เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 172 คู่สามีภรรยาอยู่พร้อมหน้ากัน

คู่สามีภรรยาที่ห่างกันไปสักพักจะดีกว่าคู่บ่าวสาวที่แต่งกันใหม่ๆ ไม่ต้องพูดถึงยามข้าวใหม่ปลามันที่ต่างก็ถูกแยกกันไปครึ่งเดือน เยี่ยนมี่เอ๋อร์รอให้ซั่งกวนเจวี๋ยอาบน้ำเป็นการส่วนตัว ทั้งสองนอนก่ายกอดรัดกันอยู่ในอ่าง หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยอาบน้ำอย่างสดชื่นเสร็จสิ้นแล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เอนนอนง่วงงัวเงียอยู่ในอ้อมแขนของเขา

“มี่เอ๋อร์ ทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานในช่วงนี้!” ซั่งกวนเจวี๋ยมองจิตวิญญาณที่ต่อสู้ของภรรยา ยกย่องราวกับโจวกงที่ยกทัพออกศึกและหัวใจเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขากอดนางไว้ในอ้อมอก ให้นางกอดคลอเคลียอย่างสบายๆ ในอ้อมแขนของเขา

“คิดถึงเจ้าคิดแล้วลำบากมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบอย่างคลุมเครือ เจตนาเข้าใจผิดความหมายของซั่งกวนเจวี๋ย นั่งขดอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้วพูดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “เคยชินที่มีเจ้าอยู่เคียงข้าง กลางวันก็ไม่เป็นไร แต่พอตกกลางคืนจะรู้สึกเหงาว่างเปล่า เหนื่อยมากจนจื่อหลัว ม่านเหอและคนอื่นๆ ผลัดเวรกันมาคุยเล่นกับข้า…เจ้ากลับมาก็วิเศษเลย!”

“ทั้งๆ ที่เจ้ารู้ว่าข้าพูดถึงอะไร” ซั่งกวนเจวี๋ยตบบั้นท้ายอันอวบอิ่มนวลเนียนของนางอย่างเบามือทีหนึ่ง เห็นนางทำท่าทำทางกระเง้ากระงอด ก็หัวเราะครืน ในช่วงเวลานี้เขาวิ่งไม่หยุดไปในที่ที่ต้องไปอย่างรีบด่วน จัดการกับวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นและปล่อยให้ผู้คนที่มีการเคลื่อนไหวแปลกๆ หายไป ยุ่งมากจนต้องเดินทางแม้กระทั่งเวลากินและนอน แม้คนที่ติดตามจะเป็นองครักษ์แข็งแกร่งระดับเหล็กกล้าที่ได้รับการปลูกฝังอย่างดีจากตระกูลซั่งกวน แต่สุดท้ายก็ยังบ่นกันระงม ในที่สุดก็กลับมาก่อนสี่วัน ไม่ปล่อยให้ภรรยาตัวน้อยของเขารอนานเกินไป

“ท่านพี่ต้องแบกรับคือความรับผิดชอบของตระกูลซั่งกวน ในฐานะภรรยาของเจ้าก็ย่อมต้องต่อสู้กับเรื่องในครอบครัวเพื่อเจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่ข้าแต่งเข้ามาในเวลาอันสั้น ระยะเวลาในการจัดการงานบ้านก็สั้นลง ตัวเองไม่มีอำนาจบารมีอันใดและไม่มีพ่อแม่สนับสนุน จะมีเหตุพลิกผันมันก็เลี่ยงไม่ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หาวหวอดๆ อย่างง่วงนอน นางไม่ต้องการยึดติดความคับแค้นใจของตนและร้องไห้หรืออะไรก็ตามแต่ ในเวลานี้ยิ่งดูนิ่งสงบมากเท่าใด ซั่งกวนเจวี๋ยก็จะรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น คนฉลาดไม่จำเป็นต้องขอให้คนอื่นช่วยระบายความโกรธ แต่ให้คนอื่นคิดเริ่มหรือแม้แต่ขอให้ตัวเองระบายความโกรธต่างหาก

เป็นจริงดังคาด ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกผิดมากขึ้น จูบที่ใบหน้าของมี่เอ๋อร์พลางกล่าวว่า “ข้าจะชดเชยเรื่องนี้ให้เจ้าจนพอใจแน่นอน จะไม่ปล่อยให้เจ้าถูกกลั่นแกล้งเสียเปล่าเช่นนี้เด็ดขาด! ทั้งฮูหยินใหญ่ อนุภรรยาหนิง อวี่ไข่ ผิงถิงและตัวการร้ายอย่างทั่วป๋าฉินซินด้วย จะไม่ให้หนีหายไปแม้แต่รายเดียว ข้าอยากให้ทุกคนรู้ว่า เจ้าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกได้”

“ไม่เอาแล้วกัน!” มี่เอ๋อร์ขยี้ตาแล้วพูดอย่างง่วงเหงาหาวนอนว่า “ถึงกระนั้นฮูหยินใหญ่ก็เป็นผู้อาวุโสอยู่ดี เจ้าจะอกตัญญูไม่ได้ ข้าไม่อยากให้เจ้าได้ชื่อว่าเป็นคนกตัญญูเพราะข้า อนุภรรยาหนิงแค่ทำตามฮูหยินใหญ่เท่านั้น นางเป็นเพียงผู้ประสานงาน ไม่มีข้อผิดพลาดอะไรใหญ่โต ให้นางปิดห้องคิดทบทวนสักสิบวันหรือครึ่งเดือนก็พอแล้ว สำหรับอวี่ไข่ อนิจจา…แท้จริงแล้วเขายังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านพ่อ ก็พอกล้อมแกล้มทนได้ ส่วนน้องฉินซินเป็นคุณหนูลูกสาวคนโตของตระกูลทั่วป๋า ควรเงียบไว้เรื่องราวจะได้สงบลง ไม่ต้องฟื้นฝอยหาตะเข็บ!”

“เจ้าใจดีมีน้ำใจเกินไปพวกเขาถึงได้ยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่า!” ซั่งกวนเจวี๋ยหวีเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของนางอย่างทะนุถนอม มี่เอ๋อร์เป็นเช่นนี้ทำให้เขารักหมดใจมากขึ้นและไม่สามารถให้อภัยคนที่ยื่นมือมืดมาทำร้ายลับหลังพวกนั้นได้ จึงยิ้มจางๆ กล่าวว่า “แล้วพิงถิงล่ะ? คิดว่าควรโดนลงโทษสักหน่อยไหม?”

“ผิงถิงไม่เกี่ยวเลยได้ไหม?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองค้อนให้เขาเบาๆ แวบหนึ่ง ใจดีหรือ? จำได้มารดาเคยบอกว่า จิตใจของคนเรายังเล็กกว่ารูเข็มที่เล็กที่สุดเสียอีก เพียงแต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เท่านั้นเอง

“นางไม่เกี่ยวข้องจริงหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่คาดคิดว่ามี่เอ๋อร์จะพูดแบบนั้น มีคนเห็นนางเข้าออกสวนหลังบ้านหลายครั้งและไปมาหาสู่ใกล้ชิดกับทั่วป๋าฉินซินด้วย

“เอาล่ะ นางเข้าร่วมด้วย! แต่นางก็เป็นห่วงข้าเหมือนกันและมาเตือนข้าด้วย แต่ก่อนที่ข้าจะทำอะไร ฮูหยินใหญ่ก็มาเคาะประตูแล้ว…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอ่อนแล้วพูดว่า “แม้ครั้งนี้ข้าจะถูกกลั่นแกล้งนิดหน่อย แต่ด้วยการดูแลของน้องอิงและผิงถิงกลับทำให้ข้ามีความสุขมาก ข้าจึงไม่อยากติดตามอะไรอีก ท่านพี่ ไม่ใช่ว่าข้าใจดีไม่เอาความ แต่ไม่จำเป็นต้องทำให้ครอบครัวแตกแยกเพราะข้า!”

“เจ้าน่ะ…” ซั่งกวนเจวี๋ยเกาจมูกของนางแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “แต่เจ้าเป็นนายหญิงดูแลตระกูลซั่งกวน จะทำเป็นเงียบให้จบเรื่องจบราวไม่ได้ ต้องยืนขึ้นสร้างบารมี รู้ไหม?”

“เข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขยับตัว โน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วพูดอย่างดุเดือดว่า “ถ้ามีใครมาทะเลาะกับข้าอีก ขัดขวางไม่ให้ข้านอนหลับสบาย ก็จะใช้เขาเป็นคนแรกมาสร้างบารมี!”

ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ดีว่านางไม่ต้องการพูดคุยในเชิงลึก และก็เหนื่อยมากจริงๆ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและซาบซึ้งใจที่เอ่อท้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ จึงกอดนางไว้แน่น เฝ้าดูนางผล็อยหลับไปด้วยใบหน้าพึงพอใจและสบายใจ ส่วนเขาย่อมเกลียดคนที่ไม่ยอมแพ้พวกนั้นยิ่งขึ้น

“นายน้อย…” ม่านเหอไม่คาดคิดว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะรอให้สะใภ้ใหญ่หลับก่อนแล้วหยัดกายขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังเรียกคนของตัวเองไปด้านหน้า เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างที่ต้องการสั่งกำชับกำชา

“ครั้งนี้พวกเจ้าทำให้ข้าผิดหวังเสียจริง!” ซั่งกวนเจวี๋ยจ้องมองใบหน้าของสาวใช้ใหญ่ทั้งสามที่สีหน้าไร้ราศีในทันทีอย่างเรียบเฉยแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าสั่งกำชับครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามจะต้องไม่ให้สะใภ้ใหญ่ถูกข่มเหงคะเนงร้าย แต่พวกเจ้าก็ยังไม่เตือนให้สะใภ้ใหญ่ออกจากจวนให้ทันเวลา ปล่อยให้สะใภ้ใหญ่ถูกฮูหยินใหญ่รังแก…”

“นายน้อย…” จื่อหลัวถอนหายใจอยู่ในอก หลังจากคิดไตร่ตรองเรื่องนี้มาหลายวัน นางรู้สึกตงิดๆ ว่าไม่เหมือนท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เมื่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับมานั้น นางก็ถามถึงเรื่องนี้ด้วย แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้าแค่อยากเห็นว่า ข้าถูกรังแก เมื่อเขากลับมาจะทำอย่างไร ข้าไม่สามารถทนต่อการลองหยั่งเชิงและยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่าของพวกนางได้อีก แทนที่จะไปเนิบช้าขนาดนี้ มิสู้ถูกราวีแล้วค่อยออกไปจะดีกว่า ข้าอยากเห็นว่าถ้าข้าโดนระรานมากขนาดนั้น ครั้นนายน้อยกลับมาจะทำอย่างไร!”

เซียงเสวี่ยหัวเราะร่วนแล้วพูดต่อ “นั่นสิ ถ้าคุณชายใหญ่กล้าจะระบายความโกรธกับสะใภ้ใหญ่ เราก็หาโอกาสออกไป ปล่อยให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับผู้หญิงที่น่ารังเกียจพวกนั้นต่อไป!”

นางจำได้ว่าตอนนั้นตนตกใจเหงื่อเย็นไหลแตกพลั่กไปทั้งตัว จะตำหนิเซียงเสวี่ยว่าปากไม่มีหูรูด แต่เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าเห็นด้วยจึงยิ้มพูดว่า “นั่นสิ! เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะกวาดสมบัติเงินทองออกไปแน่นอน ยามนั้นเราจะได้ใช้ชีวิตอิสระ ปล่อยให้เขาเฝ้าห้องว่างร้องไห้ไปเลย!”

นางมองคนทั้งสองที่น้ำตาคลอเบ้า ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อในสิ่งที่พวกนางพูดหรือไม่

“เจ้ามีอะไรจะพูด!” ซั่งกวนเจวี๋ยกลับอ่อนโยนต่อจื่อหลัวและลู่หลัวเล็กน้อย ไม่ว่าในกรณีใด พวกนางล้วนเป็นสาวใช้ที่ใกล้ชิดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่สุด อย่างน้อยก็ไว้หน้ามี่เอ๋อร์บ้างถึงจะถูก

“จริงๆ แล้วพวกบ่าวเคยเกลี้ยกล่อมให้สะใภ้ใหญ่ออกเรือนหลบหลีกฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ!” จื่อหลัวคิดอย่างรอบคอบแล้วเล่าว่า “วันนั้นฮูหยินใหญ่จงใจให้สะใภ้ใหญ่กลับเรือนท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้า จนได้พบกับคนที่มากวนใจพวกนั้น พวกบ่าวก็เคยชักชวน เพียงแต่ยามนั้นสะใภ้ใหญ่ไม่เต็มใจจะจากไป นางบอกว่าเจอเรื่องเล็กน้อยจะหนีไปไหนไม่ได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด…”

ครั้นเห็นสีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยค่อยๆ ผ่อนคลายลง จื่อหลัวก็กล้ามากขึ้นแล้วเล่าว่า “เมื่อวันรุ่งขึ้นคนเหล่านั้นไม่รู้ว่าถูกอาคมอะไร ไม่สนใจว่าพวกเขาเป็นแขกของนายน้อยอวี่ไข่เลย ก็มาถึงเรือนชาน…แค่กๆ หลังจากกวาดพวกเขาออกไปพ้นประตูแล้ว ตอนนั้นสะใภ้ใหญ่ก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะบอกว่า ถ้าออกไป แม้แต่ความคับแค้นใจที่อัดอั้นในอกก็จะไม่มีโอกาสขจัดออกไป แต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีใครจงใจแผ่ข่าวลือบางอย่าง บรรดาพี่น้องในจวนส่วนใหญ่รู้หลักการรักษาตัวรอดเป็นยอดดี จึงมิได้เข้าไปข้องเกี่ยวด้วย กลับบอกสิ่งเหล่านี้กับเราด้วยซ้ำ เตือนให้เราระมัดระวัง ในเวลานั้น ม่านเหอรวบรวมสิ่งของให้สะใภ้ใหญ่โดยตรง เพื่อให้สะใภ้ใหญ่หลีกเลี่ยงช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ไม่ทราบว่าทำไมสะใภ้ใหญ่ถึงดื้อรั้นขึ้นมา อยากจะดูว่าพวกเขาจะทำอะไรกับนางให้ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือสะใภ้ใหญ่นอนไม่หลับกระสับกระส่ายเล็กน้อย เพราะคิดถึงนายน้อย ถ้าออกจากเรือนมีคู่อีกครั้ง ไปยังสถานที่ที่ไม่มีร่องรอยของนายน้อย นางจะยิ่งปรับตัวแย่ลง ก็เลยเจ้าค่ะ…”

“จริงๆ แล้วถ้าไม่ใช่เพราะแม่นมฉินและป้าเซียงเป็นสาเหตุ สะใภ้ใหญ่กังวลว่าบ่าวไพร่ที่รับใช้อยู่ข้างกายเราจะถูกใช้เป็นเป้าหมาย พูดอย่างไรก็จะไม่ยอมออกไป นางบอกว่า นางจะรอนายน้อยกลับมาที่เรือนมีคู่เจ้าค่ะ…”

อะไรที่เรียกว่าคุยกัน นี่แหละที่เรียกว่าคุยกันสินะ! ม่านเหอยกนิ้วโป้งให้อย่างเงียบๆ ในก้นบึ้งของหัวใจ เชื่อว่านายน้อยจะไม่ตำหนิพวกนางอีกต่อไปด้วยคำพูดจริงบ้างเท็จบ้างของจื่อหลัว ในทางตรงกันข้ามจะรู้สึกผิดและศักดิ์ศรีจอมปลอมในฐานะผู้ชาย แม้นางจะมีบางเวลาที่ไม่เข้าใจว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดอะไรอยู่ แต่กลับรู้จักซั่งกวนเจวี๋ยดีที่สุด เป็นจริงดังคาด ซั่งกวนเจวี๋ยกระแอมไออย่างหนักแล้วพูดว่า “สรุปแล้วพวกเจ้าไม่ได้คิดตรึกตรองเรื่องนี้ให้รอบคอบ จึงทำให้สะใภ้ใหญ่น้อยเนื้อต่ำใจ แต่เรื่องมันผ่านไปแล้ว ข้าจึงไม่ได้ลงโทษโดยเฉพาะ แต่จงจำให้ดี หากมีเรื่องทำนองนี้ ต้องถูกลงโทษอย่างหนัก!”

“เจ้าค่ะ นายน้อย!” สาวใช้ทั้งสามรู้ว่าตนจะไม่ถูกลงโทษอีกแล้ว ต่างหยัดกายโขกศีรษะคำนับตามธรรมเนียม รอคำอธิบายและคำสั่งของซั่งกวนเจวี๋ย

“พรุ่งนี้เราจะย้ายไปพักที่เรือนหิมะสุขใจ!” จริงๆ แล้วซั่งกวนเจวี๋ยมีเรื่องที่สำคัญกว่าจะสั่งการ เมื่อเห็นสาวใช้ทั้งสามคนที่ จู่ๆ ก็อดรู้สึกดีใจเล็กน้อยไม่ได้ จึงพูดเรียบเฉยว่า “พวกเจ้าไม่ต้องระมัดระวังหรือกังวลอะไรก็ตาม เพียงแต่ พวกเจ้าต้องระวัง ต้องไม่ปล่อยให้ข่าวลือที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ ลอยมาถึงหูของสะใภ้ใหญ่ เข้าใจหรือไม่!”

“ข่าวลืออะไรเจ้าคะ?” ม่านเหอเอ่ยถามอย่างใจกล้า นางไม่เข้าใจว่าด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตัวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมีข่าวโคมลอยอะไรแพร่กระจายไปยังเรือนหิมะสุขใจ

“หลังจากที่ทั่วป๋าฉินซินเพิ่มข่าวลือบัดสีในจวนแพร่สะพัดให้ผู้คนในเมืองลี่โจวได้รับรู้ ถ้ามี่เอ๋อร์ได้ยินข่าวลือเหล่านั้นยังไม่รู้ว่าจะโมโหอย่างไร!” ซั่งกวนเจวี๋ยเชื่อว่าหญิงสาวที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี บรรดาคุณหนูที่มองว่าชื่อเสียงเป็นชีวิตจิตใจจะต้องโกรธตายแน่นอนเมื่อได้ยินข่าวลือดังกล่าว

“เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่!” ทั้งสามคนตอบพร้อมเพรียงกัน แต่จื่อหลัวคิดในใจว่าไม่เห็นด้วย ‘ข่าวลือเหล่านี้น่าจะเป็นคนที่ผสมปะปนอยู่ข้างนอกมาหลายวันแล้ว หลังจากกลับมาก็ยังขบคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนที่วิ่งหนีออกไปได้รู้เรื่องก่อน ไม่แน่นางยังช่วยผสมโรงให้ลุกเป็นไฟด้วยซ้ำ’

“แน่นอนว่าอาจมีข่าวลืออื่นๆ อีก แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามจงหยุดยั้งทั้งหมดไว้!” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ดีว่าเมื่อผู้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวจะมาออปรากฏตัวที่หน้าหอวีรบุรุษในเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ จะมีข่าวลืออีกมากแน่ ส่วนอาจารย์หวาที่ได้รับคำสั่งจะต้องกระโดดออกมาร้องไห้ว่าตนถูกบีบบังคับแน่นอน ตอนนี้ตระกูลทั่วป๋ามีทั่วป๋าฉินซินเพียงคนเดียวที่อยู่ในลี่โจว หญิงสาวโง่เขลาที่ไม่มีสมองผู้นั้นจะหัวร้อนไปชั่วขณะหรือไม่ และจะทำสิ่งใดที่น่าอัศจรรย์ใจอะไรอีกไหม?

“นายน้อย เหตุใดไม่ย้ายไปอยู่ที่เรือนสดับวายุเล่าเจ้าคะ?” ลู่หลัวถามอย่างไม่คิดอะไรมากว่า “สะใภ้ใหญ่ชอบที่นั่นมาก ถ้าพวกท่านไปพักที่นั่นล่ะก็สะใภ้ใหญ่จะดีใจมากแน่ๆ เจ้าค่ะ!”

ซั่งกวนเจวี๋ยชะงักเล็กน้อย เขาก็รู้ว่ามี่เอ๋อร์ชอบเรือนสดับวายุมากกว่า แม้เรือนหิมะสุขใจจะยังดีอยู่ แต่ก็เป็นฤดูชมหิมะเพลิดเพลินกับดอกเหมย ตอนนี้ทิวทัศน์อยู่ในระดับปานกลาง แต่การโจมตีในคืนนั้นแม้ตระกูลซั่งกวนจะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะสิ้นสุดลงได้ แต่มีผู้เสียชีวิตไม่น้อย รวมถึงเจ็ดแปดคนในตระกูลซั่งกวน ส่วนตระกูลทั่วป๋าก็มากกว่านั้น หากคนที่อ่อนไหวมั่นใจว่าได้กลิ่นเลือดจางๆ ก็มีเซียงเสวี่ยกับจื่ออวิ๋นสาวใช้ที่จมูกไวเป็นพิเศษสองคนที่อยู่ข้างกายมี่เอ๋อร์ ถ้าพวกนางพบสิ่งผิดปกติ จนทำให้มี่เอ๋อร์ตกใจก็จะเป็นเรื่องเลวร้าย

“เจ้ามันทึ่ม!” จื่อหลัวมองค้อนปะหลับปะเหลือกให้ลู่หลัวแล้วเอ่ยว่า “นายน้อยมีเรื่องต้องทำอีกมาก เรือนสดับวายุอยู่ห่างไกลขนาดนั้น การไปมาหาสู่กันลำบากเพียงใด! เรือนหิมะสุขใจอยู่ในเมือง กลับจวนก็สะดวกเช่นกัน ย่อมจะไปอยู่ที่เรือนหิมะสุขใจอยู่แล้ว!”

“ยังมีจื่อหลัวที่เข้าใจเจตนาของข้า เอาล่ะ พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ! พรุ่งนี้เที่ยงค่อยๆ เก็บข้าวของและย้ายไป!” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มบางๆ จริงสิ ถ้าคิดในด้านการเดินทางควรเลือกเรือนหิมะสุขใจจริงๆ ดูท่าตนจะพัวพันกับเรื่องโจมตีในยามวิกาล จึงไม่ได้คาดคิดจุดนี้

ครั้นเห็นบรรดาสาวใช้ออกไป ซั่งกวนเจวี๋ยเผยยิ้มเล็กน้อย หันกลับไปที่ห้อง ภรรยาตัวน้อยของเขายังคงรอเขาอยู่…

——————–

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset