หลังจากปรึกษาหารือเรื่องแต่งงานของทั่วป๋าฉินซินและซั่งกวนอวี่ไข่กับซั่งกวนฮ่าวเสร็จแล้ว ทั่วป๋าเชียนเย่าก็จากไปพร้อมพาทั่วป๋าฉินซินที่มีนิสัยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือกลับไปยังเหยี่ยนโจว กำหนดงานแต่งจะมีขึ้นในเดือนยี่ หลังจากซั่งกวนฮ่าวเลือกเวลาที่แน่นอนได้แล้วก็จะประกาศอีกที
พวกเขาเพิ่งจะเดินทางออกไปไม่ทันไร มู่หรงฉวีกุยก็มาถึงทันที จุดประสงค์ก็เพราะเรื่องแต่งงานของลูกเช่นกัน ที่ต่างคือตระกูลซั่งกวนเห็นว่าควรจะให้สินสอดที่มากหน่อย (รายการสินสอดนั้น หากทั่วป๋าเชียนเย่ามาเห็นเข้า ย่อมต้องกระอักเป็นเลือดแน่ สิ่งของทั้งหมดทั้งมวลที่อยู่ในนั้น ล้วนมากกว่าของนางถึงหนึ่งเท่าเต็มๆ เทียบกันแล้ว นับว่าทั่วป๋าซินฉินแทบจะขายขาดทุนให้กับตระกูลซั่งกวน) มู่หรงฉวีกุยเห็นเข้าก็ด่าอย่างขบขันทั้งหน้าดำหน้าแดง กล่าวว่า เขามาแต่งลูกสาว ไม่ใช่ขายลูกสาว! ตัดรายการสินสอดทองหมั้นนั้นออกกว่าครึ่งทันที หลังจากเลือกแล้วเลือกอีกกับซั่งกวนฮ่าว ก็ตัดสินใจว่าเดือนยี่นั้นเหมาะสมที่สุด จึงกำหนดไว้วันที่ยี่สิบเก้า ทว่ามู่หรงฉวีกุยก็ไม่ได้จากไปทันที กลับยังรั้งตัวอยู่ เพื่อเข้าร่วมพิธีรับบุตรบุญธรรมของอินหงหลันกับซั่งกวนอวี่ฮ่าว
ช่วงเวลานี้ไม่อินหงหลันก็ซินหรัน หากคนใดคนหนึ่งมีเวลาว่างก็มักจะมาวนเวียนรอบตัวเซียงเสวี่ยไม่หยุด เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้แต่ลอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง ไม่อาจยื่นมือไปช่วยเหลือ เซียงเสวี่ยนั้นหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด กระนั้นก็ยังคงมั่นคงในจุดยืน ไม่ยอมจะถูกทั้งสองล่อลวงไปโดยง่าย ผลปรากฏว่า เซียงเสวี่ยก็เป็นคนหนึ่งที่ทนต่อสิ่งล่อใจไม่ไหวเช่นกัน
บางคนอาจจะชอบเครื่องประดับเพชรนิลจินดา บางคนอาจจะชอบเล่นพิณหมากหรือวาดภาพเขียนอักษร แต่สิ่งที่เซียงเสวี่ยชอบกลับคือพิษพืชพิษแมลงและพวกยาพิษต่างๆ ไม่ใช่อยากจะใช้มาทำร้ายคนหรืออย่างไร แต่แค่ชอบเฉยๆ เพียงเท่านั้น แล้วอินหงหลันคือใครกัน เขาคือผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นหมอเทวดาที่เก่งกาจที่สุดในยุทธภพ ดังนั้นภายใต้การลอบบอกใบ้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เซียงเสวี่ยก็ถูกอินหงหลันพาไปในเรือนพำนักของพวกเขาสองสามีภรรยา เรือนนั้นแต่ไหนแต่ไรก็มีผู้ที่คัด เลือกมาอย่างพิเศษคอยดูแลอยู่ คนทั่วไปอย่าพูดว่าจะเข้าไปเลย แม้ในยามที่เดินผ่านก็ยังต้องอ้อมไปไกลๆ เซียงเสวี่ยพอได้เข้าไปก็รู้สึกชอบขึ้นมาทันที…
งูจินกวนหยินที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในตำนานกำลังเขมือบกินไข่นกพิราบที่อยู่ในกรงใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือนนั้นอย่างสุขสมอุรา เถาวัลย์ที่รัดกินคนในตำนานเลื้อยขดอยู่เกือบเต็มกำแพง วิหคสองตัวที่ยังไม่ตายถูกพวกมันเกี่ยวรัดแน่น ไม่นานก็แข็งทื่อล้มลงไป ในมุมหนึ่งของเรือนมีแอ่งน้ำเล็กๆ อยู่ คู่รักคางคกโลหิตที่กล่าวขานในตำนานว่าน้ำลายหยดเดียวก็สามารถวางพิษคนทั้งเมืองให้ล้มตายได้กำลังแหวกว่ายอยู่ในนั้น เหล่าลูกอ๊อดที่มีสีแดงแต่งแต้มประปรายทั่วร่างนั้นกำลังว่ายน้ำอย่างยั้วเยี้ย สีเขียวมันวาวที่เต็มพื้นนั่นคือหญ้าไส้ขาด ดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอย่างงดงามนั่นคือม่านถัวหลัว (ดอกลำโพง) ส่วนสีแดงที่สวยสะดุดตานั่นคือผลหนังงู…
เซียงเสวี่ยรู้สึกว่าตาสองข้างของตนแทบไม่พอใช้ อ่านอะไรก็ล้วนแต่ชอบไปหมด แต่อินหงหลันที่เห็นเซียงเสวี่ยกลับตาเป็นประกายยิ่งกว่า ยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะขวางอยู่เบื้องหน้าของเซียงเสวี่ย “ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้า แต่หากเจ้าเป็นลูกบุตรธรรมของพวกเราล่ะก็ ที่นี่ย่อมเป็นของเจ้า ของทั้งหมดในนั้นจะไม่มีใครแตะต้อง ล้วนจะเก็บไว้ให้เจ้า! นอกจากนี้ ตำราแพทย์ของข้า อุปกรณ์ปรุงยา ขอเพียงแค่เจ้าชอบ ก็มอบให้เจ้าได้ทั้งนั้น!”
ลูกชายและลูกสาวของเขาพอได้วิชาแพทย์อยู่บ้าง แต่กับวิชาใช้พิษนับว่าแทบจะไม่รู้อะไรเลย ทั้งค่อนไปทางเกลียดด้วยซ้ำ หากเซียงเสวี่ยชอบ ก็จะสามารถสืบทอดความรู้ของเขาได้พอดี ต้องรู้ว่าพิษนั้นสามารถทำร้ายคนได้ แต่ก็สามารถช่วยคนได้เช่นกัน สิ่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุดยังคงเป็นความสามารถที่ใช้พิษในการช่วยเหลือคน เซียงเสวี่ยมีพรสววรค์ทางด้านนี้ ย่อมสามารถลองฝึกฝนได้
“ได้!” เซียงเสวี่ยรับปากให้รู้แล้วรู้รอดไป อย่างไรเสียสองสามีภรรยาก็เป็นประเภทที่ไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจง่ายๆ อยู่แล้ว แทนที่จะยืนกราน ถูกพวกเขายุ่มย่ามไม่ไปไหนเช่นนี้ ยังมิสู้รับปากให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า
ดังนั้นในยามที่มู่หรงฉวีกุยกับซั่งกวนฮ่าวกำลังพูดคุยเรื่องงานแต่งงานของลูกๆ ด้วยใบหน้าที่เริงร่า อินหงหลันก็พุ่งเข้ามา กล่าวอย่างดีใจ “พี่กุย พี่ฮ่าว ข้าจะรับบุตรสาวบุญธรรม!”
แม้ว่าจะแปลกใจที่จู่ๆ อินหงหลันก็สนใจรับบุตรบุญธรรม แต่ทั้งสองคนก็ยังคงกล่าวคำอวยพรให้อย่างปิติยินดี ทั้งต่างก็เตรียมของขวัญชิ้นโตให้ ในยามที่มู่หรงฉวีกุยรู้ว่าผู้ที่เขารับเป็นบุตรสาวบุญธรรมคือสาวใช้สินเดิมของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เพียงขยี้หัวอย่างงุนงง ไม่คิดอะไรมาก แต่ซั่งกวนฮ่าวกลับถลึงตาใส่เขาไปที มิน่าเล่าเขาจึงลงมือกับทั่วป๋าฉินซินและอวี่ไข่ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
ดังนั้นภายใต้การเห็นควรของสองตระกูลใหญ่ ทั้งผ่านพิธีการที่น่าเบื่อหน่าย เซียงเสวี่ยก็ได้ก็เป็นบุตรสาวบุญธรรมของอินหงหลัน เป็นพี่สาวบุญธรรมของฮวนรั่ว ฮวนเซิง ด้านเซียงเสวี่ยครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งปรึกษากับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ครั้งใหญ่ ก็ตัดสินใจจะเปลี่ยนสกุล ไม่ใช่เปลี่ยนตามสกุลของอินหงหลัน แต่เป็นสกุลอวี๋ของซินหรัน และก็เป็นคำว่า ‘อวี๋’ ของอวี๋ฮวนเช่นกัน
หลังจากทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้ยินเรื่องนี้ ก็เขวี้ยงยาต้มในมืออนุภรรยาหนิงทันที…มิน่าเล่าเช้าตรู่วันนั้นเขาจึงระริกระรี้เอาแต่อยู่ข้างกายของนาง นางแกล้งเป็นลม เขาก็ฝังเข็มให้นางอย่างไม่ออมแรงสักนิด ที่แท้ก็เพื่อเอาใจลูกสาวบุญธรรม เช่นนั้นยาที่เอามาจากมือเขาจะมีปัญหาหรือไม่? และถึงแม้ว่ายาจะไม่มีปัญหา แต่พอเขาเอายาให้นางแล้ว คล้อยหลังก็เอาเรื่องไปบอกเจวี๋ยเอ๋อร์ทันทีหรือไม่? นางสงสัยเป็นอย่างมาก!
“ฮูหยินใหญ่…” อนุภรรยาหนิงมองทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่เผยใบหน้ามืดมนอย่างเป็นกังวล วันเวลาที่อยู่ในวัดประจำตระกูลของตระกูลเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของชีวิตนาง ในความทรงจำของนาง ตัวเองไม่เคยลำบากยากเข็ญเช่นนั้นมาก่อน ทั้งคิดไปว่าตัวเองอาจจะไม่มีชีวิตออกมาด้วยซ้ำ ในที่สุด นายท่านก็กลับมา รู้ว่าตัวเองได้รับความทุกข์ทนในนั้น ก็ส่งคนไปรับนางกลับมา พอมาถึงตระกูล นางก็ออกคำสั่งให้สาวใช้ไปยกแกงไก่เข้ามาด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า นางอยู่ในนั้นยี่สิบกว่าวัน ขอแค่อาหารประเภทเนื้อสัตว์สักนิดไม่ว่า แต่นอกจากข้าวสวยแล้ว ก็มีเพียงพวกผักเต้าหู้เท่านั้น ในยามนี้นางแค่เห็นพวกผักเต้าหู้ก็อยากจะอ้วกออกมาแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร นางล้วนไม่คิดจะกลับไปอีกแล้ว ดังนั้นพอนางเห็นสีหน้าของทั่วป๋าซู่เยวี่ย ใจก็เต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ขึ้นมา กังวลว่านางจะยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ ทั้งคิดจะวางแผนอะไรที่ให้ทุกข์มาถึงตัวอีก
“ข้าย่อมไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยร้องอย่างดุดัน อนุภรรยาหนิงและแม่นมหนิงแลกเปลี่ยนสายตากัน ล้วนแต่มองออกถึงความกังวลจนใจในแววตาของกันและกัน
“ฮูหยินใหญ่ ท่านต้องใจเย็นๆ นะเจ้าคะ” อนุภรรยาหนิงเช็ดยาน้ำที่เลอะบนร่างของทั่วป๋าซู่เยวี่ยออกอย่างระมัดระวัง พยายามกล่าวคลี่คลาย “เรื่องล้วนมาถึงจุดนี้แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรพวกเราก็ทำได้เพียงคิดไปในทางที่ดีเท่านั้น ไม่อาจจะแข็งข้อต่อพวกนายท่านได้”
“คิดในทางที่ดี? จะคิดในทางที่ดีได้อย่างไร?” เดิมทีทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ไม่อาจจะกล้ำกลืนฝืนทนเรื่องนี้ลงไปได้ อย่างอื่นยังพอพูดกันได้ แต่ตนเองถูกอินหงหลันแทงเข็มแล้วแทงเข็มอีก ความเจ็บปวดที่ราวกับแทงหัวใจเช่นนั้น ตอนนี้นางคิดขึ้นมาก็ยัง คงหวาดกลัว ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่ใช่เพราะเขาเปิดเผยอะไรออกไป เรื่องที่วางยาจะพังไม่เป็นท่าเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ฮูหยินใหญ่ ท่านลองคิดดูดีๆ คุณหนูฉินซินเป็นหลานสาวในตระกูลที่ท่านรักและเอ็นดูมากที่สุด ท่านมุ่งหวังมาหลายปี คิดอยากจะให้นางกลายเป็นหลานสะใภ้ของท่านมาโดยตลอด แม้จะเกิดเหตุผิดพลาดจนเป็นเช่นนี้ คนที่นางต้องแต่งด้วยไม่ใช่คุณชายใหญ่กลับเป็นอวี่ไข่ แต่ท้ายที่สุดก็ยังเป็นหลานสะใภ้ของท่านอยู่ดี ทั้งสามารถมีลูกหลานสืบสกุลให้ได้ แม้จะมีข้อบกพร่องในความสมบูรณ์แบบเล็กน้อย แต่ก็นับว่าสมปรารถนาของท่านไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” หลังจากอนุภรรยาหนิงกลับมาจึงเพิ่งรู้ว่า ลูกชายยังถูกขังอยู่ ในเวลาสามวันให้เพียงน้ำสองถ้วยและหมั่นโถวสองลูกเท่านั้น ทั้งร่างกายก็ยังมีบาดแผล อย่าพูดเลยว่าซั่งกวนฮ่าวให้หมอเข้ามาดู แต่แม้กระทั่งคนที่อยากจะมาสืบข่าวของเขาก็ล้วนถูกปฏิเสธให้กลับไป ไม่ต้องการให้ผู้ใดมาถามไถ่ข่าวคราวทั้งนั้น นางร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าซั่งกวนฮ่าวอยู่ค่อนวัน ก็ยังต้องกลับมาอย่างช่วยอะไรไม่ได้
อยากจะให้พิงถิงกลายเป็นลูกในนามภรรยาเอก นับเป็นอีกเรื่องที่นางปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องนี้ จู่ๆ ก็สำเร็จขึ้นมา นางไม่ได้มีความรู้สึก ‘รอจนเมฆดำเลือนหายในที่สุดก็พบแสงสว่าง’ เลย กลับกันนางรู้สึกว่าตัวเองเลี้ยงดูบุตรสาวมาด้วยความทุกข์ยากก็มาถูกคนขโมยไป นางไปเยี่ยมพิงถิง ข้างกายพิงถิงนั้นมีแม่นมที่คอยดูแลสั่งสอนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ได้ยินว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นคนส่งไป นางใช้แววตาที่ราวกับหมาป่าจ้องมองตน อยากจะพูดกับพิงถิงยังต้องคิดแล้วคิดอีก ทั้งยังถูกแม่นมจ้องให้ทักทายคารวะแก่พิงถิง ความรู้สึกอึดอัดใจอย่างไรก็ไม่จางหาย หลังจากไปพบพิงถิงครั้งหนึ่งก็ไม่อยากจะไปเจออีกแล้ว นางกระจ่างใจดี ลูกสาวคนนั้นไม่ใช่ของตนอีกต่อไปแล้ว จะเจอหรือไม่เจอก็ล้วนเหมือนกัน ดังนั้นยามนี้ลูกชายจึงนับว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด นางจำเป็นต้องแย่งชิงของทั้งหมดที่พอจะแก่งแย่งได้เพื่อลูกชาย
“เจ้าคิดว่านิสัยของฉินซินจะสามารถอยู่กับอวี่ไข่อย่างสงบสุขไปตลอดได้อย่างนั้นรึ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจุกเสียดในใจ นางไม่เห็นด้วยที่ฉินซินแต่งให้กับอวี่ไข่ งานแต่งครั้งนี้จะทำลายฉินซินทั้งชีวิต ทั้งทำลายอวี่ไข่ไปชั่วชีวิตเช่นกัน เพียงแต่ฉินซินคล้ายกับเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะเรื่องนี้ บางทีอาจจะยังกู้กลับมาได้
“ฮูหยินใหญ่ มาจนถึงขนาดนี้แล้ว นางจะสงบสุขหรือไม่สงบสุขก็ไม่สำคัญแล้ว!” อนุภรรยาหนิงกล่าวปลอบ “หากจะทำให้เห็นชัดๆ ก็ต้องกล่าวว่าฉินซินนั้นเป็นผู้หญิง นางได้มอบความบริสุทธิ์ให้อวี่ไข่แล้ว ไม่แต่งกับอวี่ไข่นางจะทำอย่างไรได้อีก? หลังจากแต่งเข้าตระกูล ฐานะของสะใภ้ย่อมไม่เหมือนคุณหนู คุณหนูอาจจะถือตัวเย่อหยิ่งได้ แต่เมื่อเป็นสะใภ้แล้วย่อมทำไม่ได้ ช่วงเวลาครึ่งปีนี้นางต้องถูกอบรมสั่งสอนว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นภรรยาที่ดีได้อย่างแน่นอน ท่านอย่าได้กังวลเลย”
อนุภรรยาหนิงเชื่อว่าฉินซินคงไม่ยินยอมพร้อมใจแต่งเข้ามาแน่ แต่นางจะทำอย่างไรได้? หรือจะทำเหมือนกับการลอบโจมตีที่เรือนสดับวายุครั้งก่อน จะส่งคนไปสังหารอวี่ไข่เช่นกันอย่างนั้นรึ? ดูจากตระกูลทั่วป๋า การที่แม้จะตายก็รักษาหน้า ถึงอยู่ก็ยอมชดใช้กรรมนั้น ทั้งยังความเห็นแก่ตัวและจิตใจคับแคบที่ส่งต่อกันมา ทั่วป๋าเชียนเย่าย่อมต้องจงเกลียดจงชังลูกสาวที่เอาแต่ใช้เท้าราน้ำ ทำให้เขาขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าผู้นี้ แม้ว่าอวี่ไข่หรือฉินซินจะตาย เขาก็ย่อมให้คนที่มีชีวิตอยู่เข้าร่วมพิธีแต่งงานกับคนตายอยู่ดี ขอเพียงแค่ฉินซินมีความคิดที่จะอยู่ต่อ ก็จำต้องแต่งเข้ามาแต่โดยดีแน่นอน จากนั้นจะบีบเค้นนางหรืออย่างไรก็เป็นเรื่องของตนกับอวี่ไข่แล้ว…อนุภรรยาหนิงแทบจะลืมไปเสียสิ้น แม้ว่าทั่วป๋าฉินซินจะแต่งให้อวี่ไข่ นางก็เป็นเพียงอนุภรรยา ไม่ใช่แม่สามีอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
“ยามนี้ก็ทำได้เพียงคิดเช่นนี้แหละ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยถอนหายใจ แต่ยังไม่คาดหวังเท่าใด สันดอนขุดได้ สันดานขุดไม่ได้ หลังจากนี้ครึ่งปี ฉินซินจะสามารถยอมรับชะตากรรม กลายเป็นภรรยาของอวี่ไข่ได้อย่างนั้นหรือ?
“หากฮูหยินใหญ่ไม่วางใจ ก็ยังสามารถเขียนจดหมายไปไถ่ถามสถานการณ์ฉินซินที่เหยี่ยนโจวบ่อยๆ ได้ ดูว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ หากมีอะไรแปลกๆ หรือจุดที่ไม่พอใจ ก็บอกกล่าวกันหน่อย ทั้งจะได้เตรียมใจเผื่ออะไรด้วยเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!” อนุภรรยาหนิงพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้นางได้ครุ่นคิดกับตัวเอง
“นี่นับเป็นวิธีที่ดีอยู่เหมือนกัน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพยักหน้า ดูท่าความทุกข์ทนในช่วงเวลานี้จะไม่ได้เสียเปล่า นางยังคงพัฒนาขึ้นมาไม่น้อย ขบคิดสักพักก่อนจะถาม “เช่นนั้นเจ้ายังมีคำแนะนำดีๆ อะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่?”
“หลังจากอวี่ไข่แต่งงาน นายท่านและฮูหยินย่อมต้องให้เขาแยกออกไปอยู่ที่อื่น มิสู้พวกเราพูดคุยเรื่องนี้กับนายท่านก่อนแต่งงาน หากนายท่านและฮูหยินบอกเป็นนัยว่ามีความต้องการเช่นนั้น พวกเราก็พยายามให้นายท่านมอบทรัพย์สินใหญ่ๆ ให้อวี่ไข่แห่งหนึ่ง ถึงเวลานั้นพวกเราจะสามารถออกไปอยู่ด้วยกันได้ เผื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งจมูกคนอื่นหายใจในจวน!” อนุภรรยา
หนิงคิดว่าหากมีวันนั้นจึงจะนับว่าได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข! แน่นอนว่า หากทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะรั้งตัวอยู่ที่จวน ก็เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งกว่า เพราะตนเองก็จะเป็นคนที่ใหญ่ที่สุดในที่แห่งนั้น ทั้งไม่จำเป็นต้องสนใจสีหน้าของผู้ใดหรือระวังอะไรอีก
ดูท่าแต่ละคนต่างก็อยากจะมีอิสระ ล้วนไม่อยากอยู่ที่ตระกูลนี้กัน! ทั่วป๋าซู่เยวี่ยถอนหายใจ ไม่ว่าอวี่ไข่จะมีความเห็นอย่างไร มอบกิจการใหญ่แห่งหนึ่งให้กับเขาย่อมเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ถึงเวลานั้นมองท่าทีของเขาและฉินซินอีกที หากทั้งสองคนล้วนใช้ชีวิตผ่านไปอย่างสบายๆ ได้ ทั้งรู้จักกตัญญู เช่นนั้นตนเองก็อาจจะไปพักอยู่ที่นั่นบ้างเป็นครั้งคราว แต่หากฉินซินยังนิสัยเสียเหมือนก่อน ตนเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปให้ใครเหม็นขี้หน้า…