เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 179 หว่านล้อม

“มี่เอ๋อร์ นี่เจ้าเป็นอะไรกัน?” ซั่งกวนเจวี๋ยมาถึงห้องหนังสือก็เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยืนคัดลอกคัมภีร์อยู่ด้านหน้าโต๊ะหนังสือ แม้ว่าจะให้ม่านเหอเรียกแล้ว ก็ยังคงอดถอนหายใจออกมาไม่ได้

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบ แต่พยายามตั้งใจคัดลอกหน้านั้นให้เสร็จ ก่อนจะวางด้านข้างเพื่อผึ่งให้แห้ง ทั้งค่อยๆ วางพู่กันลงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กล่าวกับซั่งกวนเจวี๋ยด้วยใบหน้าที่จริงจัง “สามี ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับท่านตามลำพังสักหน่อย”

ท่านอีกแล้ว! ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ จื่อหลัวที่ยืนคอยอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดเดินออกไปทันที แง้มปิดประตูครึ่งบาน ก่อนจะพาตัวเองไปเฝ้าอยู่ไกลๆ ตรงปากประตู

“วันนี้ข้าได้ยินเรื่องราวมาบ้างแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยายามปรับอารมณ์ทั้งวันของตัวเอง ในยามที่พูดประโยคนี้ น้ำตาก็ค่อยๆ ไหลลงอาบแก้ม ในใจรู้สึกดีใจอยู่บ้าง ดูท่าเวลาครึ่งวันนี้ไม่ได้เสียเปล่าเลยทีเดียว ในที่สุดก็ข่มกลั้นอารมณ์เปรมปรีดิ์ลงไปได้

“ข้าได้ยินที่ม่านเหอพูดแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจ รู้แล้วว่านางต้องการจะพูดเรื่องนี้

“แม้ข้าจะคิดมาโดยตลอดว่าสามีย่อมไม่อาจทนดูข้าได้รับความไม่เป็นธรรมได้ แต่ก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าสามีจะทำเช่นนี้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างจริงจัง ใบหน้าที่เผยรอยยิ้มทั้งยังประดับไปด้วยน้ำตาทำให้คนรู้สึกสงสารและเอ็นดูเป็นอย่างมาก

“เดิมทีข้าคิดว่าสามีย่อมลงโทษอวี่ไข่อย่างเด็ดขาด เพราะเขาไม่ควรจะทำร้ายชื่อเสียงของตระกูลซั่งกวนและชื่อเสียงของข้า พาคนไม่เอาไหนพวกนั้นเข้าตระกูลมา ทั้งยังร่วมมือกับพวกนาง คิดวิธีสร้างโอกาสให้ข้าพบเจอกับคนพวกนั้น ให้ข้าได้รับความเสื่อมเสียเช่นนั้น ซ้ำยังเป่าหูพวกเขามาท้าทายถึงหน้าประตู ทำลายชื่อเสียงของข้า แต่อย่างไรเขาก็เป็นน้องชายของท่าน อย่างไรเลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ สามารถทำโทษเขาได้ ข้าก็รู้สึกพอใจแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อว่าแม้แต่ข่าวลือยังหลุดออกมา คาดว่าซั่งกวนอวี่ไข่คงจะถูกโบยไปไม่น้อย ไม่รู้ว่าถูกตีไปกี่ไม้? ตีจนเนื้อตัวแตกยับหรือไม่? น่าเสียดายจริงๆ หากตัวเองอยู่ในจวนล่ะก็ ย่อมจะพยายามคิดสารพัดวิธีไปทาแผลเขาให้ได้ ให้เขาได้จดจำความเจ็บปวดนั้นไว้ตลอดกาล

“ข้าก็คิดเช่นกันว่าสามีจะปฏิบัติตัวต่อทั่วป๋าฉินซินอย่างเย็นชา หรือถึงกระทั่งส่งแขกออกไปอย่างไม่ไว้หน้า แต่กลับนึกไม่ถึงมาก่อนว่าสามีจะทำถึงขั้นนี้ ยิ่งคาดไม่ถึงว่าสามีจะไม่ไว้หน้ากระทั่งฮูหยินใหญ่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหนือความคาดหมายกับเรื่องนี้จริงๆ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็เป็นผู้อาวุโส แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะรู้เช่นกันว่าสองพ่อลูกซั่งกวนฮ่าวนั้นปฏิบัติกับนางไปตามหน้าที่เท่านั้น เดิมทีก็ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันอะไร…และแม้ว่าจะมี ก็ถูกนางสร้างปัญหาให้วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหายไปแล้ว! แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ไม่ได้หักหน้านางภายในตระกูล แต่กลับไม่ไว้หน้านาง เหยียบย่ำหน้าตาของตระกูลทั่วป๋าท่ามกลางสาธารณะชนอย่างดุเดือด ไม่รู้ว่ายามที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้เรื่องนี้จะเป็นไปเหมือนข่าวลือครั้งแรกจริงๆ หรือไม่ ที่ว่าโมโหจนกกระอักเลือด? น่าเสียดายจริงๆ ที่นางไม่ได้เห็นฉากระบายโทสะเช่นนั้นด้วยตาของตัวเอง

“มี่เอ๋อร์…” ซั่งกวนเจวี๋ยอยากจะพูดอย่างมากว่าไม่ใช่เพราะนาง อย่างน้อยสาเหตุก็ไม่ใช่เพราะนางเพียงคนเดียว แต่เพื่อที่จะมอบบทเรียนที่ลึกล้ำให้กับตระกูลทั่วป๋าเช่นกัน พวกเขาคล้ายกับว่านับวันก็ยิ่งเหิมเกริม กระทั่งเลือกเดินหมากส่งคนมาลอบฆ่าที่เรือนสดับวายุในยามวิกาลก็ยังคิดออกมาได้…แม้ว่าจะเป็นทั่วป๋าซู่เยวี่ยและทั่วป๋าฉินซิน คนที่ไม่มีสมองทั้งสองคนนี้คิดออกมาก็ตาม แต่ทั่วป๋ามู่เย่จะไม่รู้ว่า มันหมายความว่าอย่างไรเลยอย่างนั้นรึ? หมายความว่าจะเป็นศัตรูกับตระกูลซั่งกวน หมายความว่าเหยียบย่ำหน้าตาของตระกูลซั่งกวนไว้เบื้องล่าง ทั้งยังหมายความว่าประกาศสงครามกับตระกูลซั่งกวน ถ้าหากตัวเองไม่โต้กลับอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่ว่าจะเป็นการยอมรับว่าเกรงกลัวตระกูลทั่วป๋าหรอกหรือ?

“สามีโปรดฟังข้าพูดให้จบก่อนได้หรือไม่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างวิงวอน หากถูกเขาตัดบทอีกครั้ง ตัวเองย่อมต้องลืมความตั้งใจเดิม หลุดยิ้มและมีความสุขออกมาแน่ๆ

“เจ้าว่ามาเถิด!” ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจ กังวลภรรยาตัวน้อยที่จิตใจดีของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง มีจิตใจเมตตานั้นเป็นเรื่องดี แต่ก็เหมือนกับคำพูดที่ว่าแม่ทัพมีเมตตาย่อมคุมทหารไม่อยู่ ในอนาคตนางต้องเป็นคนคุมอำนาจภายในตระกูลซั่งกวน หากมีเมตตาใจกว้างมากเกินไป ก็จะถูกรังแกได้ง่ายดาย

“ที่จริงยามที่มี่เอ๋อร์ได้ยินเรื่องพวกนั้นก็รู้สึกดี ทั้งคิดว่าหวานซึ้งเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้สึกผิดเช่นกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างขมขื่น ก้มหน้าลง พอผ่อนคลายเล็กน้อยก็แทบจะกลั้นยิ้มออกมาไม่ไหว จากนั้นก็ค่อยกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ข้าเอาแต่ใคร่ครวญปัญหาหนึ่งมาโดยตลอด ปัญหาที่ว่าหากข้าพยายามกว่านี้อีกเสียหน่อย ทำให้ฮูหยินใหญ่โปรดปรานข้า ไม่ใช่เกลียดชังข้าดั่งเช่นตอนนี้ล่ะก็ เรื่องทั้งหมดนี้มันก็อาจจะไม่เกิดขึ้น? หากตั้งแต่แรกที่พิงถิงเตือนข้า ข้าก็ออกไปจากจวน ก็อาจจะไม่เกิดเรื่องภายหลังขึ้นเช่นนี้ มักจะรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ล้วนสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่กลับเป็นเพราะข้าพยายามไม่พอและคิดไปเอง เรื่องมันจึงได้เลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้”

นี่จะโทษนางได้อย่างไร? ซั่งกวนเจวี๋ยทอดถอนหายใจ หากพูดถึงความพยายาม นางได้พยายามมามากแล้ว! ภายในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งปี ตระกูลซั่งกวน นอกจากคนที่คิดร้ายพวกนั้นแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนชื่นชอบนาง และตัวเองก็รู้สึกดีใจที่ได้แต่งนางเข้าตระกูลมาโดยตลอด แทนที่จะกล่าวว่านางพยายามไม่พอ ยังมิสู้พูดว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยตาบอด…แน่นอนว่า เขากระจ่างใจดี ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่ได้ตาบอด ขอเพียงแค่คนที่เขาแต่งด้วยไม่ใช่บุตรสาวของตระกูลทั่วป๋า นางก็ย่อมคัดค้านความคิดเห็น แม้ว่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมีชาติกำเนิดในตระกูลเก่าแก่หรือขุนนางก็ตาม เพียงแต่หากชาติกำเนิดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เทียบเคียงได้กับทั่วป๋าฉินซิน พวกนางก็ไม่จะกล้าทำจนเกินไปหรือโจ่งแจ้งขนาดนี้เท่านั้นเอง

“ข้าไม่อยากกลายเป็นคนที่ทำให้ท่านไม่รู้จักความเหมาะสม ยิ่งไม่อยากจะกลายเป็น ‘นารีเป็นเหตุ’ สามีก็คงรู้ มารดาของข้ายามที่อยู่เซิ่งจิงก็เคยถูกเรียกว่าเป็น ‘หญิงงามล่มเมือง’ ยามที่ข้าได้ยินก็แทบจะลมจับ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจ “ดังนั้น ข้าอยากขอให้สามีให้เวลาข้าสักหน่อย ให้ข้าได้สามารถครุ่นคิดอย่างเงียบๆ คิดว่าตนเองควรจะทำอย่างไรกันแน่ และก็อยากให้สามีใจเย็นลงหน่อย อย่าได้ทำเรื่องเพื่อข้าจนกระทบกับครอบครัว ยิ่งอย่าได้บาดหมางกับตระกูลทั่วป๋าเพราะข้า”

ซั่งกวนเจวี๋ยนอกจากความจนใจแล้วก็มีแต่ความจนใจ เอาเถิด! เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็มีเหตุผลมาจากระบายโทสะแทนนางเช่นกัน…ที่จริง ตั้งแต่แรก เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็เป็นเพราะระบายความแค้นให้กับนาง แต่มาภายหลังซั่งกวนเจวี๋ยเพื่อที่จะปลอบใจตัวเอง ทั้งเพื่อให้พอเป็นเหตุเป็นผลกับทางเรือนอวี้ฉิงด้านนั้นได้บ้าง จึงได้ขยับเรื่องให้สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เขานั้นแบกรับชื่อเสียงที่ว่าลุ่มหลงในความงามจนโงหัวไม่ขึ้นได้ แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อาจจะกลายเป็น ‘นารีเป็นเหตุ’ คนนั้นได้ หากทางเรือนอวี้ฉิงยอมรับว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ก็ย่อมจะคิดหาวิธีทำลายนางอย่างแน่นอน

และยามนี้ดูเหมือนว่าเรือนอวี้ฉิงจะไม่ได้เห็นต่างจากการการะทำของเขาแต่อย่างใด ถึงขนาดควบคุมเรื่องอาหารการกินของอนุภรรยาหนิงและอนุภรรยาอู๋อย่างเข้มงวด ทั้งเพิ่มงาน…แบกน้ำให้ทำด้วยซ้ำ! แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นสร้างความลำบากให้พวกนาง เพียงแค่ให้พวกนางแบกน้ำที่ตัวเองต้องการใช้ประมาณสามกิโลจากสระมังกรเท่านั้น นอกจากเวลาทานอาหาร มีพวกผักเต้าหู้แล้ว น้ำก็ไม่มีจัดเตรียมไว้ให้ ไม่ต้องแบกก็ได้ ก็ไม่ต้องดื่มน้ำ ไม่ต้องล้างหน้าล้างตา อย่างไรเสื้อผ้าที่พวกนางเอาไปก็มีไม่น้อย ประมาณเจ็ดแปดชุดอยู่แล้ว สามารถสับเปลี่ยนมาสวมใส่จนสกปรกก็ค่อยว่ากัน จากท่าทีนี้แสดงให้เห็นจุดหนึ่งว่า เหล่าผู้อาวุโสนั้นอยู่ข้างตนเอง

“พอดีที่ช่วงนี้สามีเรื่องที่ต้องทำมากมาย ก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งวุ่นไปมา ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ไตร่ตรองเรื่องราวอยู่เงียบๆ เสียหน่อยเถิด!” ในที่สุดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็พูดออกมา คลี่ยิ้มทั้งชี้ไปที่คัมภีร์บนโต๊ะ “ที่จริงแล้ว กลางเดือนเจ็ดถึงต้นเดือดแปดของทุกปี มี่เอ๋อร์มักจะคัดลอกคัมภีร์และสวดมนต์ภาวนา ไม่ใช่มีใจเคร่งในเรื่องศาสนา แต่เป็นการแสวงหาความสงบอย่างหนึ่ง ทั้งยังเป็นการทำให้จิตใจผ่อนคลาย อย่างไรขอสามีโปรดช่วยทำให้สมปรารถนา!”

แผนเริ่มแรกของมี่เอ๋อร์ก็คือหลังจากได้ยินข่าวลือสาดเทเสียหายกับตัวเอง ก็จะกลับมาสร้างเรื่องออกบวชตัดขาดจากทางโลก หรือถึงขนาดแสดงละครปลงผม…แม่นมฉินหวงแหนเส้นผมของนางมาก แต่นางกลับเกลียดผมยาวสลวยที่ยุ่งยากจะจัดการนี้ เอาแต่คิดหาข้ออ้างจะตัดมันออกไปเสียหน่อย จากนั้นก็จะยกประเด็นพูดออกมาว่าตัวเองจะบำเพ็ญเพียรสงบจิตใจ กีดกันตัวเองจากซั่งกวนเจวี๋ย เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะปิดบังทำเรื่องเพื่อตัวเองถึงขนาดนั้น หากตัวเองยังทำเช่นนั้น ย่อมต้องทำให้เขาเจ็บปวดด้วยความผิดหวัง สำหรับคนรักของตัวเอง อาจจะสร้างเรื่องโดยไม่แจงเหตุผลได้ อาจจะระบายอารมณ์อย่างไม่สนใจก็ได้ แต่ย่อมไม่อาจทำให้เขาเจ็บปวดจากความผิดหวังได้ หากทำให้เขาเจ็บปวด แล้วจะมาทำดีให้หายภายหลัง ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องยากลำบากเรื่องหนึ่ง แต่อาจจะเป็นการผลักเขาไปหาคนอื่นก็ได้ ดังนั้นพอไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มี่เอ๋อร์จึงตัดสินใจหาข้ออ้างเพื่อดับความกระวนกระวาย ทั้งคิดหาเหตุผลเพื่อให้เรื่องของตัวเองดูสมเหตุสมผลมากที่สุด

“มี่เอ๋อร์ ก็เหมือนดั่งที่เจ้าพูด ข้ามีกิจธุระมากมาย ตอนกลางวันข้าคงไม่มารบกวนเจ้า แต่ยามกลางคืนข้าจะมาก็ไม่ได้หรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มขมขื่น เขาก็รู้ว่าหลังจากที่เยี่ยนมี่เอ่อร์ได้ยินเรื่องพวกนี้ย่อมต้องเดินอยู่ในทางตัน จึงได้ตั้งใจปิดบังนางไว้ นึกไม่ถึงว่าก็ยังถูกนางล่วงรู้อีก

“ท่านคิดว่ากลับมาตอนกลางคืนก็จะไม่รบกวนข้าแล้วอย่างนั้นรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถลึงตามองเขา “ข้าก็จะเอาแต่คิดว่าสามีกลับมาต้องการสิ่งใดหรือไม่ ข้าจะคิดถึงความหวานซึ้งของสามี ยิ่งอาจจะจิตใจว้าวุ้นเพราะรอสามีกลับมา หากว่าเป็นเช่นนั้น ข้าอยากจะสงบจิตสงบใจก็คงทำไม่ได้แล้ว”

“ทุกวันมี่เอ๋อร์ล้วนแต่คอยข้ากลับมาอย่างนั้นรึ?” ซั่งกวนเจวี๋ยจงใจหยอกล้อ “หากจู่ๆ ข้าไม่มา มี่เอ๋อร์จะไม่กอดหมอนนอนไม่หลับหรอกหรือ?”

“ท่าน…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดใจ กว่าจะปรับอารมณ์ออกมาได้ไม่ง่าย ก็ถูกคำพูดไม่กี่ประโยคของเขาเกือบทำจนเสียเรื่องแล้ว ไม่ได้ ย่อมต้องไล่เขาออกไป ไม่อาจปล่อยให้เขามารบกวนตนเองได้

“ข้ายังฟังอยู่นะ” ซั่งกวนเจวี๋ยกลับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาไม่อยากให้มี่เอ๋อร์รู้สึกผิดเพราะการกระทำทั้งหมดของตัวเอง ยิ่งไม่อยากให้นางเอาเรื่องทั้งหมดมาไว้ที่ตัวเอง

“ข้ารู้สึกผิดอยู่บ้าง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างใจเย็น ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่แน่ใจว่าหากไม่มีข้าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นหรือไม่ นั่นยากที่จะคาดการณ์ แต่เรื่องที่มั่นใจในยามนี้คือ ชนวนเหตุทั้งหมดล้วนอยู่ที่ตัวข้า ดังนั้นข้าจำเป็นต้องครุ่นคิดดีๆ สิ่งที่สำคัญกว่าคือข้าจำเป็นต้องสงบจิตสงบใจ ให้ข้าได้รู้จุดยืนของตัวเอง สามี ท่านรู้หรือไม่? ยามนี้สิ่งที่ข้ากังวลใจที่สุดก็คือตัวเองจะหลงระเริงเพราะคิดว่าเป็นคนโปรดจากเรื่องนี้ อาจจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนกับตัวเอง ถึงเวลานั้น ข้าว่าสามีก็คงจะเกลียดชังข้า”

“ข้าว่ามี่เอ๋อร์ในยามนี้เยือกเย็นและสงบนิ่งเป็นอย่างมาก!” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง ที่มากกว่านั้นคือความโมโห เขายังคิดว่าหากมี่เอ๋อร์ไม่เสียใจ นำความผิดทั้งหมดมาผูกมัดกับตนเอง ก็คงจะดีใจ คิดว่าตนเองเป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด คงจะมีความสุขจนถึงกับกระโจนสู่อ้อมกอด แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเวลานี้นางยังจะแสดงท่าทีอย่างชาญฉลาดเช่นนี้

“นั่นเป็นเพราะว่าทั้งบ่ายมี่เอ๋อร์ได้ตักเตือนตัวเอง อย่าได้ลืมตัว อย่าได้อกกตัญญูไม่รู้คุณ ลักษณะเช่นนั้นนับว่าน่ารังเกียจเหลือทน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง “สามีก็ให้มี่เอ๋อร์เอาแต่ใจสักครั้งเถิด!”

“เจ้าเนี่ยนะ…” ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจ ที่พอจะพูดได้ก็ให้นางพูดไปหมดแล้ว แล้วเขายังจะพูดอะไรได้อีก!

“ข้ารับปากกับท่าน ข้าย่อมต้องคิดให้กระจ่างได้ และก็จะจัดการให้ดีด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวทั้งยิ้มหวาน “สามีก็คงคาดหวังให้มี่เอ๋อร์เป็นเหมือนแต่ก่อนเช่นกันกระมัง!”

“ก็ได้!” ซั่งกวนจนใจ แต่เขาก็มีความสุขไม่น้อยที่เห็นมี่เอ๋อร์เป็นเช่นนี้ ตั้งแต่นางแต่งเข้าตระกูลมาอย่างระมัดระวัง กลัวจะเดินผิดทางจนถึงกระทั่งค่อยๆ พัฒนาความสามารถของตนเอง สร้างรากฐานความเชื่อมั่นของตนเอง จวบจนถึงตอนนี้ที่เริ่มดื้อรั้นเอาแต่ใจ ก็ล้วนนับเป็นก้าวหนึ่ง นี่แสดงให้เห็นว่านางได้ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตในตระกูลซั่งกวนและฐานะของตนเอง

“ขอบคุณสามี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดก็สมปรารถนา แต่ว่า…นางยิ้มในใจอย่างเจ้าเล่ห์ สามี ข้าอยากรู้เป็นอย่างมากว่าในยามนี้ในใจของท่าน มี่เอ๋อร์สำคัญกว่าหรือว่าคุณหนูสุราดีกว่ากันแน่ ท่านเตรียมรับมือไว้ได้เลย!

——————

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset