าตัวเองประมาณห้าหกเซนติเมตร บนหลังยังแบกสัมภาระใบใหญ่มาด้วย ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกแป้งชาดอะไรพวกนั้น

“สะใภ้ใหญ่ นี่คือแม่นางตงอวี่ เป็นคนของร้านเครื่องแป้งเก่าแก่ของตรอกชิงอวี่เจ้าค่ะ ข้าเดินชมดูแล้ว ของในร้านล้วนแต่ทำด้วยความประณีตชดช้อยทั้งนั้น จึงเชิญนางเอาของในร้านมาอย่างละชุด ให้สะใภ้ใหญ่ได้เลือกของที่ชื่นชอบ หากจำนวนน้อยไปจะให้นางเอามาส่งวันหลังก็ได้ หรือจะให้บ่าวไปซื้อในเวลานั้นก็ได้เจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยยิ้มร่า “ท่านคงไม่รู้ ร้านเครื่องแป้งของพวกนางซ่อนตัวอยู่ลึกมาก ไม่สะดุดตาสักนิดเลยเจ้าค่ะ หากไม่ใช่เพราะพี่ม่านเหอชี้ให้ข้าดู ข้าก็ยังคงจะไม่รู้ว่ามีร้านเครื่องแป้งเช่นนี้อยู่!”

“ที่แท้ก็เป็นที่ที่ม่านเหอไปบ่อยนี่เอง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายกับกล่าวทั้งขมวดคิ้วอย่างไม่ยินดีอยู่บ้าง

“ที่จริงบ่าวไม่เคยไปก่อนเจ้าค่ะ” จู่ๆ ม่านเหอเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวเสียงต่ำ ก็ตกใจกล่าว “เพียงแต่เคยฟังมาจากพวกพี่น้องว่าเครื่องแป้งของพวกเขาละเอียดประณีต คุณภาพดี แต่มีปริมาณไม่มาก ใช่ว่าจะซื้อได้เสมอไปเจ้าค่ะ ยามที่ผ่านทางก็สองจิตสองใจ จึงตัดสินใจเข้าไปดูเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะโชคดี ของหลายอย่างล้วนยังมีของอยู่ เซียงเสวี่ยเห็นก็กล่าวชมเช่นกันเจ้าค่ะ!”

“เอามาให้ข้าดูหน่อยเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง

ม่านเหอถอนหายใจเฮือกใหญ่ กระนั้นกลับมองแม่นางที่มีนามว่าตงอวี่จัดวางขวดโหลต่างๆ ลงบนโต๊ะอย่างเคร่งเครียด กังวลว่าหากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ถูกใจ ตัวเองก็จะไม่เป็นที่โปรดปราณ และยามนี้จื่อหลัวก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สะใภ้ใหญ่ ข้าไปจัดการธุระก่อนนะเจ้าคะ! พี่ม่านเหอไปช่วยหน่อยเถิด”

“ไปเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ ม่านเหอก็ออกไปกับนางอย่างรีบร้อน

“ตงอวี่คารวะคุณหนูเจ้าค่ะ!” หญิงสาวที่นามว่าตงอวี่พอได้ยินเสียงของพวกนางออกไปไกลแล้ว ก็คุกเข่าลงไปทันที “บ่าวยังคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบหน้าคุณหนูแล้วเสียอีก!”

“เหตุใดม่านเหอจึงหาร้านพบได้?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แปลกใจอยู่บ้าง แต่ว่าสถานการณ์เช่นนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก

“คุณหนูคงไม่รู้ ร้านเครื่องแป้งของพวกเรามีชื่อเสียงในแวดวงสาวใช้ของตระกูลซั่งกวนเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ!” ตงอวี่พูดไปพลางส่องกระจกไปพลาง ก่อนจะถอดหน้ากากหนึ่งชั้นออกจากใบหน้า เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่อยู่ในอีกชุดจึงปรากฏตัวขึ้นทันที

“เป็นคำสั่งของท่านป้าใช่หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจ รับหน้ากากมาก่อนจะจัดแจงไปบนหน้าอย่างแผ่วเบา ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์ไม่สะดุดตาเมื่อครู่

“เจ้าค่ะ ท่านป้ากล่าวว่าคุณหนูอาจจะได้ใช้งาน ดังนั้นจึงให้บ่าวรักษาร้านนี้ไว้ให้ดี” ตงอวี่พยักหน้า ก่อนจะกลืนยาเม็ดหนึ่งลงไป เซียงเสวี่ยรีบส่งชาให้นางหนึ่งถ้วยทันที

“คุณหนู…อะแฮ่ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปลี่ยนเสื้อผ้ากับตงอวี่อย่างรวดเร็ว รวมทั้งสวมรองเท้าที่ทำมาเป็นพิเศษของตงอวี่คู่นั้นด้วย ก่อนกินยาเม็ดหนึ่งเช่นกัน

“คุณหนู” เสียงของตงอวี่เปลี่ยนไปอย่างมาก เหมือนกับของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ผิดเพี้ยน นางไอเบาๆ สองครั้ง กล่าวยิ้มๆ “ดีล่ะ เสียงก็เปลี่ยนแล้วเช่นกัน ตงอวี่เป็นหญิงสาวอีกคนหนึ่งของร้านเครื่องแป้ง หลังจากคุณหนูกลับไปที่ร้าน จะมีคนพาคุณหนูไปเรือนด้านหลัง เวลานั้นคุณหนูก็สามารถเผยโฉมได้แล้วเจ้าค่ะ ตงอวี่ก็จะนับว่าปรากฏตัวอยู่ที่ร้านเครื่องแป้ง แล้วคุณหนูจะกลับมาที่นี่เมื่อใดเจ้าคะ?”

“ห้าวัน!” น้ำเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเช่นกัน นางยืนขึ้นเดินไปเดินมา ให้เซียงเสวี่ยเปลี่ยนทรงผมของนางให้เป็นเหมือนตงอวี่ ทั้งมองเซียงเสวี่ยที่กำลังทำผมให้นางใหม่ “หลังจากห้าวัน เซียงเสวี่ยจะเปลี่ยนตัวข้ากลับมาที่นี่ เจ้าแต่งเป็นเซียงเสวี่ย ตอนที่ไปเอาเครื่องแป้งที่ร้านก็ค่อยเปลี่ยนตัวกลับมา เซียงเสวี่ย จื่อหลัวรู้เรื่องนี้แล้ว เจ้าแค่ร่วมมือกับนางก็พอแล้ว!”

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” เซียงเสวี่ยเห็นผลงานของตนเอง ก็ยังคงรู้สึกพอใจ “สะใภ้ใหญ่ ให้ข้าไปส่งท่านหรือให้คนอื่นไปส่งท่านดีเจ้าคะ?”

“ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปส่ง อีกเดี๋ยวบอกเกี้ยวเล็กๆ คันหนึ่งให้ไปส่งข้าก็พอแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ห่อของที่อยู่หลังมุ้งมารวมกับพวกขวดโหลพวกนั้น ก่อนจะสลับตำแหน่งที่นั่งกับตงอวี่

“คาดว่าม่านเหอคงจะไปส่งท่านกลับอยู่ดี!” เซียงเสวี่ยกล่าวด้วยยิ้มระรื่น “ท่านน่าจะไม่รู้ ตงอวี่ถูกพาเข้ามาทั้งที่ปิดตา ในยามนั้นนางตัวสั่นเป็นลูกนก คล้ายกับว่าได้ตกใจจริงๆ!”

“หญิงสาวธรรมดาพบกับสถานการณ์เช่นนี้จะไม่กลัวได้รึ?” ตงอวี่ถลึงตาใส่เซียงเสวี่ยไปที ทั้งแฝงด้วยท่าทีและจริตจะก้านของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางไม่ได้เพิ่งเคยแต่งเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์แค่ครั้งสองครั้ง ย่อมต้องรู้ดีว่าจะแสดงท่าทีอย่างไร

“เจ้าสงวนท่าทีให้ข้าหน่อยเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก่นว่าทั้งรอยยิ้ม ภาพเช่นนี้ไม่ได้เห็นมานานแล้ว ดูแปลกอยู่บ้างทั้งก็คุ้นตาเช่นกัน “ในยามนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เพิ่งจะถูกรังแก จำต้องออกจากจวนมา เก็บท่าทีเริงร่าเช่นนั้นกลับไปให้ข้าเสีย!”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” ตงอวี่ค่อยๆ รักษาท่าที เปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งอย่างพอเหมาะพอควร เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงค่อยพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามา จึงกล่าวด้วยเสียงดังขึ้นมาทันที “สะใภ้ใหญ่ ท่านลองใช้ของพวกนี้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าย่อมจะรีบทำของตามคำสั่งและจำนวนที่ท่านต้องการมาส่งให้ท่านอีกครั้ง ไม่อาจทำให้ท่านผิดหวังได้อย่างแน่นอน!”

“สะใภ้ใหญ่ พ่อบ้านของเรือนคอยอยู่ด้านนอก ท่านอยากจะพบสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?” ผู้ที่เข้ามาคือจื่อหลัว นางมองอย่างระมัดระวัง เมื่อไม่พบความผิดปกติอันใด ก็ถามเพิ่มอีกประโยค “ยังดูของไม่เสร็จหรือเจ้าคะ?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง “จื่อหลัว ให้ม่านเหอส่งข้าออกไป ที่นี่ก็มอบให้พวกเจ้าแล้วกัน!”

“ท่าน ท่าน…” จื่อหลัวตกตะลึงพรึงเพริด ดูจากท่าทีคือเจ้านายของตน แต่รูปลักษณ์ ส่วนสูง และน้ำเสียงล้วนมีความแตกต่าง!

“หลังจากนี้ห้าวันจำไว้ว่าให้เซียงเสวี่ยเข้ามารับของด้วย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม ตบไหล่จื่อหลัว นางรีบดึงสติที่ลอยหลุดออกไปจากร่างกลับมา สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ พาเยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินออกไป…

———————–

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset