เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 170 คิดถอยกลับ

“ท่านแม่ ท่านย่าเป็นอะไรรึ?” พิงถิงมองใบหน้าที่ซีดเผือดของทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างกังวลใจ ในความทรงจำของนาง แต่ไหนแต่ไรทั่วป๋าซู่เยวี่ยล้วนมีอำนาจแข็งแกร่ง น่าเกรงขาม ดูไม่แก่แม้แต่น้อย แม้จะเป็นตอนที่ท่านปู่จากไปก็ไม่เคยเห็นด้านอ่อนแอของนางอย่างนี้เช่นกัน

“ยังจะอะไรได้อีก ถูกคุณหนูคนนั้นบันดาลโทสะเอาน่ะสิ” อนุภรรยาหนิงกล่าวอย่างไม่พอใจ พวกนางล้วนคาดไม่ถึงว่าทั่วป๋าฉินซินจะพูดคำทิ่มแทงใจเช่นนั้นออกมาได้ ทุกประโยคนั้นคล้ายกับแฝงไปด้วยเข็มอาบยาพิษ ปักเข้ากลางใจของทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างเลือดเย็น

“นางทำเช่นนี้กับท่านย่าได้อย่างไร?” พิงถิงเอาแต่อยู่ในเรือนของตัวเองมาโดยตลอด แทบไม่ได้ซักไซ้เรื่องราวภายนอกว่าเกิดอะไรขึ้น นางไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง

“นางก็แค่เปิดเผยนิสัยที่แท้จริงของตัวเองเท่านั้น!” อนุภรรยาหนิงสั่นศีรษะ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลึกๆ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยและพวกตนนั้นล้วนรู้ดีว่าแผนครั้งนี้ไม่คุ้มค่า คนเช่นนี้หากต้องกลายมาเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนจริงๆ ก็นับว่าเป็นภัยพิบัติที่มาเยือนถึงประตูแล้ว!

“ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” พิงถิงไม่เข้าใจ แม้ทั่วป๋าฉินซินจะจองหองไร้มารยาท แต่นางก็ระมัดระมัดสงวนท่าทีกับทั่วป๋าซู่เยวี่ย เอาแต่ฝากความหวังในการแต่งเข้าตระกูลไว้กับทั่วป๋าซู่เยวี่ยตลอดมา เหตุใด จู่ๆ ก็มีท่าทีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเสียล่ะ!

“พิงถิง เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ถามจะดีที่สุด ไม่ต้องรู้อะไรนั้นดีที่สุดแล้ว!” แม่นมหนิงมองใบหน้าซีดขาวของทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ตั้งแต่เป็นลมก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาทั้งทอดถอนหายใจ “ตอนนี้เรื่องนี้มีเพียงแต่เจ้าที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิง อย่าได้ดึงตัวเองเข้ามาเลย พวกเราย่อมมิอาจกลายเป็นของฝังศพไปพร้อมกับคุณหนูผู้นั้นได้ทั้งหมด!”

“ของฝังศพอะไรกัน? ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” สีหน้าของพิงถิงล้วนเขียวคล้ำไปหมด นางไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้ถูกพวกนาง ‘บีบ’ จนออกไปจากจวนแล้วรึ? ทั้งพวกเขาก็วางแผนอย่างโหดเหี้ยม คิดจะนองเลือดที่เรือนสดับวายุแล้วมิใช่รึ? แม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะล้มเหลว หรือถูกเปิดเผย ก็ไม่น่าจะถึงกับฝังไปด้วยกันมิใช่หรือ!

“อย่างไรเจ้าก็กลับไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้นจะดีกว่า!” สิ่งที่อนุภรรยาหนิงเสียใจที่สุดก็คือการให้อวี่ไข่มาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากตั้งแต่แรกอวี่ไข่ปลีกตัวไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้อย่างพิงถิง ก็คงจะดีไม่น้อย!

“ข้าจะวางใจได้อย่างไร?” พิงถิงร้อนใจอยู่บ้าง หากไม่ใช่เพราะตนเอง พวกเขาก็อาจจะทำสำเร็จ? นางไม่กล้าจะคาดเดาเช่นนี้ต่อไปแล้วจริงๆ

“พิงถิง…แค่กๆ…” ไม่รู้ว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยฟื้นคืนสติขึ้นตั้งแต่เมื่อใด มองใบหน้าที่กระวนกระวายและเป็นกังวลของพิงถิง ก็สั่นศีรษะ “อย่างไรก็เชื่อฟังหน่อยเถิด กลับไปเสีย! ในยามนี้เรื่องนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวด้วย…แค่กๆ จำไว้ให้ดี เป็นข้าที่ตัดสินใจหาเรื่องคนข้างกายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก่อน เป็นฉินซิน เด็กผู้นั้นที่ตัดสินใจโดยพลการ สั่งให้คนโจมตีเรือนสดับวายุ หลังจากเรื่องเกิดขึ้นพวกเราจึงเพิ่งทราบถึงเรื่องนี้ จะขัดขวางก็ไม่ทันการณ์แล้ว…”

“เข้าใจแล้ว ฮูหยินใหญ่!” อนุภรรยาหนิงผงกศีรษะ นางปรารถนาอย่างยิ่งที่จะพาเด็กทั้งสองออกไปจากเรื่องนี้ แต่ในยามที่อวี่ไข่พาลูกผู้ลากมากดีพวกนั้นเข้ามาในตระกูลก็ได้เปรอะเปื้อนมลทินแล้ว หากจะล้างให้สะอาดหมดจดก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

“หนิงซิน เจ้าพาเด็กคนนี้ไปเสีย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องให้นางรู้ทั้งนั้น บางครั้งแสร้งเลอะเลือนเสียหน่อยใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่เสมอไป!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยนับว่าถูกทั่วป๋าฉินซินทำร้ายจิตใจอย่างถึงที่สุด นางรู้มาโดยตลอดว่าตัวเองนั้นพ่ายแพ้มาทั้งชีวิต ทำหน้าที่ภรรยาล้มเหลว ทำหน้าที่มารดาไม่สำเร็จ กระนั้นแต่ไหนแต่ไรมานางล้วนคิดว่าตนเองเป็นคุณหนูที่ดีที่สุดของตระกูลทั่วป๋าแล้ว ชั่วชีวิตนี้ของนางล้วนสู้บากบั่นเพื่อตระกูลทั่วป๋า แต่คำพูดของฉินซินทำให้นางได้เข้าใจ แม้ว่าจะอยู่ที่ตระกูลทั่วป๋า นางก็อาจจะเป็นได้แค่เรื่องขำขันเท่านั้น

“เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่!” อนุภรรยาหนิงพยักหน้า พาพิงถิงออกไป ข้างเตียงจึงว่างเปล่าทันที หลงเหลือเพียงแม่นมหนิงและแม่นมอี้สองคนเท่านั้น

“แม่นมหนิง อวี่ไข่ไม่ได้เข้ามาหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่ได้เห็นหน้าหลานที่ตัวเองรักและเอ็นดูที่สุดก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง

“มาแล้ว แล้วก็ไปแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงถอนหายใจ “เขานึกไม่ถึงว่าคุณหนูฉินซินจะพูดคำพวกนั้น จึงไปขอคำอธิบายจากคุณหนูผู้นั้น บ่าวไร้ประโยชน์ที่ไม่ได้ขัดขวางเขาเจ้าค่ะ!”

“ช่างเถิด ปล่อยให้เขาไปเสีย!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยถอนหายใจอย่างโศกเศร้า “ฉินซินพอเห็นข้าเป็นลมก็จากไปเลยใช่หรือไม่?”

“เจ้าค่ะ?” แม่นมหนิงชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงพูดความจริงออกไป นางกล่าวอย่างระมัดระวัง “ฮูหยินใหญ่ ล้วนต้องโทษปากของบ่าวที่พูดจาเหลวไหล จึงทำให้คุณหนูฉินซินได้ยินคำพูดที่ไม่ควรได้ยินพวกนั้น รออาการท่านดีขึ้นแล้ว บ่าวย่อมไปขอขมาต่อคุณหนู คลี่คลายความเข้าใจผิดและความแหนงใจระหว่างพวกท่าน!”

“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ เดิมทีก็ไม่มีการเข้าใจผิด!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยสั่นศีรษะ “ระหว่างพวกเราไม่มีความเข้าใจผิด เพียงแค่ข้าแก่แล้ว ไม่มีประโยชน์กับนางอีกต่อไป ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องเทิดทูนข้าอย่างระมัดระวังอีกแล้ว อันนี้ข้าเข้าใจ ทั้งรู้ว่าจะมีวันนี้เช่นกัน เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมาเร็วจนถึงขนาดนี้!”

“ฮูหยินใหญ่…” แม่นมหนิงรู้ว่านางเจ็บปวดถึงขนาดไหน ชั่วชีวิตนี้ของนางปกป้องคนของตระกูลทั่วป๋าแต่กลับได้รับการตอบแทนเช่นนี้ นี่กลับทำให้คนรู้สึกท้อใจ พวกนางอย่างไรก็ไม่เชื่อ หากไม่ใช่ว่าคนของตระกูลทั่วป๋ามักจะเอาเรื่องของทั่วป๋าซู่เยวี่ยมาพูดสนุกปาก แล้วทั่วป๋าฉินซินจะพูดคำเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร

“ข้าเหนื่อยแล้ว อยากจะพักผ่อนเงียบๆ เสียหน่อย!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยสั่นศีรษะ “ข้าไม่อยากจะสนใจอะไรทั้งนั้น ทั้งยังเข้าไปยุ่งไม่ไหวแล้ว แม่นมหนิง เจ้าบอกกับอวี่ไข่ สี่ห้าวันเจวี๋ยเอ๋อร์ก็อาจจะกลับมาแล้ว ให้เขาระวังตัวหน่อย ต้องล้างข่าวลือนั้นไปให้หมด เรื่องนั้นร้ายแรงกว่าเรื่องที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกบีบออกจากจวนเสียอีก หากให้พวกผู้อาวุโสสอดมือยุ่ง แล้วตัดสินว่าอวี่ไข่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาก็ย่อมยากที่จะเชิดหน้าชูตาออกมาได้อีกแล้ว!”

“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงถึงกับตกใจ นางรู้ว่าเรื่องนี้นับว่าร้ายแรง แต่ก็ยังคงประเมินผลลัพธ์ต่ำไป

“อีกอย่าง รั้งตัวเขาให้อยู่ในลี่โจว อย่าได้ออกไปแม้แต่ก้าวเดียว มิเช่นนั้นเขาอาจจะกลายเป็นแพะรับบาปได้” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้ปักใจเชื่อแล้วว่าทั่วป๋าฉินซินเป็นคนปล่อยข่าวลือออกไป แต่เวลานั้นนางอาจจะถูกเรื่องของเรือนสดับวายุกระตุ้นจนหน้ามืดตามัว ดังนั้นจึงได้เกิดความคิดแย่ๆ เช่นนี้ ยามนี้ย่อมต้องเสียใจเป็นที่สุด จากนิสัยของนาง ย่อมต้องหาวิธีสลัดตัวให้พ้น จากนั้นก็ให้คนอื่นมารับผิดแทน และนี่เป็นสิ่งที่นางคิดจะทำตั้งแต่แรก ส่วนยามนี้ ไว้ค่อยพูดเถิด!

“บ่าวย่อมจะเตือนเขาเจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงผงกศีรษะอย่างระมัดระวัง เชื่อฟังคำพูดของทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างแน่วแน่ ต้องพูดว่านิสัยของทั่วป๋าฉินซิน บางทีทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็อาจไม่กระจ่างแน่ชัด แต่นางย่อมเป็นคนที่เข้าใจดีมากที่สุด คนทั้งสองนับว่ามีส่วนคล้ายกันมากจริงๆ

“ไปเถิด!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพยักหน้าเล็กน้อย แม่นมหนิงก็ออกไปทันที

“แม่นมอี้…” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยปิดตาลง คล้ายกับหลับไปแล้ว แม่นมอี้ยกผ้าห่มขึ้นคลุมนางอย่างระมัดระวัง แต่จู่ๆ นางก็เอ่ยปากขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่!” แม่นมอี้กลับไม่ได้ตกใจ ตอบรับอย่างเป็นธรรมชาติ

“ข้ารู้ว่าเจ้ายอมที่จะจงรักภักดีกับตระกูลทั่วป๋ามากกว่า ทั้งยังยอมที่จะเชื่อฟังฉินซินมากกว่า!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “เจ้าและแม่นมหนิงไม่เหมือนกัน ลูกสาวของนางคืออนุภรรยาของฮ่าวเอ๋อร์ หลานของนางคือลูกอนุภรรยาของตระกูลซั่งกวน แต่เจ้านั้นเป็นโสดตัวคนเดียว พวกพี่ชายน้องชายล้วนรั้งตัวอยู่ที่เหยี่ยนโจว จะภักดีต่อตระกูลทั่วป๋าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกทีเดียว”

แม่นมอี้มือสั่นสะท้าน ไม่กล้าออกเสียง นางรู้ว่าการกระทำของตัวเองไม่อาจปกปิดสายตาจากทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้ แต่คาดไม่ถึงว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะพูดออกมาอย่างกระจ่างชัดขนาดนี้

“เจ้าไปบอกกับฉินซินตรงๆ บอกว่าข้าเจ็บปวดพอแล้ว ไม่อยากจะคิดยุ่งเรื่องของนางอีกแล้ว นางจะแต่งเข้าตระกูลได้หรือไม่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะสามารถตัดสินได้ ก่อนหน้านี้ไม่ได้ ตอนนี้ไม่ได้ ภายหลังยิ่งไม่ได้เช่นกัน” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างปวดใจ เป็นความผิดหวัง แต่ก็สื่อความหมายของการถอยเช่นกัน เรื่องนี้มาจนถึงตอนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางแบกรับได้แล้ว อย่างไรฮ่าวเอ๋อร์ก็เป็นลูกชายของตน แม้ว่าจะไม่สนิทชิดเชื้อ แต่ระหว่างทั้งสองก็ยากที่จะแบ่งแยกความสัมพันธ์ หากตนเองยอมถอยเช่นนี้ เขาย่อมไม่มอบตัวเองให้ผู้อาวุโสของเรือนอวี้ฉิงจัดการ แต่หากมาจนถึงขนาดนี้แล้วตนเองยังดึงดันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ก็ยากจะพูดแล้ว

“ฮูหยินใหญ่ไม่อยากจะให้คุณหนูแต่งเข้ามาแล้วหรือเจ้าคะ?” แม่นมอี้ชะงัก กล่าวถามอย่างเรียบง่าย

“นั่นไม่เกี่ยวกับข้า!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างเรียบเย็น “เรื่องมาจนถึงขั้นนี้แล้ว คิดอยากจะขจัดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกไปเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว หากฉินซินอยากจะเข้าตระกูล ก็มีเพียงทางเลือกเดียว นั่นก็คือยอมถอยหนึ่งก้าว แต่งเป็นภรรยารอง และการจะได้ตำแหน่งนั้นก็แสนง่าย ขอเพียงแค่สามารถมอบความบริสุทธิ์ให้เจวี๋ยเอ๋อร์ได้ก็เพียงพอแล้ว! อู๋เลี่ยนเยี่ยนก็เคยใช้วิธีนี้เช่นกัน จะไปถามนางหรืออนุภรรยาอู๋ก็ได้ ว่ามีวิธีอะไรบ้าง!”

แม่นมอี้ผงกศีรษะ รอหลังจากทั่วป๋าซู่เยวี่ยล่วงสู่นิทราจริงๆ ก็ค่อยเดินออกไปอย่างระมัดระวัง…

———————————

“ไม่ ข้าย่อมไม่อาจลดตัวไปอยู่ใต้คนต่ำต้อยผู้นั้น!” ทั่วป๋าฉินซินคาดไม่ถึงว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะทอดทิ้งตนเองจริงๆ นางไม่ใช่กล่าวว่าชั่วชีวิตนี้ของนางล้วนมุมานะบากบั่นเพื่อตระกูลทั่วป๋าหรอกรึ? เหตุใดครั้งนี้จึงไม่ยอมทำแล้ว? ทั้งยังให้พิงถิงปลีกตัวออกไปจากเรื่องนี้ ให้ทุกคนเอาเรื่องลอบโจมตีเรือนสดับวายุกลางดึกนั้นมาไว้ที่ตัวเอง? เหตุใดนางไม่พูดว่านั่นเป็นความคิดของนาง?

“คุณหนู บาดแผลที่ท่านทำร้ายฮูหยินใหญ่ครั้งนี้สาหัสเกินไปจริงๆ” แม่นมอี้กลับเข้าใจทั่วป๋าซู่เยวี่ย แน่นอนว่า เปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ถูกคนที่ตัวเองปกป้องมาโดยตลอดพูดจาให้เจ็บช้ำน้ำใจเช่นนี้ก็ล้วนใจอ่อนเช่นกัน

“สาหัสเกินไป? เช่นนั้นคำพูดพวกนั้นที่นางกล่าวใส่ข้าไม่ทำร้ายคนอย่างนั้นรึ?” ทั่วป๋าฉินซินกล่าวอย่างโมโห นางรู้ว่าคำพูดของตนทำร้ายจิตใจคนอื่น แต่สิ่งที่นางต้องการก็คือผลลัพธ์เช่นนั้น เวลานั้นในใจของนางพันยุ่งเหยิงกันไปหมด  หากไม่พูดทำร้ายจิตใจคนออกมา ให้คนที่ทำร้ายตัวเองได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวเช่นกัน นางก็ย่อมไม่อาจฟื้นฟูบาดแผลของตัวเองได้ แม้นางจะรู้ว่ามันจะทำให้ระหว่างนางและทั่วป๋าซู่เยวี่ยเกิดรอยแตกที่ไม่อาจสมานตัวกันได้ แต่นางก็ไม่คิดเสียใจภายหลังแม้แต่น้อย

“ฮูหยินใหญ่ถูกเรื่องข่าวลือกระตุ้นเข้า นางคิดว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าท่านจะเป็นคนทำ” แม่นมอี้แค่ฟังจากที่พวกนางพูดคุยกันนอกประตูเล็กน้อย ไม่คิดปิดบังก็พูดออกมาตรงๆ

“ข้าไม่ได้เป็นคนทำจริงๆ!” ทั่วป๋าฉินซินกล่าวอย่างโมโห เวลานั้นนางลนลานจนทำอะไรไม่ถูกไปหมด จะคิดไปทำเรื่องเช่นนั้นได้อีกอย่างไร!

“ฮูหยินใหญ่คิดว่าตระกูลซั่งกวนย่อมต้องสืบเสาะเรื่องนี้ให้แน่ชัด ชื่อเสียงของสะใภ้ใหญ่ถือเป็นหน้าตาของตระกูลซั่งกวน ไม่อาจจะปล่อยให้คนมาทำร้ายได้โดยง่าย หากมีอะไร คุณหนูจะต้องทำให้ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์!” แม่นมอี้เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อในคำพูดของทั่วป๋าฉินซิน ก็เหมือนกับที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยบอก เรื่องนี้นอกจากทั่วป๋าฉินซินแล้ว ก็ไม่มีใครคิดจะทำแล้วจริงๆ

“เจ้า…” ทั่วป๋าฉินซินอดโมโหขึ้นมาไม่ได้ หากล่วงเกินคนตรงหน้านี้อีกล่ะก็ นางย่อมต้องหัวเดียวกระเทียมลีบอยู่ในตระกูลซั่งกวนแล้วจริงๆ นางจึงทำได้เพียงข่มโทสะลงไป

“แน่นอนว่า หากคุณหนูไม่ได้เป็นคนทำ เช่นนั้นคุณหนูก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ย่อมต้องถึงเวลาที่ความจริงทุกอย่างปรากฏเอง” แม่นมอี้รู้ว่าไม่ง่ายที่จะไล่ต้อนนาง ทั้งไม่กล้าบีบนางอย่างจริงจัง มิเช่นนั้นนางย่อมเอาความโกรธก่อนหน้านั้นมาลงที่ตัวเองอย่างไม่สนใจอะไรแล้วค่อยพูดเป็นแน่ กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ส่วนฮูหยินใหญ่แนะนำว่า มิสู้ยอมลดตัวเป็นของคุณชายใหญ่ นั่งในตำแหน่งภรรยารองให้มั่นคง อย่างไรคุณหนูลองไตร่ตรองดีๆ สักหน่อย ขอเพียงแค่เข้าตระกูลซั่งกวน ก็มีทั้งโอกาสและความเป็นไปได้!”

“ข้าเข้าใจแล้ว!” ทั่วป๋าฉินซินคล้ายกับกัดฟันกล่าวแต่ละคำออกมา แม่นมอี้ลอบถอนหายใจ ทำความเคารพ ก่อนจะกล่าวลา ยังไม่ทันให้นางได้เดินออกมาไกล ก็ได้ยินเสียงข้าวของตกพื้นและแตกกระจาย นางถอนหายใจพลางสั่นศีรษะเล็กน้อย เดินจากไปโดยไม่คิดจะรั้งตัวอยู่สักนิด…

——————–

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset