เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 194 บอกว่าจะไม่ไว้หน้าก็คือไม่ไว้หน้า

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ก็ไล่ทั้งลี่จือที่มาเป็นก้างขวางคอและซั่งกวนอิงที่เอาแต่รั้งตัวอยู่ไม่ยอมไปไหนเสียทีออกไป ซั่งกวนเจวี๋ยยกกาจื่อซาขึ้นมาอย่างพอใจ ก่อนจะดื่มจากพวยกาทั้งอย่างนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองกาน้ำชาในมือของซั่งกวนเจวี๋ยด้วยความอิจฉา ยกน้ำผสมน้ำผึ้งในมือของตัวเองขึ้นมาดื่มอย่างไร้รสชาติ ซั่งกวนเจวี๋ยมองภาพน่าขบขันนั้นก็ยิ่งดื่มด้วยความเบิกบานขึ้นไปอีก…หลังจากที่พบว่าตัวเองตั้งท้อง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตระหนักได้ว่าควรหยุดชาลง อย่างไรก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อครรภ์ จึงไม่แตะต้องอย่างเด็ดขาด

“มี่เอ๋อร์ เจ้าว่าหลังจากท่านพ่อและท่านแม่รู้ข่าวดีนี้จะรีบพากันกลับมาเลยหรือไม่?” ในวันที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟื้นคืนสติ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ส่งคนไปส่งข่าวที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตั้งท้องให้กับสองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวที่กำลังอยู่ที่เซิ่งจิง คาดว่าพวกเขาในยามนี้น่าจะทราบข่าวแล้ว

“ข้าว่าอาจจะเป็นเช่นนั้น!”เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถลึงตาใส่ซั่งกวนเจวี๋ยอย่างไม่พอใจไปที ก่อนจะส่งน้ำผสมน้ำผึ้งในมือที่ตนดื่มไม่ลงอีกแล้วให้กับจื่ออวิ๋นที่เผยหน้ายิ้มแย้ม คล้อยหลังกลับอดร้องครวญครางออกมาไม่ไหว…เซียงชุ่ย เด็กคนนั้นยกของถ้วยหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดเข้ามา สิบส่วนต้องเป็นยาบำรุงร่างกายอย่างแน่นอน หลายวันมานี้นางแทบที่จะดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายแทนน้ำไปแล้ว…ปัญหาก็คือแม้ว่าจะดื่มน้ำก็ไม่อาจดื่มได้มากถึงขนาดนั้นเถอะ

ซั่งกวนเจวี๋ยหัวเราะออกมาราวกับเรื่องไม่เกี่ยวกับตนทันที ทำท่าคล้ายอยากจะช่วยแต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ เขารู้ว่าในหนึ่งวันแม่นมฉินใช้เวลาเกือบครึ่งวันไปกับการตระเตรียมอาหารการกินประเภทต่างๆ ให้กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้ว อินหงหลันบอกว่าร่างกายของมี่เอ๋อร์นั้นแข็งแรง แต่อย่างไรบำรุงเสียหน่อยก็ย่อมดีกว่า จึงเปิดฉากร่ายชื่อของที่ดีต่อผู้หญิงท้องและลูกในครรภ์ทันที ซั่งกวนจิ่นก็ไปควบคุมดูการเคลื่อนย้ายสิ่งของตะกร้าแล้วตะกร้าเล่าส่งไปที่เรือนมีคู่ด้วยตัวเอง มี่เอ๋อร์เอาแต่บ่นไม่หยุดว่าพวกเขากะจะเลี้ยงนางให้เป็นหมู หากกินของพวกนั้นเข้าไปหมดจริงๆ นางก็คงจะอ้วนจนเดินไปไหนมาไหนไม่ได้แล้ว

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยู่ปาก รวบรวมความกล้าราวกับขึ้นไปบนแท่นประหาร ซดน้ำแกงไก่ที่มีรสชาติของเทียนหม่า[1] จนหมด เซียงชุ่ยมองถ้วยที่ว่างเปล่าอย่างพอใจ กล่าวยิ้มๆ “นายท่านอินบอกว่า เทียนหม่านี้ดีต่อสมองของเด็ก ในช่วงที่เด็กเพิ่งจะมีพัฒนาการบำรุงเสียหน่อยจะเป็นการดีกว่า สะใภ้ใหญ่ วันนี้พ่อบ้านจิ่นส่งเหอเถา (วอลนัท) มาให้เจ้าค่ะ บอกว่ากินแล้วผมของเด็กจะยาวเงางาม ข้าได้ให้พวกสาวใช้ช่วยกันทุบแล้วเจ้าค่ะ หากแกะเสร็จแล้วก็จะส่งมาให้ท่าน”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างไร้คำจะพูด นางนั้นชอบกินเหอเถา แต่ในเมื่อซั่งกวนจิ่นเป็นคนส่งมา เช่นนั้นแทบไม่ต้องคิดก็รู้ว่าคงจะขนเข้ามาเป็นตะกร้า เชื่อว่าย่อมทำให้ตัวเองกินจนเข็ดหลาบเป็นแน่

“สะใภ้ใหญ่ ฮูหยินให้คนใช้เกี้ยวส่งเจียจือเข้ามาเจ้าค่ะ กล่าวว่าเป็นห่วงที่สะใภ้ใหญ่ตั้งท้องคงจะลำบาก ไม่อาจดูแลคุณชายดีๆ ได้ ดังนั้นจึงแต่งหน้าทำผมให้เจียจือ ส่งนางเข้ามาปรนนิบัติคุณชายเจ้าค่ะ” ม่านเหอเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่มืดครึ้มน้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่พอใจ “แม่นมอี้กำลังรออยู่ที่หน้าประตูเรือน บอกว่ารบกวนให้สะใภ้ใหญ่มารับคนด้วยตัวเองเสียหน่อย นางจะได้กลับไปรายงานกับฮูหยินใหญ่ดีๆ ได้เจ้าค่ะ!”

“ให้พวกเขาไล่คนออกไปให้ข้าเสีย!” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยสีหน้าเย็นเยียบ นึกไม่ถึงว่าขนาดเขาพูดถึงเพียงนั้นแล้ว ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ หากครั้งนี้ยอมให้นาง ก็ย่อมมีครั้งต่อไปแน่ นางได้คืบจะเอาศอก ไม่ยอมเข้าใจเลยว่าอะไรคือความเหมาะสม…บางทีครั้งต่อไปอาจจะส่งทั่วป๋าฉินซินเข้ามาอย่างไม่สนใจอันใดก็ได้เลยกระมัง! ผู้หญิงคนนั้นยามนี้ชื่อเสียงได้ป่นปี้ไปหมดแล้ว แทบไม่มีใครอยากจะแต่งนางเข้าตระกูล แน่นอนว่า ยกเว้นคนที่มีเจตนาแฝง

“ข้าไปดูหน่อยดีกว่า!” แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหลังจากที่ซั่งกวนเจวี๋ยไปที่เรือนหลัง แต่ก็รู้ว่าคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าใด มิเช่นนั้นซั่งกวนเจวี๋ยก็คงไม่กลับมาในสภาพที่แม้แต่ข้าวก็ไม่ได้กินเช่นนี้หรอก แม้ในยามที่กลับมาจะเผยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่นางก็ยังคงจับสังเกตได้ อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดีนัก

“มี่เอ๋อร์…” ซั่งกวนเจวี๋ยขมวดคิ้ว ทั่วป๋าซู่เยวี่ยให้มี่เอ๋อร์ออกไปรับก็หมายความว่าคิดจะให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล้ำกลืนฝืนทนจำต้องรับนางเป็นเมียบ่าวมิใช่รึ? เขาไม่คิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี!

“สามี ข้าไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว หากมีเรื่องกระทบกระเทือนย่อมจะเป็นลมล้มพับได้ ท่านต้องระวังหน่อย อย่าให้ข้าล้มลงไปกับพื้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบกลับทั้งยิ้มที่เริงร่า ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่ใช่อยากจะเห็นท่าทีกลืนแมลงวันของนาง ข่มกลั้นความไม่เป็นธรรมและความน่าขยะแขยง ฝืนรับเมียบ่าวเข้ามาทั้งรอยยิ้มหรอกรึ? หากซั่งกวนเจวี๋ยถูกใจ นางย่อมยิ้มรับ จากนั้นก็กำจัดนางออกไปอย่างเงียบเชียบ แต่หากเจวี๋ยคัดค้าน นางก็แทบจะสามารถเอาแมลงวันที่ยิ้มตาหยีนี้ส่งคืนไปให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้เช่นกัน จะจัดการอย่างไรก็ต้องรอดูนางแล้ว!

“เจ้าตัวแสบ!” หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยชะงักไปชั่วครู่ก็เข้าใจความคิดของมี่เอ๋อร์ทันที หัวเราะก่อนจะเคาะหน้าผากนางไปเบาๆ “เช่นนั้นเจ้าไปก่อนเถิด ข้าย่อมจะปรากฏกายในเวลาที่เหมาะสมเอง”

“ไม่อาจจะทำให้ข้าล้มได้แม้แต่น้อยเชียว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มทั้งพยักหน้า ม่านเหอที่เข้าใจเรื่องราว เผยใบหน้ายิ้มขบขันขึ้นมา แสร้งทำเป็นดั่งเช่นปกติ แต่กลับหยีตาส่งให้จื่อหลัว ทั้งยังมีสาวใช้อีกไม่กี่คนที่เข้ามาเพราะได้ทราบข่าวด้วย ก่อนจะค่อยๆ เดินออกไปทางประตูเรือนด้วยท่าทีสบายๆ…

“สะใภ้ใหญ่!” แม่นมอี้ย่อกายคารวะให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างนอบน้อม ไม่มากความก็กล่าวตรงๆ “บ่าวได้รับคำสั่งจากฮูหยินใหญ่ให้แต่งหน้าทำผมเจียจือมาส่งเจ้าค่ะ”

“คุณชายใหญ่เห็นด้วยหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นนางพูดมาอย่างตรงๆ ก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน กล่าวถามอย่างตรงไป ตรงมายิ่งกว่า

“เดิมทีการรับเมียบ่าวก็เป็นเรื่องที่สะใภ้ใหญ่ควรจะทำเพื่อคุณชายใหญ่ ไม่มีความจำเป็นต้องให้คุณชายใหญ่พยักหน้าก่อนแล้วค่อยทำเจ้าค่ะ” แม่นมอี้กล่าวอย่างเรียบง่าย “ฮูหยินใหญ่ทราบว่าสะใภ้ใหญ่ไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว แต่ข้างกายกลับยังไม่มีคนที่ไว้ใจ เห็นสะใภ้ใหญ่ไม่มีการเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงได้ส่งเจียจือ คนข้างกายนางที่ใช้การได้มากที่สุด ทั้งหน้าตางดงามที่สุด แต่งหน้าทำผมส่งเข้ามาเจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่ควรจะซาบซึ้งใจฮูหยินใหญ่ถึงจะถูก เจียจือ ยังไม่ออกมาโขกหัวคำนับให้สะใภ้ใหญ่อีก!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีโทสะอยู่ในใจ นี่ไม่ใช่ชี้ให้เห็นหรือว่ามารังแกถึงหน้าประตูยังคิดจะให้ตนเองซาบซึ้งในบุญคุณอีก นางมองเจียจือที่แต่งโฉมอย่างงดงามชดช้อยด้วยความเยียบเย็น นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดง ค่อยๆ ก้าวลงมาจากเกี้ยว ก่อนจะโขกศีรษะคำนับแก่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ “ปี้เชี่ย[2] คารวะสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบี่ยงตัวหลบออกไปด้านข้างทันที กล่าวอย่างเยือกเย็น “ปี้เชี่ย? ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกแทนตัวเช่นนี้?”

แม่นมอี้เผยสีหน้าดำคล้ำเล็กน้อย “หรือสะใภ้ใหญ่จะทำลายความปรารถนาดีของฮูหยินใหญ่ล่ะเจ้าค่ะ?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใบหน้าซีดเผือด คล้ายกับถูกท่าทีที่แฝงด้วยความคุกคามของแม่นมอี้ทำให้ตกใจ ถอยหลังไปเล็กน้อย กลับไม่ทันระวังเหยียบเข้ากับกระโปรงของตัวเอง ก่อนจะหงายหลังไปอย่างแรง ล้มลงไปในอ้อมกอดที่รอคอยอยู่นานแล้ว

“นี่เจ้าข่มขู่สะใภ้ใหญ่อย่างนั้นรึ?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่กะพริบตาให้ตนอย่างน่าเอ็นดู กัดลิ้นเบาๆ ฝืนเกร็งใบหน้าที่จะเผยรอยยิ้มออกมา ใช้ใบหน้ามืดมนมองแม่นมอี้ที่มีท่าทีลนลาน แต่แววตากลับแฝงไปด้วยความเสียดาย ยิ้มเย็นอยู่ในใจ นี่นางคงเสียดายที่มี่เอ๋อร์ไม่ได้ล้มลงจริงๆ กระมัง?

“บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ!” แม่นมอี้คุกเข่าลงอย่างตะลีตะลาน กล่าวแก้ต่าง “บ่าวเพียงอยากให้สะใภ้ใหญ่ครุ่นคิดมากๆ อย่าได้ทำลายความปรารถนาดีของฮูหยินใหญ่ ไม่ได้มีความหมายอื่นใดเจ้าค่ะ!”

“ไม่ได้มีความหมายอื่นใดอย่างนั้นรึ?” ซั่งกวนเจวี๋ยกดสายตาชำเลืองมองแม่นมอี้ กล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้าได้พูดกับท่านย่าแล้วว่าไม่ต้องส่งคนเข้ามา หรือท่านย่าฟังคำพูดของข้าไม่เข้าใจ? หรือว่าเป็นพวกเจ้าที่หลอกล่อท่านย่า จึงได้ส่งคนมา ทั้งให้สะใภ้ใหญ่เป็นคนมารับเองเช่นนี้! พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าสะใภ้ใหญ่ในยามนี้ต้องระมัดระวังตัวถึงเพียงไหน ไม่อาจจะเหน็ดเหนื่อยได้”

“บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ! บ่าวเพียงทำตามคำสั่งของฮูหยินใหญ่เท่านั้นเจ้าค่ะ!” แม่นมอี้รู้ว่านี่เป็นงานที่ไม่นับว่าดีเท่าไร แต่แม่นมหนิงย่อมไม่อาจทำเรื่องนี้อย่างแน่นอน ทำได้เพียงให้นางทำหน้าที่เป็นคนที่น่ารังเกียจเช่นนี้

“ความหมายของเจ้าคือ ท่านย่าให้เจ้ามาข่มขู่สะใภ้ใหญ่อย่างนั้นรึ?” ซั่งกวนเจวี๋ยโมโหเป็นอย่างมาก กล่าวไปตรงๆ “บ่าวที่ปลิ้นปล้อนเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ปั่นหัวฮูหยินใหญ่ ยังกล้าใส่ความเสียอีก! ใครอยู่ตรงนั้น นำตัวนางไปโบยยี่สิบไม้ให้ข้าเสีย! ลงโทษเสร็จแล้วก็เอาไปโยนที่เรือนหลัง อย่าได้ให้เข้ามารกหูรกตาข้าอีก!”

“เจ้าค่ะ!” ฉับพลันก็มีหญิงแก่ที่จัดเตรียมไว้อยู่นานแล้วอุดปากของแม่นมอี้ไว้แล้วลากลงไปอย่างไม่เกรงใจ เจียจือ

มองด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด มึนหัวไปหมด รอการจัดการของซั่งกวนเจวี๋ยอย่างอกสั่นขวัญแขวน

“เจ้าก็คือเจียจือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเจียจือที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาเรียบเย็น สาวใช้ที่เขาเคยเห็นผ่านตานับร้อยพันครั้ง ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเอาแต่พูดว่าตั้งใจอบรมเลี้ยงดูคนรู้ใจให้กับเขา อนุภรรยาหนิงก็ไม่ใช่คนรู้ใจที่นางตั้งใจอบรมเลี้ยงดูเพื่อท่านพ่อหรอกหรือ? ในความทรงจำของเขา คนต่ำต้อยผู้นั้นวางตัวหยิ่งยะโส อวดดีลืมตัวทั้งกำเริบเสิบสาน ถึงขนาดอยากจะขึ้นมาในตำแหน่งภรรยา ให้ลูกสาวลูกชายของตนได้เปลี่ยนฐานะเป็นลูกภรรยาเอก คนต่ำต้อยที่เขาชิงชังจนอยากจะชักดาบขึ้นมาสังหาร มีอนุภรรยาหนิงแล้ว อย่าพูดเลยว่าตนเองและมี่เอ๋อร์มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นหวานปานน้ำผึ้ง  แม้ว่าจะไม่ได้มีความรู้สึกเฉกเช่นสามีภรรยาอะไรกับมี่เอ๋อร์ เขาก็ไม่ต้องการสาวใช้ที่มาจากข้างกายของนางอยู่ดี

“บ่าวคือเจียจือเจ้าค่ะ!” เจียจือรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้น มองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างลึกซึ้ง “บ่าวคือคนที่ฮูหยินใหญ่ส่งมาให้ปรนนิบัติคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ อย่างไรขอคุณชายใหญ่…” อย่างไรต่อนางก็พูดไม่ได้อีกแล้ว นางทำได้เพียงแสดงความในใจออกมาเท่านั้น นางเชื่อว่าคุณชายใหญ่ไม่อาจปฏิเสธ…ฮูหยินใหญ่ได้บอกไว้ คุณชายใหญ่พึงพอใจในตัวนางเป็นอย่างมาก เพียงแต่อุปสรรคอยู่ที่สะใภ้ใหญ่ กลัวว่ารับเมียบ่าวในยามนี้จะไปกระทบกับสะใภ้ใหญ่และลูกในท้อง ส่งนางมาที่เรือนมีคู่ก็เพื่อไว้หน้าให้สะใภ้ใหญ่เท่านั้น เป็นเพราะว่าแม่นมอี้พูดไม่เป็น ทำให้สะใภ้ใหญ่ตกใจจึงได้ถูกโบยไป

“อย่างไรอะไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเจียจืออย่างเย็นชา ทั้งมองสายตาที่ซ่อนอยู่ในทั้งในที่ลับและที่แจ้งพวกนั้นไปอีกครั้ง กล่าวอย่างเรียบเย็น “ข้าพูดกับสะใภ้ใหญ่อย่างชัดเจนแล้ว ข้าจะไม่รับเมียบ่าว แต่ไหนแต่ไรตระกูลซั่งกวนก็ไม่มีธรรมเนียมที่ภรรยาเอกกำลังท้อง แต่ตัวเองกลับใฝ่หาความสำราญรับเมียบ่าวมาหรอก นี่ท่านย่ากำลังบีบให้ข้าเลือกระหว่างกตัญญูต่อนางหรือทำตามกฎของตระกูลอย่างนั้นรึ?”

เจียจือตะลึงไปเล็กน้อย หรือคำพูดพวกนั้นที่ฮูหยินใหญ่กล่าวจะเป็นเพียงการโกหกตัวเอง? นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?

“อีกอย่าง บ่าวต่ำต้อยอย่างเจ้า คาดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้รับอนุญาต ก็แทนตัวเองว่า ‘ปี้เชี่ย’ เจ้าเป็นเมียบ่าวของใครรึ? ใครก็ได้เข้ามา ลากนางไปโบยให้ข้ายี่สิบไม้ จากนั้นแจ้งให้พ่อแม่นางเข้าจวนมารับเสีย!” ซั่งกวนเจวี๋ยมองออก เจียจือมั่นใจว่าตัวเองย่อมต้องรับนางไว้แน่ เชื่อว่าผู้ชายย่อมต้องลักกินขโมยกิน ฝักใฝ่ในราคะ โดยเฉพาะอาหารอันโอชะที่ส่งมาถึงปาก ไม่กินก็น่าเสียดาย ดังนั้นจึงปักใจว่าเขาคงจะรับนางไว้ นางคิดว่านางเป็นคนงามเนื้อหอมหรืออย่างไร? ตัวเองเป็นประเภทที่จะถูกใครจูงจมูกก็ได้อย่างนั้นรึ?

“คุณชายใหญ่ บ่าวเป็นคนของฮูหยินใหญ่…” คำพูดของเจียจือไม่ทันได้พูดจบก็ถูกหญิงแก่อุดปาก ลากออกไปทันที

“เจ้าเป็นใคร?” ซั่งเจวี๋ยมองสาวใช้ตัวน้อยที่ตกใจจนตัวสั่นเป็นลูกนก นางเอาแต่ยืนเฝ้าที่ข้างเกี้ยวโดยตลอด ไม่กล้าจะเข้ามา เมื่อได้ยินคำถามของซั่งกวนเจวี๋ย ก็ตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้นดังตุ้บ กล่าวอย่างกระอึกกระอัก “บ่าวเป็นสาวใช้ชั้นสองที่รับใช้พี่เจียจือ ฮูหยินใหญ่ให้บ่าวตามเข้ามารับใช้เจ้าค่ะ!”

“เจ้าไปรับงานใหม่กับทางพ่อบ้านจิ่นด้วยตนเองเสีย ไม่จำเป็นต้องรับใช้เจียจือแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวเสียงเย็น “หากมีคนถามขึ้นมาก็บอกไปว่าข้าพูดไว้ว่า สาวใช้พวกที่ไม่เจริญหูเจริญตา คิดไปเองว่ารูปลักษณ์พอใช้ได้ ก็คิดจะกระโจนไปอยู่ในจุดสูงสุดพริบตาเดียว ส่งมาหนึ่งคน ข้าก็จะส่งออกไปหนึ่งคน ส่งมาสองคนข้าก็จะส่งออกไปทั้งคู่ เจียจือนั้นฝ่าฝืนกฎ ทั้งถูกคนปั่นหัวโกหก เว้นโทษตายให้นาง หากมีคนคิดจะเลียนแบบนาง ลองดูว่าจะมีโอกาสหรือไม่ ข้าย่อมจะส่งนางไปพบพญามัจจุราชอย่างแน่นอน!”

“เจ้า…เจ้าค่ะ!” สาวใช้ตัวน้อยตอบเสียงสั่น ซั่งกวนเจวี๋ยไม่สนใจนาง ทั้งไม่สนใจคนอื่นก็อุ้มเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เอาแต่เงียบมาโดยตลอดกลับไปอย่างสง่างาม สาวใช้ตัวน้อยผ่านไปค่อนวันจึงค่อยยืนตุปัดตุเป๋ขึ้นมาได้ กลับพบว่าตัวเองนั้นเหงื่อเต็มไปทั่วร่าง แค่ก้าวเท้าเดียวก็แทบก้าวไม่ออก…

———————————-

[1] เทียนหม่า สมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณหลากหลาย เช่นบำรุงประสาท แก้วิงเวียนศีรษะ  กระตุ้นภูมิคุ้มกัน มีรสเปรี้ยวฉุนและอมหวานเล็กน้อย

[2] ปี้เชี่ย เป็นคำเรียกแทนตัวของเมียบ่าว

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset