เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งเดือนก็ผ่านไปชั่วพริบตา วิชาที่ซินหรันมอบให้นั้นช่างน่าทึ่ง และจำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มเติม แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้คิดจะใส่ใจเรื่องพวกนั้นเลย เพราะที่โต๊ะอาหารวันนี้ ไม่รู้ว่ามันเป็นกลิ่นของอาหารจานนั้นหรือเปล่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์เริ่มมีอาการแพ้ท้องรุนแรงขึ้น…
เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองข้าวปลาอาหารที่ดูน่ารับประทานบนโต๊ะอย่างน่าสงสาร อย่าว่าแต่จะลิ้มชิมรสสักคำ แม้แต่จะเข้าใกล้ก็ไม่กล้า ทันใดนั้นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็มองใบหน้าที่ซูบผอมจนเหลือเพียงฝ่ามือเดียวของนางอย่างเป็นทุกข์ จึงร้อนใจเอ่ยขึ้นว่า “จะทำอย่างไรดีล่ะ?”
หมู่นี้นางอาเจียนไม่ว่าจะกินอะไรก็ตาม แม้จะดื่มน้ำเปล่าก็อาเจียนออกมาอย่างน่าตกใจ แต่ก็ต้องกิน ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ดูจะไม่เป็นไร แต่ทารกในครรภ์ไม่สามารถทนได้ ดังนั้นตอนนี้แม่นมฉินใส่ใจนางเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะกินอะไรก็ต้องดีสำหรับร่างกายต่อมารดาและเด็ก แต่กินอะไรก็ต้องทำให้นางกินได้สองคำขึ้นไป มากกว่าจะอาเจียนออกมาทั้งที่กินไปแค่คำแรก
“ข้าก็ไม่ทราบ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กุมท้องที่ว่างเปล่าโหวงเหวง ไม่แม้แต่จะร้องไห้ นางไม่ใช่ว่าจะไม่อยากอาหาร ตรงกันข้าม นางรู้สึกว่าหิวมากจนสามารถกินวัวสองตัวได้ แต่ปัญหาอยู่ที่เจ้าตัวเล็กในท้องดูเหมือนจะไม่พอใจกับทุกสิ่งราวกับไม่ชอบกินอะไรเลย นางจึงกินอาหารได้เพียงเล็กน้อยอย่างเชื่อฟัง ทั้งยังจะอาเจียนทุกครั้งที่กิน นางสงสัยว่าถ้านางไม่ทันระวังจะสำรอกทุกอย่างออกมาหรือไม่
“สะใภ้ใหญ่ ข้าทำโจ๊กมานิดหน่อย ใส่เกลือเล็กน้อย ท่านลองชิมสักคำหน่อยไหมเจ้าคะ?” คำพูดของเซียงชุ่ยทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลื่นไส้อีกครั้ง จึงส่ายศีรษะด้วยความรู้สึกพะอืดพะอม เมื่อก่อนเริ่มแรกโจ๊กยังได้ผล กินหมดถ้วยยังพอแก้ขัดไปได้ แต่ยามนี้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว
“ลองชิมนี่สิเจ้าคะ” ไม่รู้ว่าจื่อหลัวยกชามฟักทองบดสีเหลืองทองอร่ามมาจากไหน พูดว่า “ใส่ฟักทองแก่ลงไปก่อนจะปอกเปลือก จากนั้นจึงบดกวนเนื้อ ไม่ต้องใส่เกลือ มีเพียงกลิ่นหอมหวานของฟักทอง ลองดูหน่อยนะเจ้าคะ ว่าจะทานได้สักคำหรือไม่”
“ก็ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยิบฟักทองบดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะค่อยๆ สูดดมดมกลิ่นอย่างละเอีย พลันรู้สึกถึงเสียงคำรามโครกครากในช่องท้องพักหนึ่ง แต่กลับไม่รู้สึกคลื่นไส้ จากนั้นก็ตักกินคำน้อย กลืนลงไป ดูเหมือนจะยังพอทำเนา ไม่มีอะไรผิดปกติ นางเริ่มชอบขึ้นมาบ้าง แต่ก่อนที่นางจะแย้มยิ้มออกมา ก็กินอีกคำหนึ่ง ทว่าความรู้สึกคลื่นไส้ก็มาเยือนอีกครั้ง นางยัดชามใส่มือของจื่อหลัวซึ่งดูมีความหวัง แล้วคว้ากระโถนในมือของม่านเหอ เริ่มอาเจียนอีกครั้ง…
“มันจะดีได้อย่างไร” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อหมดหนทางแล้ว ทั้งของที่บินบนท้องฟ้า ของที่ว่ายอยู่ในน้ำ ของที่เติบโตจากพื้นดิน ตราบเท่าที่นำมาทำเป็นอาหารได้ก็เกือบจะพลิกค้นหามาจนทั่ว ทว่ายังทำให้นางกินไม่ได้สักคำ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดี
“ไม่เป็นไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฉีกยิ้มอย่างอ่อนแรงแล้วพูดว่า “ข้าจะพักผ่อนครู่หนึ่งแล้วค่อยกิน เซียงชุ่ย เพิ่มผักเล็กน้อยลงในชามข้าวต้มกุ๊ย ผักกาดขาวจะดีที่สุด เดี๋ยวพักสักหน่อยข้าจะค่อยๆ กิน”
“แต่เจ้ากินแล้วจะทนทุกข์ทรมานหลังจากอาเจียนนะ” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเป็นห่วง นางจำได้ว่า ตอนที่นางท้องลูกไม่กี่คนแม้จะอาเจียน แต่ก็ไม่เคยเป็นเหมือนมี่เอ๋อร์ที่ดูท่าจะกินก็อะไรไม่ได้เลย
“ไม่เป็นไร หลังจากกินอาหารแล้วก็เกือบจะได้เวลางีบหลับพอดี เมื่อหลับแล้วน่าจะดีขึ้นเล็กน้อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สามารถกินได้อีกสองสามคำก่อนเข้านอนทุกวัน ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กในท้องจะรู้ความดีขึ้นหน่อยในเวลานั้น
“ดื่มน้ำตามสองคำเถอะเจ้าค่ะ” แม่นมฉินทำอะไรไม่ถูก จำได้ว่าตอนที่จงเสวี่ยฉิงตั้งครรภ์นางก็เป็นแบบนี้ กินอะไรก็อาเจียน แต่จะเป็นอยู่ประมาณสองเดือนในระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ได้คาดคิดว่าในช่วงเวลานั้นมี่เอ๋อร์ทั้งกินทั้งดื่ม ไม่อึดอัดแม้แต่น้อย ทว่ายามนี้กลับร้ายแรงกว่าจงเสวี่ยฉิงในตอนนั้นเสียอีก
“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จิบน้ำอย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “แม่นม ในเวลานั้นข้าทำให้ท่านแม่ทรมานแบบนี้หรือไม่?”
“คล้ายคลึงกันเจ้าค่ะ” แม่นมฉินตบศีรษะแล้วพูดว่า “แต่ตอนนั้นคุณหนูยังดีกว่าท่านอยู่บ้าง ยังพอกินอาหารได้เล็กน้อย เวลานั้นคุณหนูชอบกินสิ่งหนึ่งมากที่สุด ข้านึกไม่ออกว่ามันคืออะไร…นางกินอะไรก็อ้วก แต่พอกินสิ่งนั้นจะค่อยยังชั่วขึ้นเจ้าค่ะ”
“มันคืออะไร?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อดูกระฉับกระเฉงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามตราบใดที่ทำให้มี่เอ๋อร์ดีขึ้นก็น่าจะลองดู เพราะหากเป็นเช่นนี้ต่อไป มี่เอ๋อร์น่าจะอดตายก่อนคลอด
“แต่นึกไม่ออกเจ้าค่ะ!” แม่นมฉินถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้รับใช้อยู่เคียงข้างตอนที่คุณหนูฉิงเพิ่งท้อง แต่เพิ่งมารู้ทีหลัง ข้าจำไม่ได้ว่ามันคืออะไรเจ้าค่ะ…”
“ป้าเซียงรู้หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถาม ทั้งแม่นมฉินและเซียงหลิงอยู่ใกล้ชิดกับจงเสวี่ยฉิงนานที่สุด แม่นมฉินไม่รู้ บางทีเซียงหลิงอาจจะรู้
“นางก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ” แม่นมฉินส่ายหน้าและพูดว่า “ตอนนั้นมีบางอย่างเกิดขึ้นในเรือนหลังเก่า นางกับข้าพักอยู่ที่เรือนหลังเก่า ไม่ได้มารับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูฉิง ข้าเคยถามนางแล้ว ดูเหมือนนางก็ไม่รู้อะไรเลยเจ้าค่ะ”
“สะใภ้ใหญ่ นายท่านทางฝั่งอู๋โจวส่งจดหมายมาฉบับหนึ่ง พ่อบ้านจิ่นให้คนนำมาส่งเจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวน้อยเดินนำสาวใช้อีกคนหนึ่งเข้ามาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อซึ่งเห็นได้ชัดว่ารีบร้อนเข้ามา
“จดหมายของท่านพ่อ?” นัยน์ตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ไม่นึกว่าเขาจะเขียนจดหมายถึงตัวเองจริงๆ
“ไม่ใช่ว่าคุณหนูหกกับคุณหนูเจ็ดต้องการจะแต่งเข้าลี่โจวจริงๆ กระมัง” แม่นมฉินขมวดคิ้ว คิดว่ามีบางอย่างที่นายท่านเยี่ยนต้องการให้ตระกูลซั่งกวนช่วยเหลือ
“นำมาให้ข้าอ่านที” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฝืนยกมือขึ้น แล้วรับจดหมายมาดู เป็นลายมือของนายท่านเยี่ยนจริงๆ นางคลี่เปิดออกดู เป็นไปตามที่แม่นมฉินพูดไว้ บอกว่าตระกูลหวังของลี่โจวมาทาบทามคุณหนูเจ็ดของตระกูลเยี่ยน ต้องการให้คุณหนูเจ็ดแต่งงานกับลูกนอกสมรสอันดับสี่ ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ช่วยสังเกตการณ์ ดูเหมือนจะถือโอกาสถามมาคำหนึ่งว่าตั้งครรภ์หรือยัง เจริญอาหารหรือไม่ จำได้ว่าตอนที่แม่ของนางตั้งครรภ์มักจะกินอะไรก็อาเจียนออกมา แต่เติมดอกถานฮวา (ดอกโบตั๋น) ลงในน้ำแกงเนื้อตุ๋น ซี่โครงหมูนึ่งดอกถานฮวา น้ำแกงเม็ดบัวใส่ดอกถานฮวาและเห็ดหูหนูขาว แม้กระทั่งเพิ่มกลีบดอกถานฮวาลงในโจ๊กจะรับประทานได้มากขึ้น และแนบสูตรทำอาหารที่ใส่ดอกถานฮวามาอีกหลายรายการ
“จื่อหลัว ดอกถานฮวาในสวนยังบานอยู่หรือไม่?” ในหลายวันนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มีเรี่ยวแรงจะมองดูดอกไม้ใบหญ้า ทว่า จื่อหลัวรู้ดี
“ยังมีสองสามต้นสุดท้ายจะบานอีกสองวันไม่ก็วันนี้พรุ่งนี้เจ้าค่ะ” จื่อหลัวไม่เข้าใจที่จู่ๆ นางก็ถามสิ่งนี้เพื่อมาทำอะไรจึงบอกว่า “เมื่อคืนบานเยอะมาก เซียงเสวี่ยสั่งให้ติงเอ๋อร์เด็ดมาทั้งหมด บอกว่าจะทำน้ำผึ้งหอมให้ท่านเจ้าค่ะ”
“ลองดูสิว่ายังอยู่อีกไหม?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกถึงมารดาที่ชอบกินอาหารที่ใส่ดอกถานฮวาในตอนนั้น ตัวนางเองก็เช่นกัน
“ข้าจะไปดูเจ้าค่ะ” จื่อหลัวพลันรีบร้อนออกไป เพราะกลัวว่าช้าไปอาจจะไม่เหลือแล้ว
“มี่เอ๋อร์ จะเอาดอกถานฮวามาทำอะไรรึ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถามนางอย่างแปลกใจ ทำไมอ่านจดหมายอยู่ดีๆ ก็นึกอยากจะได้ดอกถานฮวากะทันหัน
“นายท่านบอกมาในจดหมายว่าตอนนั้นข้าเองก็กระสับกระส่ายเหมือนกัน แต่พอใส่ดอกถานฮวาในอาหาร อาการจะทุเลาลงได้ บางทีเจ้าตัวเล็กก็เป็นแบบนี้เช่นกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยความหวังอันริบหรี่ นางไม่ได้กินอิ่มด้วยความสงบสุขมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป นางก็ไม่สามารถทนต่อไปได้
“ดอกถานฮวาทำอาหารได้ด้วยหรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อขมวดคิ้วมุ่นราวกับไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
“ข้าก็ไม่ทราบ แต่ในนี้มีสูตรอาหารที่ใส่ดอกถานฮวาอยู่หลายสูตร อาจจะต้องลองดูเผื่อได้ผล” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทอดถอนหายใจ ถ้าไม่ทำแล้วนางจะกินอะไรได้อีกเล่า? ปวดหัวยิ่งนัก!
จื่อหลัวกลับมาในไม่ช้าพร้อมกับดอกถานฮวาที่ยังหมาดๆ กว่าสิบดอกที่วางอยู่บนถาดในมือ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีเหลืออยู่เท่านี้ สะใภ้ใหญ่จะใช้มันทำอะไรเจ้าคะ?”
“เซียงชุ่ย เด็ดล้างสักสองดอก เอาแค่กลีบดอก แล้วใส่ลงโจ๊ก ต้มสักพัก บางทีข้าอาจจะกินได้สักสองคำ” นี่คือความหวังสุดท้ายแล้ว
เซียงชุ่ยหยิบดอกสองดอกออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วกลับมาในไม่ช้า พูดกลั้วหัวเราะว่า “สะใภ้ใหญ่ ท่านอย่าบอกนะว่ารสชาติของโจ๊กนี่จะเปลี่ยนไปจริงๆ ท่านลองชิมดูสิเจ้าคะ”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทานอย่างมีความหวัง เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งที่อ่อนนุ่มและหวานผิดปกติ นางไม่กล้ากินเท่าไรนัก จึงหยุดหลังจากลองไปคำหนึ่ง เป็นเวลานานพักใหญ่ นอกจากเสียงร้อง ‘จ๊อกๆ’ ในท้องแล้ว มีเพียงความรู้สึกหิวจนยากจะทานทน ดังนั้นนางจึงกินอีกคำ ไม่รู้สึกคลื่นไส้อย่างที่เคยและทำอะไรไม่ถูกแบบนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งรู้สึกโล่งใจจึงรีบพุ้ยโจ๊กกวาดเรียบจนหมดเกลี้ยงชามอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็สมหวังอิ่มแปล้เสียที
“เยี่ยมไปเลย! แม่นมสี รีบไปหาพ่อบ้านจิ่น ให้เขาเก็บรวบรวมดอกถานฮวาสดทุกวัน” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็โล่งอกหายห่วง นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์กินเอร็ดอร่อยเช่นนี้
“เซียงชุ่ย นี่เป็นสูตรอาหารหลายอย่าง เจ้าลองปรับเปลี่ยนทำแทนได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งสูตรอาหารที่แนบมาในจดหมายให้เซียงชุ่ยทันทีพลางกล่าวว่า “เขียนคัดลอกไว้อีกชุดจะดีที่สุด แล้วต้องส่งคืนนี้ให้ข้า”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะสะใภ้ใหญ่” เซียงชุ่ยยิ้มอย่างสุขใจแล้วออกไป ยกดอกถานฮวาที่เหลือออกไปด้วย
“เขารู้ได้อย่างไรว่าท่านจะทานได้” แม่นมฉินมักจะเรียกนายท่านเยี่ยนสั้นๆ ว่า ‘เขา’ เมื่ออยู่ต่อหน้าถึงจะเรียกนายท่านอย่างไม่เต็มใจ
“นายท่านบอกว่าตอนที่ท่านแม่ท้อง ข้าก็ชอบกินอาหารเหล่านี้ คิดว่าข้าอาจจะเป็นเหมือนกันกระมัง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเด็ดขาด อาจจะหนึ่งหรือสองเดือนกว่าก่อนหน้านั้นที่ข่าวนางตั้งท้องแพร่ไปถึงตระกูลเยี่ยนในอู๋โจวแล้ว เขาเป็นห่วงนาง จึงเขียนจดหมายฉบับนี้เป็นพิเศษสินะ มิฉะนั้น ทำไมตั้งครึ่งปีกว่าถึงไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรแล้วจู่ๆ ก็เขียนจดหมายมา แน่นอนอาจจะเป็นคนจากตระกูลหวังที่ไปขอหมั้นหมายคุณหนูเจ็ดได้ยินมา แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านายท่านเยี่ยนยังคงห่วงใยนางเป็นอย่างมาก
“นับได้ว่าจิตสำนึกของเขาไม่ได้ถูกสุนัขกินเสียทั้งหมด!” แม่นมฉินพูดอย่างดุดันว่า “ยังมีอีก? ไม่เชื่อว่าเขาจะเขียนจดหมายมาเพื่อการนี้เท่านั้น”
“ลูกนอกสมรสคนที่สี่ของตระกูลหวังในลี่โจวไปขอหมั้นคุณหนูเจ็ด คุยกันเสร็จแล้ว จะแต่งงานกันในปลายปีหน้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เมื่อถึงตอนนั้นข้าในฐานะพี่สาวอาจต้องเตรียมของขวัญ”
“ควรอย่างยิ่ง ควรอย่างยิ่ง!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคลี่ยิ้มอย่างเบิกบานใจแล้วพูดว่า “ไม่ต้องพูดอะไรอีก แค่สูตรนี้ที่ทำให้มี่เอ๋อร์กินอะไรได้ก็ควรต้องส่งของขวัญชิ้นใหญ่ แต่มันยังเร็วอยู่ มี่เอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องกังวลตอนนี้ หลังจากที่เด็กคลอดออกมาอย่างปลอดภัยค่อยใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่สายเกินไป”
แม่นมฉินไตร่ตรองเล็กน้อย ไม่ได้พูดคัดค้านเพียงกล่าวว่า “ท่านกินอีกสักคำ เดี๋ยวค่อยคุยกันอีกนะเจ้าคะ”
“ข้าคิดว่าข้าจะกินอีกชามหนึ่งได้” ยามนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกอยากอาหารมาก ดูเหมือนสิ่งนี้จะเหมาะกับความต้องการของเด็กจริงๆ ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว ยกเว้นความหิวเพียงเล็กน้อย
“ข้าจะให้เซียงชุ่ยทำเพิ่มให้ท่านอีกหน่อยนะเจ้าคะ” แม่นมฉินออกไปด้วยรอยยิ้ม เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะแล้วยิ้มเจื่อนๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่นางจะประทับใจนายท่านเยี่ยนอย่างกะทันหัน…