เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 171 การกลับมา

“สะใภ้ใหญ่ ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียทีนะเจ้าคะ!” จื่อหลัวหวีผมให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง จิตใจที่ว้าวุ่นมาโดยตลอด ในที่สุดก็ผ่อนคลายขึ้นมา นางกังวลใจจริงๆ ว่าคนที่ปลอมตัวเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะถูกคนอื่นมองออก หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้นบ้าง

“จื่อหลัวกังวลใจหรอกรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มบาง สองวันนี้นางกลับรู้สึกอารมณ์แจ่มใสเป็นอย่างมาก ได้เที่ยวเล่นเสียยกใหญ่ คาดว่าในยามนี้คนที่ปวดหัวจนแทบระเบิดคงจะมีมาก คนที่หยั่งเชิงเดากันและกันก็ย่อมมีไม่น้อย ย่อมต้องสนุกแน่ๆ! หากเรื่องของเจวี๋ยราบรื่น พรุ่งนี้ก็อาจจะกลับมาแล้ว หลังจากเขากลับมาจะจัดการกับคนพวกนั้นอย่างไรกันนะ? โดยเฉพาะคนที่แพร่กระจายข่าวลือคนนั้น ฮิๆ…ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้ว่าต้องเป็นเรื่องสนุกแน่ๆ!

“จะไม่กังวลใจได้หรือเจ้าคะ?” จื่อหลังกรอกตาใส่นางอย่างใจกล้า แม้จะกล่าวว่าคนที่ปลอมเป็นสะใภ้ใหญ่นั้นจะแสดงได้อย่างแยบยลจริงๆ ทุกการกระทำ ทั้งการแสดงสีหน้าล้วนไม่มีหลุดออกมาให้เห็นสักนิด แต่ตัวปลอมอย่างไรก็ยังคงเป็นตัวปลอม ไม่อาจจะเป็นตัวจริงได้!

“สองวันนี้สะใภ้ใหญ่คงเที่ยวเล่นอย่างสุขใจไม่น้อยกระมัง!” เซียงเสวี่ยรู้ดีว่าบางครั้งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็มีงานอดิเรกที่เรียกได้ว่าไม่ค่อยดีนัก มักจะทำตัวเหมือนแมว หลังจากจับหนูเสร็จก็จะเล่นจนเกือบตายก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพียงแค่ไม่รู้ว่าครั้งนี้นางเกิดความคิดใหม่ๆ อะไรมาจัดการกับคนพวกนั้น…แน่นอนว่าสิ่งที่เซียงเสวี่ยแปลกใจยิ่งกว่าคือการเข้าออกในตระกูลซั่งกวนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่รู้ว่านางได้หาโอกาสลอบเข้าไปเที่ยวเล่นหรือไม่

“เที่ยวเล่นอะไรกัน? เพียงแค่เดินซื้อข้าวซื้อของในเมืองลี่โจวเท่านั้น!” ใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังล่องลอยอยู่ด้านนอกไม่ได้เก็บกลับมา กล่าวอย่างหงอยเหงาเซื่องซึม “อีกเจ็ดแปดวันก็จะเป็นงานประลองยุทธ์แล้ว ข้าย่อมต้องหาวิธีไปร่วมงานประลองยุทธ์ให้ได้!” ไม่รู้ว่าการปรากฏตัวอีกครั้งในนามของ ‘คุณหนูสุรา’ ต่อหน้าเจวี๋ยจะเป็นภาพอย่างไร เขาจะดีใจหรือว่าตกใจ? ถ้าหาก ‘คุณหนูสุรา’ บอกชอบเขา เขาจะยอมรับอย่างยินดีหรือปฏิเสธทางอ้อมกัน? แค่คิดก็รู้สึกเลือดเดือดพล่านขึ้นมาแล้ว!

“สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวร้องขึ้นมาอย่างตกใจ นางยังเที่ยวเล่นไม่พอ จะออกจากจวนไปอีกอย่างนั้นรึ? ในวันงานประลองยุทธ์คุณชายใหญ่ย่อมไปร่วมด้วย หากถูกคุณชายใหญ่จับผิดอะไรได้ขึ้นมาย่อมต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่!

“ไม่มีอะไรหรอก ในยามนี้ข้าแค่ลองพูดขึ้นมาเท่านั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตบหลังมือจื่อหลัวอย่างปลอบใจ ทว่ารอยยิ้มซุกซนที่ปรากฏตรงมุมปากอย่างแปลกประหลาดนั้นอย่างไรก็ไม่อาจปกปิดไว้ได้

“สะใภ้ใหญ่ เล่นกับไฟระวังจะถูกไฟเผานะเจ้าคะ!” เซียงเสวี่ยรู้ว่าในใจของนางย่อมต้องคิดวางแผนอะไรแปลกๆ อยู่ แต่ไหนแต่ไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ล้วนเป็นคนที่เดินหมากหนึ่งก้าวก็ต้องรอดูอีกสิบก้าวหรือถึงขนาดร้อยก้าว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็จะครุ่นคิดจากภาพรวมและความปลอดภัยเป็นหลัก แต่หญิงสาวหากได้แต่งกายแปลงโฉม หลังจากได้สวมหน้ากากอีกคนที่ใครก็ล้วนไม่รู้จักแล้ว ย่อมไม่เหมือนเดิม ความดื้อรั้น การกระทำสุ่มสี่สุ่มห้าเอาแต่ใจ ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องแปลกประหลาด ใช้สารพัดวิธีมากลั่นแกล้งคน…หากไม่รู้ว่าด้านที่แท้จริงเป็นอย่างไร ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเชื่อทั้งนั้นว่านั่นจะเป็นคนเดียวกัน

“วางใจเถิด สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเป็นคนที่ชอบชักศึกให้คนอื่นที่ไหนกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์โบกมือ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย จู่ๆ ดวงตาก็เปล่งประกาย นึกถึงสาเหตุและข้ออ้างที่จะตีตัวออกห่างจากซั่งกวนเจวี๋ย…

———————————

ซั่งกวนเจวี๋ยนึกไม่ถึงว่าภรรยาตัวน้อยที่ตนเองคะนึงหากำลังคิดจะจัดการอย่างไรกับตัวเองอยู่ เขาเพิ่งเดินทางตะลอนๆ อย่างเหน็ดเหนื่อยกลับมาลี่โจว อยากจะพบหน้ากับซั่งกวนจิ่น ถามให้ชัดเจนหน่อยว่าช่วงนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น จากนั้นก็จะกลับไปหาภรรยาทันที ทว่ากลับเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากซั่งกวนจิ่นก็ใบหน้าดำคล้ำขึ้นมาเสียก่อน

“พวกเขาช่างใจกล้าไม่เบาเลยนี่!” แก้วในมือของซั่งกวนเจวี๋ยนั้นแหลกละเอียดทันตา น้ำเสียงก็เย็นเยียบดั่งคมมีดที่เคลือบด้วยน้ำแข็ง ซั่งกวนจิ่นยังคงเผยท่าทีราบเรียบอย่างเช่นเคย ทว่าพ่อบ้านคนอื่นๆ นั้นกลับพากันสั่นสะท้านโดยไม่ได้นัดหมาย

“ข้าก็คาดไม่ถึงว่าพวกฮูหยินใหญ่จะใช้วิธีที่ต่ำช้าเช่นนี้มาทำลายชื่อเสียงของสะใภ้ใหญ่ ยิ่งนึกไม่ถึงอีกว่าพวกนางจะยอมเสี่ยงส่งคนจำนวนมากมายขนาดนั้นไปโจมตีเรือนสดับวายุ ข้าคิดว่าพวกเขามีเยอะ แต่แค่ส่งผู้มีฝีมือจำนวนหนึ่งเข้าไปลอบสังหารเท่านั้น!” ซั่งกวนจิ่นเผยท่าทีเรียบนิ่ง หากไม่ใช่กังวลว่าคนที่มีฝีมือดีของเรือนสดับวายุมีไม่มาก อาจเกิดช่องโหว่ เขาก็คงไม่เพิ่มกำลังคนที่เรือนสดับวายุหรอก ทั้งคงไม่อาจกวาดเรียบผู้ที่มาได้อย่างราบรื่น

“ตอนนี้คนพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามอย่างเยือกเย็น

“สะใภ้ใหญ่ได้กำชับมาว่า ทางที่ดีที่สุดอย่าปล่อยให้เหลือรอด เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดความบาดหมางระหว่างตระกูลซั่งกวนและตระกูลทั่วป๋า แต่ข้ายังคงไว้ชีวิตคนพวกนั้นอยู่ ยามนี้ขังไว้ในห้องใต้ดินของเรือนสดับวายุ” ซั่งกวนจิ่นเหลือพยานปากรอดชีวิตไว้ก็เพื่อให้ซั่งกวนเจวี๋ยกลับมาจัดการ นับเป็นเรื่องดีเช่นกันที่มีคนให้เขาระบายโทสะอยู่ มิเช่นนั้น ใครจะรู้ว่าเขาอาจจะข่มกลั้นโทสะไม่ไหวคิดบัญชีกับทั่วป๋าฉินซิน นั่นก็คงได้ผูกความแค้นกับตระกูลทั่วป๋าจริงๆ แล้ว

“ดีมาก!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างเรียบเย็น “ลุงจิ่น ให้คนทำลายตันเถียน[1]ของพวกเขา แล้วใช้โซ่แทงเข้าที่สะบักหลัง ก่อนฟ้าจะสว่างเอาพวกเขาไปทิ้งไว้ที่หอวีรบุรุษต่อหน้าผู้คน…อ่อ…ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ให้คนที่ชอบเล่นสนุกพวกนั้นคาดเดากันเอาเอง เชื่อว่าพวกเขาคงจะมีคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า!”

“เข้าใจแล้ว คุณชายใหญ่!” ซั่งกวนจิ่นรู้ว่าครั้งนี้ซั่งกวนเจวี๋ยไม่คิดจะไว้หน้าอะไรอีกแล้ว ต้องการโต้กลับอย่างดุเดือด คนพวกนั้นส่วนมากล้วนไร้ชื่อไร้นามไม่มีตัวตน กระนั้นยังคงมีคนจำนวนหนึ่งที่มีฉากหน้าเป็นคนของตระกูลทั่วป๋าซึ่งอยู่ในลี่โจว ไม่รู้ว่าหญิงสาวสองคนของตระกูลทั่วป๋านั้นคิดอย่างไร จึงได้ส่งคนเช่นนั้นออกมากัน

“ลูกผู้ลากมากดีห้าคนนั้นล่ะ?” ซั่งกวนเจวี๋ยเชื่อว่าซั่งกวนจิ่นย่อมไม่อาจปล่อยพวกที่กล้ามาท้าทายถึงหน้าประตูพวกนั้นไปง่ายๆ แน่ คงจะถูกขังไว้ที่ไหนสักแห่งของตระกูลซั่งกวน เมื่อนึกถึงพวกเขาที่ถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์คลุมโปงตีไปชุดใหญ่ เขาก็รู้สึกคลายความโกรธไปได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะปล่อยพวกเขาไป

“ข้าขังพวกเขาไว้ที่เรือนสดับวายุ ข้างๆ ห้องพวกคนของตระกูลทั่วป๋าเหล่านั้น บางทีพวกเขาคงจะเข้าใจแล้วว่าพวกเขาถูกคุณชายอวี่ไข่หลอกใช้ เพื่อให้ทั่วป๋าฉินซินได้ประโยชน์กระมัง!” ซั่งกวนจิ่นกล่าวอย่างราบเรียบ พวกวัชพืชเหล่านั้นคงตกใจจนแทบปางตาย หรืออาจจะถึงขนาดคิดว่าคนพวกนั้นเป็นคนที่ตระกูลทั่วป๋าส่งไปฆ่าปิดปากพวกเขา!

“ปล่อยพวกเขาออกมา!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวเรียบเย็น “บอกพวกเขาว่า ยามนี้ทั่วท้องถนนของลี่โจวล้วนพูดกันว่าพวกเขาแอบมีความสัมพันธ์กับสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน หากก่อนที่พวกเขาจะออกจากลี่โจวไป เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการสะสาง ตระกูลซั่งกวนก็คงไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาได้!”

“เข้าใจแล้ว คุณชายใหญ่!” ซั่งกวนจิ่นรู้ว่าครั้งนี้ซั่งกวนเจวี๋ยได้โมโหเข้าแล้วจริงๆ แม้ว่าลูกผู้ลากมากดีพวกนั้นจะออกมาแก้ข่าวลือ ทำตามคำพูดของซั่งกวนเจวี๋ย ก็ยากที่จะหลีกหนีความตายได้อยู่ดี

“ยังมีอาจารย์อี้สื่อท่านนั้น…เหอะ เขากังวลว่าชีวิตน้อยๆ ของเขาจะถูกหญิงสาวลึกลับคนนั้นเอาไป กลับไม่กังวลว่าตระกูลซั่งกวนจะทำให้เขาตายทั้งเป็นอย่างนั้นรึ! พาเขามาให้ข้า…” จู่ๆ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ชะงักเล็กน้อย “ช่างเถิด ไว้ชีวิตเขาก่อน เขายังมีประโยชน์อยู่ ข้าต้องให้เขาออกมาชี้ตัวคนที่ข่มขู่เขาด้วยตัวเอง ข้อมือด้านขวามีไฝสีแดงหนึ่งเม็ด บนร่างยังกลบกลิ่นหอมของดอกสาลี่ไม่มิด นั่นไม่ใช่เทพธิดาดอกสาลี่ที่ตระกูลทั่วป๋าภาคภูมิใจอย่างนั้นรึ! ให้เขาเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ที่โรงน้ำชาอี้สื่ออย่างละเอียด ให้ผู้ที่รับผิดชอบหอยุทธภพอี้สื่อของลี่โจวตรวจสอบมาให้ข้าอย่างจริงจัง หากมีสิ่งที่ทำให้ข้าไม่พอใจแม้แต่น้อย สถานที่ที่อยู่ในอำนาจของตระกูลซั่งกวนทั้งหมด อย่าได้ให้พวกคนหอยุทธภพอี้สื่อปรากฏตัวเด็ดขาด เจอใครก็ฆ่าให้หมด!”

“คุณชายใหญ่ นี่มันจะ…” ซั่งกวนจิ่นกังวลใจอยู่บ้าง นี่คล้ายกับว่าเกินไปอยู่บ้าง หอยุทธภพอี้สื่อนับว่าเป็นหูตาของราชวงศ์ อาจารย์อี้สื่อพวกนั้นก็ล้วนเคยเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ[2]ที่สอบระดับ จวี่เหริน[3]ไม่ผ่านมาก่อน นี่ถือเป็นการตั้งตัวเป็นศัตรูกับราชวงศ์อย่างไม่ต้องสงสัย

“ไม่เกินไปเลยสักนิด!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างเรียบเย็น “วันนี้อาจารย์อี้สื่อตัวเล็กๆ คนหนึ่งเพราะถูกคนข่มขู่ติดสินบนจึงกล้าสาดน้ำโคลนใส่สะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน ทำลายชื่อเสียงบริสุทธิ์ของหญิงสาวจนกลายเป็นเช่นนั้น พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าเขาจะกล้าทำเรื่องงามหน้าอะไรออกมาอีก หากไม่ให้พวกเขารู้ว่าอันใดคืออาญาสวรรค์ พวกเขาก็ยังจะคิดว่าตระกูลซั่งกวนไม่อาจจัดการอะไรกับพวกเขาที่เป็นคนของหอยุทธภพอี้สื่อได้! พวกเขาควรได้รับการสั่งสอนให้กระจ่างชัดว่าตัวเองเป็นใครกัน!”

“ส่วนฮูหยินใหญ่ รบกวนลุงจิ่นบอกกล่าวเสียหน่อย รอจนข้าจัดการเรื่องพวกนี้ให้สงบลงแล้วจะไปน้อมคารวะกับฮูหยินใหญ่ด้วยตนเอง และก็จะแสดงความขอบคุณที่นาง ‘ให้การดูแล’ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ตอนที่ข้าไม่อยู่บ้านเป็นอย่างดีด้วย!” ครั้งนี้ซั่งกวนเจวี๋ยไม่คิดจะไว้หน้าทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างสิ้นเชิง นางล้วนไม่สนใจความรู้สึกและหน้าตาของตัวเขาเลย เหตุใดตนเองยังจะต้องไว้หน้าด้วย?

“คุณชายใหญ่ อย่างไรนางก็เป็นผู้อาวุโส!” ซั่งกวนจิ่นกล่าวเตือน “หากท่านออกหน้า นั่นเท่ากับอกตัญญูไม่เชื่อฟัง เรื่องนี้สามารถมอบให้เหล่าผู้อาวุโสจัดการได้ อย่างเช่นผู้อาวุโสใหญ่ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยมีสีหน้าดีๆ ให้ฮูหยินใหญ่เลย หากให้เขาออกหน้า ย่อมต้องยอดเยี่ยมยิ่งกว่า!”

“นั่นมิสู้ให้ปู่เถาออกหน้า!” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะ “ผู้อาวุโสใหญ่นั่นกลายเป็นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ ชอบพูดวกวนไปมา ฮูหยินใหญ่ก็เป็นคนทึมทื่อ ถูกลงโทษอาจจะดึงสติกลับมาไม่ทันเสียด้วยซ้ำ ยังมิสู้ให้ปู่เถาเจ้าอารมณ์เป็นคนออกหน้า เขาย่อมทำให้ฮูหยินใหญ่เข้าใจความหมายของผู้อาวุโสใหญ่ได้แน่!”

“ขอท่านอาวุโสเถาออกหน้าก็ยังดีกว่าท่านออกหน้าเอง!” ซั่งกวนจิ่นกล่าวอย่างรู้แล้วรู้รอดไป ไม่ว่าจะอย่างไรแค่ไม่ให้คุณชายใหญ่เป็นฝ่ายออกหน้าเองก็พอ ไม่อย่างนั้นยังไม่รู้ว่าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่จนไม่สามารถจัดการได้ขนาดไหน! ฮูหยินใหญ่วันหนึ่งเป็นลมไปแล้วสองครั้ง หมอกล่าวว่า สองครั้งล้วนเป็นเพราะได้รับเรื่องกระทบจิตใจ ถูกกระตุ้นโทสะ ไม่อาจจะรับการกระทบกระเทือนได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น!

“อนุภรรยาหนิงว่างมาก ให้นางพาสาวใช้ไปอยู่เป็นเพื่อนอนุภรรยาอู๋ ส่งข่าวให้เรือนบำเพ็ญเพียรของตระกูลทางนั้นว่า อนุภรรยาอู๋และอนุภรรยาหนิงมีใจฝักใฝ่ต่อพุทธศาสนาอย่างแท้จริง นอกจากพวกผักเต้าหู้ก็ไม่ขอแตะต้องอย่างอื่นอีกแล้ว!” ครั้งนี้ไฟโทสะของซั่งกวนเจวี๋ยปะทุอย่างไม่อาจสงบลงได้ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องย่อมไม่อาจหนีรอดได้แม้แต่คนเดียว

“เข้าใจแล้ว คุณชายใหญ่!” ซั่งกวนจิ่นผงกศีรษะ อนุภรรยาหนิงเติบโตอยู่ข้างกายฮูหยินใหญ่มาโดยตลอด มีฮูหยินใหญ่คอยปกป้อง ย่อมไม่รู้ว่าตนเองนับเป็นใครกันแน่ ไม่รู้ว่าอาศัยอยู่ในเรือนบำเพ็ญเพียรของตระกูลช่วงหนึ่งแล้วออกมาจะมีสภาพเป็นอย่างไร ยังมีอนุภรรยาอู๋ที่ดูท่าการใช้ชีวิตในเรือนบำเพ็ญเพียรของตระกูลคงจะไม่เลว ไม่รู้จักสงบเสงี่ยม ก็ควรให้สำนึกตัวเองดีๆ เช่นกัน

“บ่าวพวกนั้นที่ปล่อยข่าวลือ คนที่เป็นผู้นำตีให้ตาย ให้พวกบ่าวสาวใช้ทั้งหมดไปดูเสีย ส่วนพวกลูกน้องยังไม่ต้องจัดการ รอให้สะใภ้ใหญ่กลับมาก่อนค่อยว่ากัน!” ซั่งกวนเจวี๋ยกำชับอีก “อีกอย่าง สาวใช้ที่เรือนมีคู่ควรตรวจสอบออกมาให้ดีเสียหน่อย ให้ช่าจื่ออกหน้าชั่วคราว ขับไล่คนที่คิดไม่ซื่อออกจากจวนทั้งหมด อย่าได้ให้ย่างกรายเข้ามาในตระกูลอีกเป็นอันขาด!”

“เข้าใจแล้ว คุณชายใหญ่!” ซั่งกวนจิ่นพยักหน้ารับคำสั่งอีกครั้ง

“ข้าจะไปหาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ลุงจิ่นให้คนจัดการเรือนหิมะสุขใจเสียหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้ายไปอยู่ที่นั่น! ข้ากลับมาแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นให้นางน้อยใจอยู่แต่ที่นั่นไม่ได้ออกไปไหน รอจนถึงงานประลองยุทธ์ เก็บกวาดภายในจวนเสร็จดีแล้วพวกเราค่อยย้ายกลับเข้าไป!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างเรียบนิ่ง รวมถึงญาติผู้น้องตระกูลทั่วป๋าผู้นั้นก็ควรเก็บกวาดดีๆ เช่นกัน

“เข้าใจแล้ว คุณชายใหญ่!” ซั่งกวนเจวี๋ยยังคงพยักหน้าอีกครั้ง

ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ ก่อนหมุนกายจากไป ซั่งกวนจิ่นลงไปจัดการตามคำสั่งที่ซั่งกวนกวนเจวี๋ยกำชับมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะทันที ครั้งนี้ทิศทางลมของตระกูลซั่งกวนได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ…

——————————–

[1] ตันเถียน เป็นจุดกำเนิดพลังหรือแก่นหลักในการฝึกวรยุทธ์ หากถูกทำลายก็จะไม่สามารถใช้พลังหรือฝึกวรยุทธ์ได้อีก

[2] ซิ่วไฉ เป็นการสอบคัดเลือกเป็นขุนนางระดับท้องถิ่น

[3] จวี่เหริน เป็นการสอบคัดเลือกเป็นขุนนางระดับมณฑล

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset